AI ชนะรางวัลศิลปะ! อนาคตหรือจุดจบของศิลปินไทย?
- ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง
- จุดเริ่มต้นของแรงสั่นสะเทือนในวงการศิลปะไทย
- เมื่อ AI คว้ารางวัล: จุดเปลี่ยนวงการศิลปะไทย
- ประเด็นทางจริยธรรมและลิขสิทธิ์: เงามืดของศิลปะจาก AI
- อนาคตของศิลปินไทยในยุคปัญญาประดิษฐ์
- มุมมองระดับโลก: ปรากฏการณ์ AI Art ไม่ใช่เรื่องใหม่
- เปรียบเทียบศิลปะจากมนุษย์และ AI: ความเหมือนที่แตกต่าง
- บทสรุป: โอกาสและความท้าทายบนทางสองแพร่ง
ประเด็นร้อนที่สั่นสะเทือนวงการศิลปะไทยได้ปะทุขึ้น เมื่อมีข่าวว่าผลงานที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ได้รับรางวัลจากการประกวดศิลปะระดับชาติ คำถามที่ว่า AI ชนะรางวัลศิลปะ! อนาคตหรือจุดจบของศิลปินไทย? จึงกลายเป็นหัวข้อถกเถียงที่แพร่หลาย ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ท้าทายนิยามของคำว่า “ศิลปะ” และ “ศิลปิน” แต่ยังบังคับให้ทุกคนในแวดวงต้องหันมาพิจารณาถึงทิศทางในอนาคต เมื่อเส้นแบ่งระหว่างความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และเทคโนโลยีเริ่มพร่าเลือนลง
ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง
- การท้าทายนิยามของศิลปะ: การที่ AI สามารถสร้างผลงานจนได้รับรางวัล ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงคุณค่า เจตนา และจิตวิญญาณที่เคยเป็นแก่นแท้ของงานศิลปะที่สร้างโดยมนุษย์
- ข้อถกเถียงด้านลิขสิทธิ์และจริยธรรม: AI เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาล ซึ่งรวมถึงผลงานศิลปะที่มีลิขสิทธิ์บนอินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดความกังวลเรื่องการละเมิดสิทธิ์และความเป็นธรรมต่อศิลปินเจ้าของผลงานดั้งเดิม
- อนาคตของอาชีพศิลปิน: ศิลปินไทยและทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ทั้งในแง่ของการแข่งขัน และความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ แทนที่จะถูกแทนที่
- AI ในฐานะเครื่องมือใหม่: อีกมุมหนึ่งมองว่า AI คือเครื่องมือสร้างสรรค์ชนิดใหม่ที่ทรงพลัง สามารถช่วยขยายขอบเขตจินตนาการและเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ศิลปะดิจิทัล
- ความจำเป็นในการสร้างสมดุล: วงการศิลปะจำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการยอมรับนวัตกรรมทางเทคโนโลยีกับการปกป้องคุณค่าของศิลปะที่เกิดจากประสบการณ์และความรู้สึกของมนุษย์
จุดเริ่มต้นของแรงสั่นสะเทือนในวงการศิลปะไทย
เหตุการณ์ที่จุดประกายการถกเถียงเรื่อง AI ชนะรางวัลศิลปะ! อนาคตหรือจุดจบของศิลปินไทย? เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในงาน Bangkok Art Biennale 2025 เมื่อผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถคว้ารางวัลใหญ่มาได้สำเร็จ ข่าวดังกล่าวได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในแวดวงศิลปิน นักวิจารณ์ และผู้ที่สนใจศิลปะ ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนและความคิดเห็นที่แตกออกเป็นหลายฝ่าย ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการประกวด แต่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่เทคโนโลยีกำลังก้าวเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ที่เคยถูกมองว่าเป็นขอบเขตของมนุษย์โดยเฉพาะ นั่นคือ “ความคิดสร้างสรรค์”
การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความท้าทายต่อรากฐานความเชื่อเดิมๆ ที่ว่าศิลปะคือผลผลิตจากประสบการณ์ อารมณ์ความรู้สึก และมุมมองชีวิตของศิลปิน การที่อัลกอริทึมสามารถสร้างผลงานที่งดงามและซับซ้อนจนได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทำให้สังคมศิลปะไทยต้องเผชิญหน้ากับคำถามสำคัญว่า นิยามของ “ศิลปะ” คืออะไร และบทบาทของ “ศิลปิน” ในยุคดิจิทัลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ใครคือผู้สร้างสรรค์ที่แท้จริงระหว่างมนุษย์ผู้ป้อนคำสั่ง (Prompt) และ AI ที่ประมวลผลออกมาเป็นภาพ นี่คือจุดเริ่มต้นของการสำรวจภูมิทัศน์ใหม่ของวงการศิลปะที่กำลังจะมาถึง
เมื่อ AI คว้ารางวัล: จุดเปลี่ยนวงการศิลปะไทย
การที่ผลงานจาก AI ได้รับรางวัลในการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติของไทย ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สร้างทั้งความตื่นเต้นและความกังวลไปพร้อมกัน ชัยชนะครั้งนี้เป็นมากกว่าแค่การประกาศผลรางวัล แต่เป็นสัญลักษณ์ของการมาถึงของยุคใหม่ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้พิสูจน์ศักยภาพในการสร้างสรรค์ผลงานที่เทียบเคียง หรือแม้กระทั่งเหนือกว่าผลงานของมนุษย์ในบางมิติ จนได้รับการยอมรับในเวทีระดับประเทศ
เสียงสะท้อนและแรงกระเพื่อมในหมู่ศิลปิน
ทันทีที่ข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป กระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็เกิดขึ้นอย่างหนาหูในหมู่ศิลปินและผู้คนในวงการศิลปะไทย ศิลปินจำนวนมากแสดงความกังวลว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับอาชีพของพวกเขา หากเครื่องจักรสามารถสร้างงานศิลป์ที่สวยงามได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที คุณค่าของทักษะฝีมือ ประสบการณ์ และเวลาที่ศิลปินมนุษย์ทุ่มเทไปกับการสร้างสรรค์ผลงานแต่ละชิ้นจะลดน้อยลงหรือไม่ ความคิดเห็นเชิงลบส่วนใหญ่มองว่า AI เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อการดำรงอยู่ของศิลปิน เพราะมันสามารถผลิตงานศิลปะได้ในปริมาณมหาศาลและรวดเร็วเกินกว่าที่มนุษย์จะแข่งขันได้
ศิลปะคือการแสดงออกของจิตวิญญาณมนุษย์ หรือเป็นเพียงผลลัพธ์ของอัลกอริทึมที่ซับซ้อน?
คำถามนี้สะท้อนถึงความกังวลในเชิงปรัชญาว่า หากศิลปะปราศจากเจตนาและอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ มันยังสามารถถูกเรียกว่า “ศิลปะ” ได้อย่างเต็มปากหรือไม่ บางส่วนมองว่าการให้รางวัลกับ AI เป็นการลดทอนคุณค่าของกระบวนการสร้างสรรค์ที่เกิดจากความเจ็บปวด ความสุข และประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องจักรไม่สามารถลอกเลียนได้
AI ในฐานะเครื่องมือสร้างสรรค์: มุมมองที่แตกต่าง
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มองว่า AI เป็นผู้ร้าย ในอีกมุมหนึ่ง ศิลปินและนักสร้างสรรค์ยุคใหม่จำนวนไม่น้อยกลับมองเห็นศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ในฐานะ “เครื่องมือ” ชนิดใหม่ที่น่าทึ่ง พวกเขามองว่า AI ไม่ต่างจากกล้องถ่ายรูปในยุคแรก หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิกที่เคยถูกตั้งคำถามในอดีต แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ศิลปินสามารถขยายขอบเขตการสร้างสรรค์ไปได้ไกลกว่าเดิม
ในมุมมองนี้ AI เป็นเหมือนผู้ช่วยที่สามารถระดมสมอง สร้างแรงบันดาลใจ หรือแม้กระทั่งทำงานที่ซ้ำซ้อนแทนศิลปิน ทำให้ศิลปินมีเวลาไปโฟกัสกับแนวคิดและแก่นแท้ของผลงานได้มากขึ้น การใช้ AI จึงไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ แต่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างคนกับเทคโนโลยี เพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะดิจิทัลในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน การเปิดรับเทคโนโลยีจึงอาจไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นประตูสู่การวิวัฒนาการครั้งใหม่ของวงการศิลปะ
ประเด็นทางจริยธรรมและลิขสิทธิ์: เงามืดของศิลปะจาก AI
นอกเหนือจากคำถามเชิงปรัชญาเกี่ยวกับคุณค่าของศิลปะแล้ว การเติบโตของ AI Art ยังมาพร้อมกับความท้าทายที่จับต้องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นด้านกฎหมายและจริยธรรม ซึ่งกลายเป็นเงามืดที่สร้างความกังวลให้กับศิลปินทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย
การเรียนรู้หรือการลอกเลียน? ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์
หัวใจของปัญหาอยู่ที่กระบวนการทำงานของ AI สร้างภาพ AI เหล่านี้ได้รับการฝึกฝน (Train) จากชุดข้อมูลขนาดมหึมา ซึ่งประกอบด้วยรูปภาพและผลงานศิลปะหลายล้านชิ้นที่รวบรวมมาจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานที่มีลิขสิทธิ์ของศิลปินมนุษย์ เมื่อผู้ใช้ป้อนคำสั่ง AI จะนำข้อมูลที่ “เรียนรู้” มาสร้างเป็นภาพใหม่ขึ้นมา กระบวนการนี้ทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือ “การเรียนรู้” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ หรือเป็นเพียง “การลอกเลียน” และ “ขโมยผลงาน” ในรูปแบบดิจิทัล
ศิลปินจำนวนมากรู้สึกว่าลายเส้น สไตล์ และองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาถูก AI นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ผลงานที่ออกมามีลักษณะคล้ายคลึงกับงานของพวกเขา แต่กลับถูกอ้างว่าเป็นผลงานที่สร้างขึ้นใหม่โดย AI ปัญหานี้สร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรง เพราะกฎหมายลิขสิทธิ์ในปัจจุบันยังตามไม่ทันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และยังไม่มีความชัดเจนว่าใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงของภาพที่ AI สร้างขึ้น ระหว่างผู้พัฒนา AI, ผู้ใช้ที่ป้อนคำสั่ง หรือข้อมูลดั้งเดิมที่ AI ใช้เรียนรู้
กรณีศึกษา: บทเรียนจากความกังวลด้านจริยธรรม
ในประเทศไทยเองก็เคยมีกรณีที่สะท้อนถึงความอ่อนไหวในประเด็นนี้ เช่น กรณีที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเผชิญกับเสียงวิจารณ์อย่างหนักหลังใช้ฟิลเตอร์ AI ในการสร้างภาพประชาสัมพันธ์ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติต่อคุณค่าของศิลปะที่สร้างด้วยมือ และยังสะท้อนถึงความไม่เข้าใจในประเด็นด้านจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลของศิลปินอื่นมาสร้างผลงานใหม่โดยไม่ให้เครดิต เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหาด้านจริยธรรมและสิทธิ์ของศิลปินมนุษย์มากขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทคโนโลยี AI
อนาคตของศิลปินไทยในยุคปัญญาประดิษฐ์
การมาถึงของ AI Art ได้แบ่งความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและศิลปินออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน อนาคตของศิลปินไทยจึงแขวนอยู่บนทางสองแพร่งระหว่างความท้าทายที่จะเข้ามาแทนที่ และโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความท้าทายและการเข้ามาแทนที่
กลุ่มที่มองในแง่ลบกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงานศิลปินโดยตรง โดยเฉพาะในสายงานเชิงพาณิชย์ เช่น การวาดภาพประกอบ, การออกแบบกราฟิก, หรือการสร้างคอนเซ็ปต์อาร์ต ที่ต้องการความรวดเร็วและปริมาณงานจำนวนมาก AI สามารถผลิตผลงานเหล่านี้ได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการจ้างมนุษย์อย่างมหาศาล ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าหันไปใช้บริการ AI แทน และส่งผลกระทบต่อรายได้และความมั่นคงในอาชีพของศิลปิน นอกจากนี้ การที่ใครๆ ก็สามารถสร้างภาพที่สวยงามได้ง่ายๆ เพียงแค่พิมพ์ข้อความ อาจทำให้คุณค่าของทักษะการวาดภาพที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนมานานหลายปีถูกลดทอนลงไป
การปรับตัวและโอกาสใหม่ๆ
ในทางกลับกัน กลุ่มที่มองโลกในแง่ดีเชื่อว่า AI จะไม่สามารถแทนที่ “แก่น” ของความเป็นศิลปินได้ นั่นคือความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นต้นฉบับ (Originality), การเล่าเรื่อง (Storytelling) และการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่ลึกซึ้งผ่านผลงาน พวกเขามองว่า AI เป็นเพียงเครื่องมือที่ทรงพลัง ศิลปินที่สามารถปรับตัวและเรียนรู้วิธีการใช้งาน AI ได้อย่างเชี่ยวชาญ จะสามารถยกระดับการทำงานของตนเองไปอีกขั้น
เทคโนโลยีอย่าง DALL-E 2 จาก OpenAI หรือ Midjourney ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยคำสั่งข้อความ (Text-to-Image) สามารถเปิดประตูสู่จินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด ศิลปินสามารถใช้ AI เพื่อสร้างต้นแบบไอเดียอย่างรวดเร็ว, สำรวจสไตล์ภาพที่หลากหลาย, หรือสร้างองค์ประกอบที่ซับซ้อนซึ่งยากต่อการวาดด้วยมือ อนาคตของศิลปินไทยจึงอาจไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันกับ AI แต่อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะ “ร่วมมือ” กับมัน เพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์และก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ
มุมมองระดับโลก: ปรากฏการณ์ AI Art ไม่ใช่เรื่องใหม่
แม้ว่าประเด็น AI ชนะรางวัลศิลปะจะเป็นเรื่องใหม่และสร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคมไทย แต่ในระดับโลกแล้ว ปรากฏการณ์นี้เคยเกิดขึ้นและเป็นที่ถกเถียงกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว กรณีที่มีชื่อเสียงที่สุดคือผลงานชื่อ “Théâtre d’Opéra Spatial” ที่สร้างโดย Jason Allen โดยใช้ AI Midjourney ซึ่งสามารถคว้ารางวัลที่หนึ่งในการประกวดวิจิตรศิลป์ (Fine Arts) ที่งาน Colorado State Fair ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2022
ชัยชนะครั้งนั้นได้จุดประกายการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนในระดับนานาชาติ ศิลปินทั่วโลกแสดงความไม่พอใจและตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมและความถูกต้องของการตัดสิน คล้ายกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เสียงวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่กระบวนการสร้างสรรค์ที่ดูเหมือนจะ “ง่าย” เกินไป และขาดซึ่ง “จิตวิญญาณ” ของศิลปิน อย่างไรก็ตาม Jason Allen โต้แย้งว่าเขาก็ใช้เวลาและความคิดสร้างสรรค์อย่างมากในการคัดเลือกและปรับแก้คำสั่ง (Prompt) นับร้อยครั้งกว่าจะได้ผลงานชิ้นเอกออกมา กรณีนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าโลกตะวันตกได้เผชิญหน้ากับคำถามเหล่านี้มาก่อน และวงการศิลปะทั่วโลกต่างก็กำลังพยายามหาคำตอบและแนวทางในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่นี้เช่นเดียวกัน การที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกมาพูดคุยในไทยมากขึ้น จึงเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาระดับโลกเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีและบทบาทของศิลปินในยุคดิจิทัลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เปรียบเทียบศิลปะจากมนุษย์และ AI: ความเหมือนที่แตกต่าง
เพื่อทำความเข้าใจความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้น การเปรียบเทียบคุณลักษณะสำคัญระหว่างศิลปะที่สร้างโดยมนุษย์และศิลปะที่สร้างโดย AI จะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
คุณลักษณะ | ศิลปะที่สร้างโดยมนุษย์ | ศิลปะที่สร้างโดย AI |
---|---|---|
กระบวนการสร้างสรรค์ | เกิดจากประสบการณ์, ทักษะ, อารมณ์, และเจตนาที่ชัดเจน ใช้เวลาในการฝึกฝนและสร้างสรรค์ | เกิดจากการประมวลผลข้อมูลมหาศาลตามคำสั่ง (Prompt) สร้างผลลัพธ์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว |
อารมณ์และจิตวิญญาณ | สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเรื่องราวส่วนตัวของศิลปินได้อย่างลึกซึ้ง | ยังไม่สามารถสร้างผลงานจากอารมณ์หรือประสบการณ์จริงได้ เป็นการจำลองหรือตีความจากข้อมูลที่เรียนรู้มา |
ลิขสิทธิ์และความเป็นต้นฉบับ | มีความชัดเจน ผู้สร้างสรรค์คือเจ้าของลิขสิทธิ์ ผลงานมีที่มาที่ไปและเป็นต้นฉบับ | ยังมีความคลุมเครือทางกฎหมาย อาจเกิดจากการผสมผสานงานที่มีลิขสิทธิ์อยู่แล้ว ทำให้เกิดข้อถกเถียง |
ความเร็วและปริมาณ | กระบวนการสร้างสรรค์ใช้เวลามาก ผลิตงานได้ในปริมาณจำกัด | สามารถผลิตผลงานได้หลากหลายรูปแบบในปริมาณมหาศาลและใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีหรือนาที |
การพัฒนาและเรียนรู้ | พัฒนาผ่านการฝึกฝน, การศึกษา, และประสบการณ์ชีวิต ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้าและต่อเนื่อง | พัฒนาและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดผ่านการอัปเดตอัลกอริทึมและชุดข้อมูล |
บทสรุป: โอกาสและความท้าทายบนทางสองแพร่ง
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ว่า AI ชนะรางวัลศิลปะ! อนาคตหรือจุดจบของศิลปินไทย? ยังคงไม่มีคำตอบที่ตายตัว การที่ AI สามารถสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจนเป็นที่ยอมรับได้นั้น เป็นทั้ง “โอกาส” และ “ความท้าทาย” ครั้งใหญ่สำหรับวงการศิลปะไทยและทั่วโลก มันคือความท้าทายต่ออาชีพศิลปิน นิยามของความคิดสร้างสรรค์ และประเด็นด้านลิขสิทธิ์ที่ต้องมีการถกเถียงและหาทางออกร่วมกันอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน มันก็คือโอกาสที่ศิลปินจะได้เครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังมาช่วยปลดปล่อยจินตนาการและขยายขอบเขตการทำงานศิลปะให้กว้างไกลกว่าที่เคยเป็นมา อนาคตของศิลปินไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการต่อต้านเทคโนโลยี แต่อยู่ที่ความสามารถในการปรับตัว, การเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับ AI และการสร้างสรรค์ผลงานที่ยังคงรักษา “ความเป็นมนุษย์” ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ นั่นคือเจตนา, เรื่องราว, และจิตวิญญาณที่ฝังลึกอยู่ในผลงาน การหาจุดสมดุลระหว่างนวัตกรรมและคุณค่าดั้งเดิมของศิลปะจึงเป็นโจทย์สำคัญที่วงการศิลปะไทยต้องร่วมกันค้นหาคำตอบต่อไปในยุคดิจิทัลนี้