Shopping cart

กรมศิลป์ฯ ใช้ AI ‘เนรมิตศิลป์’ ชุบชีวิตภาพจิตรกรรม

สารบัญ

การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่และมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าได้นำไปสู่การบุกเบิกครั้งสำคัญในวงการอนุรักษ์ศิลปะของไทย โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ในการปกป้องและฟื้นฟูสมบัติของชาติให้คงอยู่สืบไป

  • กรมศิลปากรได้ริเริ่มโครงการ “เนรมิตศิลป์ AI” เพื่อใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการบูรณะจิตรกรรมฝาผนังโบราณที่เสื่อมสภาพในรูปแบบดิจิทัล
  • เทคโนโลยีหลักที่ใช้คือ “หน้ากากดิจิทัล” (Digital Mask) ซึ่งสามารถวิเคราะห์และเติมเต็มส่วนที่เสียหายของภาพได้โดยไม่ต้องสัมผัสหรือเปลี่ยนแปลงชิ้นงานต้นฉบับ
  • ระบบดังกล่าวขับเคลื่อนด้วย Generative AI ที่ผ่านการเรียนรู้จากข้อมูลภาพจิตรกรรมและข้อมูลทางประวัติศาสตร์จำนวนมหาศาล เพื่อสร้างภาพจำลองที่มีความสมบูรณ์และถูกต้องตามหลักฐาน
  • แนวทางนี้ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับศิลปวัตถุจากการบูรณะทางกายภาพ และเป็นการเก็บรักษาข้อมูลดั้งเดิมไว้ได้อย่างแม่นยำ
  • โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิวัติวิธีการอนุรักษ์มรดกไทย แต่ยังเปิดประตูสู่การประยุกต์ใช้ AI ในด้านการศึกษาและจัดแสดงงานศิลปะในอนาคต

โครงการที่ กรมศิลป์ฯ ใช้ AI ‘เนรมิตศิลป์’ ชุบชีวิตภาพจิตรกรรม ถือเป็นมิติใหม่ของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมไทย โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูสภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณที่ได้รับความเสียหายตามกาลเวลา โครงการนำร่องนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างภาพจำลองดิจิทัลที่สมบูรณ์ของผลงานศิลปะดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญและสาธารณชนได้เห็นภาพความงดงามในอดีตอีกครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตัวชิ้นงานจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติมได้ นี่คือการผสานศาสตร์แห่งประวัติศาสตร์ศิลปะเข้ากับวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ล้ำสมัย เพื่อรักษามรดกของชาติให้ยั่งยืน

จิตรกรรมฝาผนังในโบราณสถานต่างๆ ของไทยเป็นมากกว่างานศิลปะ แต่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยทางสภาพอากาศ ความชื้น และกาลเวลา ทำให้ภาพเขียนเหล่านี้จำนวนมากซีดจางและหลุดลอก การบูรณะด้วยวิธีดั้งเดิมนั้นต้องอาศัยความชำนาญขั้นสูง ใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวของงานศิลปะดั้งเดิม การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี AI จึงเป็นคำตอบที่น่าสนใจสำหรับความท้าทายนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกรมศิลปากร ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ โครงการ “เนรมิตศิลป์ AI” จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการอนุรักษ์อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ภาพรวมโครงการเนรมิตศิลป์ AI

โครงการ “เนรมิตศิลป์ AI” เป็นความคิดริเริ่มของกรมศิลปากรที่ต้องการนำศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้กับภารกิจการอนุรักษ์โบราณวัตถุและศิลปวัตถุของชาติ โดยมุ่งเน้นไปที่การบูรณะภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณเป็นลำดับแรก เนื่องจากเป็นมรดกที่มีความเปราะบางและเสื่อมสภาพได้ง่ายตามกาลเวลา หัวใจหลักของโครงการคือการสร้าง “ภาพจำลองดิจิทัล” (Digital Replica) ของจิตรกรรมฝาผนังในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจากเศษสี ลวดลายที่ยังหลงเหลืออยู่ และเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง

วัตถุประสงค์หลักไม่ใช่การเข้าไปซ่อมแซมหรือวาดทับลงบนชิ้นงานจริง แต่เป็นการสร้างข้อมูลดิจิทัลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมิติ ตั้งแต่การศึกษาวิจัยองค์ประกอบและเทคนิคของช่างฝีมือโบราณ ไปจนถึงการจัดแสดงในรูปแบบเสมือนจริง (Virtual Exhibition) ให้ประชาชนได้ชื่นชมความงามของศิลปะในยุคต่างๆ โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่จริง และที่สำคัญที่สุดคือการเก็บรักษา “ข้อมูล” ของภาพต้นฉบับไว้ในรูปแบบดิจิทัลที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย เพื่อเป็นมรดกให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป

เป้าหมายสูงสุดของโครงการเนรมิตศิลป์ AI คือการอนุรักษ์โดยไม่รบกวน (Non-invasive Conservation) ซึ่งเป็นการรักษาสภาพดั้งเดิมของศิลปวัตถุไว้ให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็สามารถฟื้นคืนความสมบูรณ์ของภาพในโลกดิจิทัลได้อย่างน่าทึ่ง

เจาะลึกเทคโนโลยีเบื้องหลังความมหัศจรรย์

เจาะลึกเทคโนโลยีเบื้องหลังความมหัศจรรย์

ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดขึ้นได้จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สองส่วนที่ทำงานร่วมกันอย่างซับซ้อน ได้แก่ Generative AI ซึ่งเป็นสมองส่วนกลางในการสร้างสรรค์ภาพ และเทคนิค “หน้ากากดิจิทัล” ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์และระบุพื้นที่ที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างแม่นยำ

Generative AI: หัวใจของการสร้างสรรค์

Generative AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด เป็นสาขาหนึ่งของ AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาจากข้อมูลที่เคยเรียนรู้มา ในบริบทของโครงการเนรมิตศิลป์ AI ได้รับการฝึกฝน (Train) ด้วยชุดข้อมูลขนาดมหึมา ซึ่งประกอบด้วยภาพถ่ายความละเอียดสูงของจิตรกรรมฝาผนังจากยุคสมัยและสกุลช่างต่างๆ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสัญลักษณ์ สี และองค์ประกอบศิลป์ที่เกี่ยวข้อง

เมื่อ AI ได้รับคำสั่ง (Prompt) ซึ่งในที่นี้คือภาพถ่ายของจิตรกรรมที่เสียหาย พร้อมด้วยข้อมูลบริบททางประวัติศาสตร์ ระบบจะเริ่มกระบวนการวิเคราะห์และประมวลผล โดยเปรียบเทียบลวดลายและสีที่ยังหลงเหลืออยู่กับคลังข้อมูลที่มันได้เรียนรู้มา จากนั้นจึง “จินตนาการ” หรือสร้างส่วนที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบศิลปะดั้งเดิมมากที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่การคัดลอกและวางภาพจากส่วนอื่น แต่เป็นการสร้างพิกเซลใหม่ทุกพิกเซลที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน เสมือนผลงานที่วาดขึ้นโดยช่างฝีมือในยุคนั้นจริงๆ

นวัตกรรม “หน้ากากดิจิทัล” (Digital Mask)

เทคโนโลยี “หน้ากากดิจิทัล” ซึ่งได้รับการพัฒนาแนวคิดจากนักวิทยาศาสตร์สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ทำหน้าที่เปรียบเสมือนดวงตาอันเฉียบคมของระบบ AI โดยเทคนิคนี้จะทำการสแกนและวิเคราะห์ภาพจิตรกรรมต้นฉบับอย่างละเอียด เพื่อระบุพื้นที่ที่เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วน สีที่หลุดลอก หรือส่วนที่เลือนหายไป จากนั้นระบบจะสร้าง “หน้ากาก” ขึ้นมาในรูปแบบดิจิทัลเพื่อกำหนดขอบเขตของพื้นที่ที่เสียหายเหล่านั้น

ความพิเศษของเทคนิคนี้คือความสามารถในการแยกแยะระหว่างพื้นที่ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์กับพื้นที่ที่ต้องการการซ่อมแซมได้อย่างแม่นยำ ทำให้ Generative AI สามารถทำงานเติมเต็มภาพเฉพาะในส่วนที่อยู่ภายใต้ “หน้ากาก” เท่านั้น โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดั้งเดิมที่ยังอยู่ในสภาพดีแม้แต่น้อย กระบวนการนี้ช่วยให้การบูรณะดิจิทัลมีความเที่ยงตรงสูงและเคารพต่อคุณค่าของต้นฉบับอย่างแท้จริง

เปรียบเทียบกระบวนการบูรณะ: วิธีดั้งเดิม vs. AI เนรมิตศิลป์

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีใหม่นี้ สามารถเปรียบเทียบกระบวนการบูรณะจิตรกรรมฝาผนังระหว่างวิธีดั้งเดิมที่อาศัยแรงงานมนุษย์และเคมีภัณฑ์ กับแนวทางใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ได้ดังนี้

ตารางเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างการบูรณะจิตรกรรมด้วยวิธีดั้งเดิมและเทคโนโลยี AI เนรมิตศิลป์
หัวข้อเปรียบเทียบ การบูรณะด้วยวิธีดั้งเดิม การบูรณะด้วย AI เนรมิตศิลป์
ลักษณะการทำงาน กระบวนการทางกายภาพและเคมีบนชิ้นงานจริง กระบวนการดิจิทัลบนข้อมูลภาพถ่ายความละเอียดสูง
การสัมผัสชิ้นงาน มีการสัมผัสโดยตรง เช่น การทำความสะอาด การลงสีใหม่ ไม่มีการสัมผัสชิ้นงานจริง (Non-invasive)
ความเสี่ยงต่อต้นฉบับ มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความเสียหายหรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ความเสี่ยงต่ำมาก เนื่องจากทำงานกับสำเนาดิจิทัล
ความแม่นยำ ขึ้นอยู่กับความชำนาญและการตีความของนักอนุรักษ์แต่ละคน อิงจากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้มีความสม่ำเสมอและแม่นยำสูง
ระยะเวลา ใช้เวลานาน อาจกินเวลาหลายเดือนหรือหลายปี รวดเร็วกว่ามาก สามารถประมวลผลและสร้างภาพจำลองได้ในเวลาอันสั้น
ผลลัพธ์สุดท้าย ชิ้นงานจริงที่ได้รับการซ่อมแซม ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไฟล์ภาพดิจิทัลความละเอียดสูงที่สมบูรณ์ และชิ้นงานจริงยังคงสภาพเดิม
การทำซ้ำ/แก้ไข ทำได้ยากและมีความเสี่ยงสูง สามารถปรับปรุง แก้ไข และสร้างภาพจำลองเวอร์ชันต่างๆ ได้ไม่จำกัด

ความท้าทายและข้อพิจารณาในการนำ AI มาใช้กับมรดกทางวัฒนธรรม

แม้ว่าเทคโนโลยี AI จะมีศักยภาพสูง แต่การนำมาประยุกต์ใช้กับงานที่ละเอียดอ่อนอย่างการอนุรักษ์มรดกของชาติก็ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นถูกต้องและเหมาะสม

ความแม่นยำทางประวัติศาสตร์และศิลปะ

ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือการรับประกันว่าภาพที่ AI สร้างขึ้นมาใหม่นั้นมีความถูกต้องตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และสอดคล้องกับรูปแบบศิลปะของยุคสมัยนั้นๆ อย่างแท้จริง การ “จินตนาการ” ของ AI อาจนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามแต่ไม่ตรงกับความเป็นจริงได้ ดังนั้น กระบวนการทำงานจึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลป์และนักโบราณคดีอย่างใกล้ชิด เพื่อให้คำแนะนำและปรับแก้ผลลัพธ์จาก AI ให้มีความสมจริงและน่าเชื่อถือมากที่สุด

ข้อจำกัดของข้อมูลในการฝึกฝน

ประสิทธิภาพของ Generative AI ขึ้นอยู่กับคุณภาพและปริมาณของข้อมูลที่ใช้ในการฝึกฝน หากข้อมูลภาพจิตรกรรมจากยุคใดยุคหนึ่งมีจำนวนน้อยหรือไม่สมบูรณ์ ก็อาจทำให้ AI ไม่สามารถเรียนรู้และสร้างภาพจำลองของศิลปะในยุคนั้นได้อย่างแม่นยำ การรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลของศิลปะไทยในแขนงต่างๆ จึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของโครงการในระยะยาว และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ในแวดวงวิชาการด้านศิลปกรรมทั้งในและต่างประเทศ

อนาคตของการอนุรักษ์ศิลปะไทยด้วยปัญญาประดิษฐ์

โครงการเนรมิตศิลป์ AI ไม่ได้เป็นเพียงโครงการนำร่อง แต่ยังเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการอนุรักษ์มรดกไทย ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การใช้งานในมิติอื่นๆ ได้อีกมากมาย

การขยายผลสู่โบราณวัตถุประเภทอื่น

เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการอนุรักษ์โบราณวัตถุประเภทอื่นๆ ได้ เช่น การฟื้นฟูลวดลายบนเครื่องปั้นดินเผาโบราณที่แตกหัก การจำลองสภาพสมบูรณ์ของประติมากรรมที่ชำรุด หรือแม้แต่การอ่านและฟื้นฟูข้อความในเอกสารโบราณที่ซีดจางและเสียหาย ปัญญาประดิษฐ์จะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักโบราณคดีและนักอนุรักษ์ในการไขปริศนาทางประวัติศาสตร์จากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่

การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัล

ภาพจำลองดิจิทัลที่ได้จากโครงการนี้สามารถนำไปพัฒนาเป็นสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจสำหรับสาธารณชน เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Virtual Museum) ที่ผู้เข้าชมสามารถสำรวจจิตรกรรมฝาผนังได้อย่างใกล้ชิดในรูปแบบ 360 องศา หรือการสร้างแอปพลิเคชัน Augmented Reality (AR) ที่ซ้อนทับภาพจำลองที่สมบูรณ์ลงบนภาพจิตรกรรมจริงเมื่อใช้สมาร์ทโฟนส่องดู สิ่งเหล่านี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์และศิลปะให้มีความน่าสนใจและเข้าถึงง่ายมากขึ้นสำหรับคนทุกวัย

บทสรุป: ก้าวต่อไปของมรดกไทยในยุคดิจิทัล

โครงการที่ กรมศิลป์ฯ ใช้ AI ‘เนรมิตศิลป์’ ชุบชีวิตภาพจิตรกรรม คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเทคโนโลยีและวัฒนธรรมสามารถก้าวเดินไปพร้อมกันได้อย่างลงตัว การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานอนุรักษ์ไม่ได้เป็นการเข้ามาแทนที่บทบาทของผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นการมอบเครื่องมือใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพ ช่วยให้การทำงานมีความปลอดภัย แม่นยำ และรวดเร็วยิ่งขึ้น นี่คือก้าวสำคัญในการปกป้องรักษามรดกอันประเมินค่ามิได้ของชาติให้คงอยู่รอดพ้นจากความเสื่อมสลายตามกาลเวลา และส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังในรูปแบบที่สมบูรณ์และยั่งยืนในโลกดิจิทัล การลงทุนและพัฒนาองค์ความรู้ด้านนี้อย่างต่อเนื่องจะเป็นหลักประกันว่าเรื่องราวและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยจะยังคงได้รับการบอกเล่าและสืบสานต่อไปในอนาคต


กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930