ภาษีคริปโต 2568: วางแผนลดหย่อนโค้งสุดท้ายทำอย่างไร?
- สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาษีคริปโต 2568
- ภูมิทัศน์ใหม่ของภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2568
- มาตรการภาษีคริปโตฉบับล่าสุด: อัปเดตสำหรับปี 2568
- วิธีคำนวณกำไรขาดทุนเพื่อยื่นภาษี: เลือกแบบไหนให้เหมาะสม
- รายได้จากสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี
- เช็กลิสต์วางแผนภาษีคริปโตโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2568
- บทสรุปและการเตรียมตัวสำหรับอนาคต
การวางแผนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และมาตรการล่าสุดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถจัดการภาระภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มที่
สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาษีคริปโต 2568
- การยกเว้นภาษีกำไร 5 ปี: กำไรจากการขายคริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2572
- การหักลบขาดทุน: นักลงทุนสามารถนำผลขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปีภาษีเดียวกัน มาหักลบกับกำไรที่เกิดขึ้นในปีเดียวกันได้ ซึ่งช่วยลดฐานภาษีที่ต้องคำนวณ
- รายได้ประเภทอื่นยังคงต้องเสียภาษี: รายได้จากสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ใช่กำไรจากการขาย เช่น ผลตอบแทนจากการ Staking, Airdrop, หรือการได้รับเป็นของขวัญ ยังคงถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 (มาตรา 40(8)) และต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อยื่นภาษี
- ความสำคัญของแพลตฟอร์ม: สิทธิประโยชน์ทางภาษีส่วนใหญ่ รวมถึงการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และการยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% จะมีผลเมื่อทำธุรกรรมผ่าน Exchange ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในประเทศไทยเท่านั้น
- การเลือกวิธีคำนวณต้นทุน: นักลงทุนต้องเลือกวิธีคำนวณต้นทุนเพียงวิธีเดียวตลอดทั้งปีภาษี ระหว่างวิธีเข้าก่อน-ออกก่อน (FIFO) หรือวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost) ซึ่งการเลือกวิธีที่แตกต่างกันอาจส่งผลต่อจำนวนกำไรที่ต้องรายงาน
ภูมิทัศน์ใหม่ของภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2568
เมื่อเข้าสู่ช่วงสิ้นปี 2568 นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจำเป็นต้องประเมินและวางแผนกลยุทธ์ทางภาษีของตนเองอย่างรอบคอบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) ในช่วงต้นปี 2569 ปีนี้ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกี่ยวกับกฎระเบียบภาษีคริปโตในประเทศไทย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาระภาษีและวิธีการจัดการพอร์ตการลงทุน
ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ใหม่และความสำคัญของการวางแผน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับที่ 399 (พ.ศ. 2568) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป กฎหมายฉบับนี้ได้มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีครั้งใหญ่แก่นักลงทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มที่ถูกกฎหมายและอยู่ภายใต้การกำกับดูแล การวางแผนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจึงไม่ใช่แค่การรวบรวมเอกสาร แต่เป็นโอกาสในการปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อใช้ประโยชน์จากมาตรการใหม่ๆ ให้ได้มากที่สุด
ใครบ้างที่ต้องสนใจเรื่องภาษีคริปโต
บุคคลทุกคนที่มีรายได้จากการถือครองหรือซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นคริปโตเคอร์เรนซี, โทเคนดิจิทัล, หรือ NFT ล้วนอยู่ในข่ายที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษี ซึ่งรวมถึง:
- นักเทรด (Trader) ที่ทำกำไรจากการซื้อขายระยะสั้นและระยะยาว
- นักลงทุนระยะยาว (Holder/Investor) ที่ขายสินทรัพย์บางส่วนออกไปเพื่อทำกำไร
- ผู้ที่ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบอื่นๆ เช่น Staking, Yield Farming, หรือ Airdrop
- นักสร้างสรรค์และนักสะสม NFT ที่มีรายได้จากการซื้อขายผลงาน
การทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในระบบนิเวศของสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้แน่ใจว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วน
มาตรการภาษีคริปโตฉบับล่าสุด: อัปเดตสำหรับปี 2568
ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับนักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย จากการประกาศใช้มาตรการทางภาษีใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์และช่วยลดความซับซ้อนในการคำนวณภาษี การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการสนับสนุนอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
การยกเว้นภาษีกำไรจากการขาย 5 ปี: เงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้
มาตรการที่โดดเด่นที่สุดคือการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรจากการขาย (Capital Gains) คริปโตเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
- ระยะเวลา: มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 5 ปีภาษี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572
- เงื่อนไขหลัก: การซื้อขายจะต้องเกิดขึ้นผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ที่ได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น
- ขอบเขต: ครอบคลุมกำไรที่เกิดจากส่วนต่างของราคาขายกับราคาต้นทุนของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายเช่นค่าธรรมเนียมการซื้อขายออกจากกำไรได้
ตัวอย่าง: หากนักลงทุนซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลมาในราคา 3,500,000 บาท และขายไปในราคา 3,600,000 บาท ผ่านแพลตฟอร์มที่ ก.ล.ต. รับรอง กำไรจำนวน 100,000 บาท (หลังหักค่าธรรมเนียม) จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมด
มาตรการผ่อนปรนอื่นๆ ที่ยังคงมีผลบังคับใช้
นอกเหนือจากการยกเว้นภาษีกำไรแล้ว ยังมีมาตรการผ่อนปรนอื่นๆ ที่นักลงทุนควรทราบและยังคงมีผลบังคับใช้ต่อเนื่อง:
- การหักลบกำไรขาดทุน: นักลงทุนสามารถนำผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปีภาษี 2568 มาหักลบกับกำไรจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปีเดียวกันได้ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเงินได้สุทธิที่ต้องนำไปคำนวณภาษี
- ยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15%: ธุรกรรมการซื้อขายผ่าน Exchange ที่ได้รับอนุมัติ จะไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้มีเงินได้ยังคงมีหน้าที่ต้องนำรายได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อยื่นภาษีประจำปีหากมีรายได้ถึงเกณฑ์
- ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ธุรกรรมการโอนหรือซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่กระทำผ่าน Exchange ที่ ก.ล.ต. รับรอง และธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Retail CBDC ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงได้รับการยกเว้น VAT เช่นเดิม
วิธีคำนวณกำไรขาดทุนเพื่อยื่นภาษี: เลือกแบบไหนให้เหมาะสม
แม้ว่ากำไรจากการขายจะได้รับการยกเว้นภาษีภายใต้เงื่อนไขใหม่ แต่การคำนวณกำไรและขาดทุนอย่างถูกต้องยังคงมีความสำคัญ เพื่อวัตถุประสงค์ในการบันทึกบัญชีและการนำผลขาดทุนไปหักลบกำไร กรมสรรพากรอนุญาตให้เลือกใช้วิธีคำนวณต้นทุนได้ 2 วิธี แต่นักลงทุนจะต้องเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งตลอดทั้งปีภาษี และจะสามารถเปลี่ยนวิธีได้ในปีถัดไป
วิธีเข้าก่อน-ออกก่อน (FIFO: First-In, First-Out)
วิธีนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่ซื้อเข้ามาก่อน จะถูกขายออกไปก่อน ดังนั้น การคำนวณต้นทุนของสินทรัพย์ที่ขายไป จะอิงจากราคาของล็อตแรกสุดที่ซื้อมา วิธีนี้มีความตรงไปตรงมาและง่ายต่อการคำนวณ
ตัวอย่าง: หากซื้อ ETH ครั้งแรกที่ราคา 100 บาท และซื้อครั้งที่สองที่ราคา 120 บาท ต่อมาเมื่อขาย ETH ออกไป การคำนวณกำไรจะใช้ต้นทุน 100 บาท มาหักลบกับราคาขาย
วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost)
วิธีนี้จะคำนวณต้นทุนของสินทรัพย์ดิจิทัลโดยการนำต้นทุนทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ยใหม่ทุกครั้งที่มีการซื้อเพิ่มเข้ามา ต้นทุนเฉลี่ยนี้จะถูกใช้ในการคำนวณกำไรเมื่อมีการขายสินทรัพย์ออกไป วิธีนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีการซื้อขายบ่อยครั้งและต้องการทำให้ต้นทุนมีความเรียบสม่ำเสมอ
ตัวอย่าง: หากใช้ข้อมูลเดียวกับข้างต้น เมื่อมีการซื้อครั้งที่สองที่ราคา 120 บาท ระบบจะคำนวณต้นทุนเฉลี่ยใหม่ (เช่น (100+120)/2 = 110 บาท) และใช้ต้นทุนเฉลี่ยนี้ในการคำนวณกำไรเมื่อมีการขาย
| คุณสมบัติ | FIFO (เข้าก่อน-ออกก่อน) | Moving Average Cost (ต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่) |
|---|---|---|
| หลักการคำนวณ | ใช้ต้นทุนของสินทรัพย์ล็อตแรกที่ซื้อมาในการคำนวณกำไร | ใช้ต้นทุนเฉลี่ยของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มีอยู่ ณ เวลาที่ขาย |
| ความซับซ้อน | คำนวณง่าย ตรงไปตรงมา เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น | ซับซ้อนกว่า ต้องคำนวณต้นทุนเฉลี่ยใหม่ทุกครั้งที่ซื้อเพิ่ม |
| ผลกระทบต่อกำไร | ในตลาดขาขึ้น อาจทำให้แสดงกำไรสูงกว่าเนื่องจากใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่า | ช่วยทำให้กำไรหรือขาดทุนมีความราบรื่น ไม่ผันผวนตามราคาที่ซื้อแต่ละครั้ง |
| เหมาะสำหรับ | นักลงทุนระยะยาวที่ไม่ซื้อขายบ่อย และต้องการความเรียบง่าย | นักเทรดที่มีการซื้อขายบ่อยครั้งและต้องการสะท้อนต้นทุนที่ใกล้เคียงปัจจุบัน |
รายได้จากสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี
สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องระวังคือ มาตรการยกเว้นภาษีนั้นครอบคลุมเฉพาะ “กำไรจากการขาย” เท่านั้น รายได้ในรูปแบบอื่นที่เกิดจากสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในฐานะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8)
Airdrop, ของขวัญ และรางวัล
การได้รับเหรียญหรือโทเคนมาโดยไม่มีต้นทุน เช่น จากกิจกรรม Airdrop, การได้รับเป็นของขวัญ หรือเป็นรางวัลจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ จะถูกนับเป็นเงินได้ ณ วันที่ได้รับ โดยใช้มูลค่าตลาดของสินทรัพย์นั้นๆ ในวันที่ได้มาเป็นฐานในการคำนวณ
ผลตอบแทนจากการ Staking และ Yield Farming
ผลตอบแทนที่ได้รับจากการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปฝากไว้ในระบบ (Staking) หรือการให้บริการสภาพคล่องในแพลตฟอร์ม DeFi (Yield Farming) ถือเป็นเงินได้พึงประเมินเช่นกัน นักลงทุนจะต้องบันทึกมูลค่าของผลตอบแทนที่ได้รับ ณ วันที่ได้รับ และนำไปรวมคำนวณภาษีสิ้นปี
เกณฑ์การยื่นภาษี: เมื่อไหร่ที่ต้องยื่นแม้ไม่ต้องเสียภาษี
แม้ว่าอาจจะไม่มีภาระภาษีที่ต้องชำระ แต่ในบางกรณี ผู้มีเงินได้ยังคงมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามกฎหมาย:
- กรณีมีเงินได้จากคริปโตอย่างเดียว: หากมีกำไรไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี ไม่จำเป็นต้องยื่นภาษี แต่หากมีกำไรเกิน 60,000 บาท แต่ไม่เกิน 210,000 บาท (หลังหักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท จะมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท) จะต้องยื่นแบบฯ แต่จะได้รับการยกเว้นภาษี
- กรณีมีเงินได้ประเภทอื่นร่วมด้วย: หากมีเงินได้จากแหล่งอื่น เช่น เงินเดือนหรือฟรีแลนซ์ จะต้องนำรายได้จากคริปโต (เฉพาะส่วนที่ไม่ได้รับการยกเว้น) มารวมคำนวณกับเงินได้อื่นๆ เพื่อยื่นภาษีตามปกติ
- กรณีพิเศษ: ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้พิการ จะได้รับสิทธิ์ยกเว้นเงินได้ 190,000 บาทแรก ทำให้เกณฑ์ที่ต้องยื่นแต่ไม่ต้องเสียภาษีอาจสูงถึง 400,000 บาท (ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น)
เช็กลิสต์วางแผนภาษีคริปโตโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2568
เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการยื่นภาษีในปี 2569 และใช้ประโยชน์จากมาตรการทางภาษีให้ได้สูงสุด นักลงทุนควรดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ก่อนสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2568
- ขั้นตอนที่ 1: ตรวจสอบและโยกย้ายธุรกรรมไปยังแพลตฟอร์มที่ได้รับการรับรอง
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการซื้อขายส่วนใหญ่เกิดขึ้นบน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เพื่อให้เข้าเงื่อนไขการยกเว้นภาษีกำไร หากมีการลงทุนในแพลตฟอร์มต่างประเทศ ควรพิจารณาถึงผลกระทบทางภาษีที่อาจเกิดขึ้น - ขั้นตอนที่ 2: รวบรวมและคำนวณผลขาดทุนเพื่อหักลบกำไร
รวบรวมข้อมูลการซื้อขายทั้งหมดในปี 2568 เพื่อคำนวณหากำไรและขาดทุน หากมีสินทรัพย์ที่ขาดทุนอยู่ อาจพิจารณาขายออกไปก่อนสิ้นปี (Tax-Loss Harvesting) เพื่อนำผลขาดทุนนั้นไปหักลบกับกำไรที่เกิดขึ้นในปีเดียวกัน ซึ่งจะช่วยลดฐานภาษีสำหรับรายได้ประเภทอื่นที่อาจต้องเสียภาษี - ขั้นตอนที่ 3: ตัดสินใจเลือกวิธีคำนวณต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด
ทดลองคำนวณกำไรขาดทุนด้วยทั้งวิธี FIFO และ Moving Average เพื่อดูว่าวิธีใดให้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์มากกว่าสำหรับสถานการณ์ของตนเอง เมื่อตัดสินใจแล้ว ให้ยึดใช้วิธีนั้นในการคำนวณตลอดทั้งปี - ขั้นตอนที่ 4: เตรียมเอกสารและบันทึกธุรกรรมทั้งหมด
ดาวน์โหลดประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดจากทุก Exchange ที่ใช้งาน ทั้งการซื้อ, ขาย, ฝาก, ถอน และการรับผลตอบแทนอื่นๆ เก็บข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นระเบียบเพื่อความสะดวกในการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร - ขั้นตอนที่ 5: ทำความเข้าใจข้อจำกัดและข้อยกเว้น
ข้อควรระวังที่สำคัญคือ ผลขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถหักลบได้เฉพาะกับกำไรจากสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น ไม่สามารถนำไปหักลบข้ามประเภทกับเงินได้อื่น ๆ เช่น กำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น หรือรายได้จาก Forex ได้ เว้นแต่จะมีประกาศเปลี่ยนแปลงจากกรมสรรพากรในอนาคต
บทสรุปและการเตรียมตัวสำหรับอนาคต
การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ภาษีคริปโตในปี 2568 นับเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนในประเทศไทย การยกเว้นภาษีกำไรเป็นเวลา 5 ปีถือเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ช่วยลดภาระและส่งเสริมการลงทุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การวางแผนภาษีอย่างรอบคอบยังคงเป็นสิ่งจำเป็น นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มที่ถูกกฎหมาย, การบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ, การเลือกวิธีคำนวณต้นทุนที่เหมาะสม และการแยกแยะรายได้ประเภทต่างๆ ที่ยังคงต้องเสียภาษี
การเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี จะช่วยให้กระบวนการยื่นภาษีในต้นปี 2569 เป็นไปอย่างราบรื่น ถูกต้อง และช่วยให้นักลงทุนสามารถบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดท่ามกลางภูมิทัศน์ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
สำหรับธุรกิจและองค์กรที่กำลังมองหาการผลิตเสื้อผ้าสั่งทำ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสำหรับทีมกีฬา งานอีเวนต์ขององค์กร หรือการสร้างแบรนด์ KDC SPORT ให้บริการรับผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าพิมพ์ลาย เสื้อกีฬา และเสื้อองค์กรอย่างครบวงจร เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังรับผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถ ติดต่อเรา
ที่อยู่ของเรา
888 หมู่ 26 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
094-295-9898


