วางแผนการเงินยุค ‘ชีวิต 100 ปี’ คนไทยต้องพร้อม
ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข ส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลก รวมถึงคนไทย เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แนวคิดเรื่อง “ชีวิต 100 ปี” จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุกมิติของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงิน การวางแผนการเงินแบบดั้งเดิมที่เคยใช้ได้ผล อาจไม่เพียงพอสำหรับรองรับช่วงชีวิตหลังเกษียณที่ยาวนานขึ้นอีกหลายสิบปี
ประเด็นสำคัญที่ต้องรู้
- ชีวิตที่ยาวนานขึ้น: เด็กที่เกิดในปัจจุบันกว่า 50% มีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวถึง 100 ปี ทำให้ช่วงเวลาหลังเกษียณอาจยาวนานถึง 40 ปี หรือมากกว่า
- แผนการเงินแบบเดิมไม่เพียงพอ: รูปแบบชีวิต 3 ช่วง (เรียน-ทำงาน-เกษียณ) กำลังเปลี่ยนไป การมีระยะเวลาทำงานเท่าเดิมแต่ต้องใช้เงินนานขึ้น ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การออมและการลงทุนใหม่ทั้งหมด
- ความจำเป็นของ Longevity Finance: คือแนวคิดการวางแผนการเงินเพื่อรองรับชีวิตที่ยืนยาวโดยเฉพาะ ครอบคลุมทั้งการสะสมทรัพย์สิน การลงทุนระยะยาว การบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพ และการวางแผนมรดก
- ทักษะทางการเงินคนไทย: แม้ทักษะทางการเงินโดยรวมของคนไทยจะดีขึ้น แต่ยังคงมีจุดอ่อนในเรื่องการวางแผนระยะยาวและการจัดสรรเงินเพื่อการลงทุน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัย
- การเริ่มต้นคือสิ่งสำคัญ: ยิ่งเริ่มต้นวางแผนการเงินเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้มากขึ้นเท่านั้น เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีคุณภาพ
เมื่อชีวิตยืนยาวกว่าที่เคย: แผนการเงินต้องเปลี่ยนไป
การวางแผนการเงินยุค ‘ชีวิต 100 ปี’ คนไทยต้องพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรและอายุขัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ชี้ให้เห็นว่า เด็กที่เกิดในวันนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งจะมีอายุยืนยาวถึงหนึ่งศตวรรษ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้กรอบความคิดทางการเงินแบบเดิมที่แบ่งชีวิตออกเป็น 3 ช่วงหลัก คือ วัยเรียน (ถึงอายุประมาณ 25 ปี), วัยทำงาน (ประมาณ 35 ปี) และวัยเกษียณ (ประมาณ 25 ปี) ไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป
ในยุคชีวิต 100 ปี ช่วงเวลาหลังเกษียณอาจยืดออกไปยาวนานถึง 40 ปีหรือมากกว่านั้น หมายความว่าระยะเวลาที่ต้องพึ่งพาเงินออมและผลตอบแทนจากการลงทุนจะยาวนานขึ้นเป็นเท่าตัว ในขณะที่ช่วงเวลาของการทำงานเพื่อสะสมทุนทรัพย์อาจไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ปรากฏการณ์นี้สร้างความท้าทายใหม่ๆ ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่กัดกินมูลค่าของเงินในระยะยาว ความไม่แน่นอนของตลาดแรงงานที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีและสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่มักจะเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ ดังนั้น การปรับกระบวนทัศน์และวางแผนการเงินเชิงรุกเพื่อรองรับชีวิตที่ยืนยาวจึงกลายเป็นความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับคนทุกรุ่น
Longevity Finance คืออะไร? ทำไมจึงสำคัญ
Longevity Finance หรือ การเงินเพื่อชีวิตที่ยืนยาว คือแนวคิดและกลยุทธ์การบริหารจัดการทรัพย์สินที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อรองรับช่วงชีวิตที่ยาวนานขึ้นกว่าในอดีต หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้ไม่ใช่เพียงแค่การออมเงินเพื่อการเกษียณ แต่เป็นการวางแผนทางการเงินแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การสร้างความมั่งคั่ง การปกป้องทรัพย์สิน การรักษาสุขภาพ ไปจนถึงการส่งต่อมรดกอย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของ Longevity Finance อยู่ที่การช่วยให้บุคคลสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีอิสรภาพทางการเงินตลอดช่วงอายุขัย ไม่ว่าจะมีอายุยืนยาวเพียงใดก็ตาม การวางแผนที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงจากการมีเงินไม่พอใช้ในบั้นปลายชีวิต ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาคุณภาพชีวิตที่ลดลงหรือการต้องพึ่งพาบุตรหลานและสวัสดิการจากภาครัฐ นอกจากนี้ ยังช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ไม่คาดคิด ซึ่งเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดของผู้สูงอายุ การตระหนักและเริ่มวางแผนตามแนวทาง Longevity Finance ตั้งแต่อายุยังน้อยจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่นคงทางการเงินในยุคที่มนุษย์มีชีวิตยืนยาวถึง 100 ปี
| มิติการวางแผน | แผนการเงินแบบดั้งเดิม (ชีวิต 3 ช่วง) | แผนการเงินยุคชีวิต 100 ปี (Longevity Finance) |
|---|---|---|
| ช่วงวัยเรียนรู้ | ประมาณ 23-25 ปี | ต่อเนื่องตลอดชีวิต (Lifelong Learning) |
| ช่วงวัยทำงาน | ประมาณ 35 ปี (ทำงานเดียวต่อเนื่อง) | 40-50 ปี (อาจมีการเปลี่ยนอาชีพ/พักเบรค) |
| ช่วงวัยเกษียณ | ประมาณ 25 ปี (หยุดทำงานถาวร) | อาจยาวนานถึง 40 ปี (อาจทำงานต่อ/ทำงานอาสาสมัคร) |
| เป้าหมายการออม | เพื่อเกษียณสุขสบายในระยะเวลา 20-25 ปี | เพื่อรองรับค่าใช้จ่าย 40+ ปี, ค่ารักษาพยาบาลระยะยาว, และเงินเฟ้อ |
| กลยุทธ์การลงทุน | เน้นสมดุลระหว่างเติบโตและความเสี่ยงปานกลาง | ต้องรับความเสี่ยงสูงขึ้นในวัยหนุ่มสาว และลงทุนระยะยาวมากเป็นพิเศษ |
| ความสำคัญของประกัน | เน้นประกันชีวิตและสุขภาพพื้นฐาน | เน้นประกันสุขภาพผู้สูงอายุ, ประกันโรคร้ายแรง, และประกันบำนาญ |
หลักการวางแผนการเงินสำหรับชีวิต 100 ปี
การเตรียมความพร้อมทางการเงินสำหรับชีวิตที่ยืนยาวต้องอาศัยวินัยและกลยุทธ์ที่ชัดเจน โดยมีหลักการสำคัญที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ดังนี้
เริ่มต้นให้เร็วที่สุด
หัวใจของการวางแผนการเงินระยะยาวคือ “เวลา” การเริ่มต้นออมและลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยให้พลังของผลตอบแทนทบต้น (Compound Interest) ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ง่ายกว่าและใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่าการไปเริ่มในช่วงท้ายของวัยทำงาน สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจศักยภาพทางการเงินของตนเอง และตอบคำถามให้ได้ว่าต้องการใช้ชีวิตในแต่ละช่วงอายุอย่างไร เพื่อกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
บริหารรายได้ด้วยหลัก ‘4 Magic No.’
หลักการบริหารจัดการรายได้เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งสามารถแบ่งสัดส่วนรายได้ 100% ออกเป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้
การจัดสรรรายได้ 100% ตามหลัก ‘4 Magic No.’
• ไม่เกิน 40% สำหรับชำระหนี้: ควบคุมภาระหนี้สินทั้งหมด เช่น หนี้บ้าน รถ หรือบัตรเครดิต ให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิน 40% ของรายได้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อสภาพคล่อง
• ไม่เกิน 30% สำหรับใช้จ่ายทั่วไป: จัดสรรงบสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร การเดินทาง และสันทนาการ
• ไม่ต่ำกว่า 20% สำหรับออมและลงทุน: กำหนดเป้าหมายการออมเพื่ออนาคต โดยยึดหลัก “ออมก่อนใช้” และนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนให้งอกเงย
• ไม่ต่ำกว่า 10% สำหรับการทำประกัน: แบ่งเงินส่วนนี้เพื่อซื้อประกันสำหรับบริหารความเสี่ยงต่างๆ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต หรือประกันอุบัติเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เงินออมต้องสูญเสียไปกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
สร้างเกราะป้องกันด้วยเงินสำรองฉุกเฉิน
ก่อนจะเริ่มลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว การมีเงินสำรองฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยควรเตรียมเงินสำรองไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างน้อย 6-12 เดือน เงินส่วนนี้ควรเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อให้สามารถเบิกถอนมาใช้ได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การตกงาน หรือการเจ็บป่วยกะทันหัน โดยไม่กระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว
วางแผนเกษียณอย่างรอบคอบ
การวางแผนเกษียณในยุคชีวิต 100 ปีต้องคำนึงถึงปัจจัยที่ซับซ้อนกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เงินเฟ้อ” ซึ่งจะทำให้มูลค่าของเงินลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น จึงต้องคำนวณจำนวนเงินที่คาดว่าจะต้องใช้หลังเกษียณโดยรวมผลกระทบของเงินเฟ้อเข้าไปด้วย จากนั้นจึงตรวจสอบสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมด เช่น เงินฝาก, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), และเงินชดเชยต่างๆ เพื่อประเมินว่าเพียงพอต่อเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ หลักการ “3 รู้” สามารถช่วยให้การวางแผนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่ รู้จักตัวเอง (รายรับ รายจ่าย ความเสี่ยงที่ยอมรับได้), รู้จักเป้าหมาย (ต้องการเงินเท่าไหร่ เมื่อไหร่), และรู้จักเครื่องมือการเงิน (เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยง)
ลงทุนและบริหารความเสี่ยง
การออมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะเอาชนะเงินเฟ้อในระยะยาวได้ การลงทุนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มพูนทรัพย์สินให้เติบโตทันต่อค่าใช้จ่ายในอนาคต ควรจัดสรรเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการซื้อประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่อาจทำให้เงินเกษียณหมดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เช่น ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลสูง หรือความเสี่ยงจากการมีอายุยืนยาวเกินคาด (Longevity Risk)
ภาพรวมทักษะทางการเงินของคนไทยในปัจจุบัน
ข้อมูลผลสำรวจทักษะทางการเงินของคนไทยปี 2565 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการที่น่าสนใจ โดยระดับทักษะทางการเงินโดยรวมของคนไทยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 71.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD (60.5%) สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักและความรู้ความเข้าใจด้านการเงินที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พฤติกรรมการออมของคนไทยส่วนใหญ่ยังคงเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก โดย 75.4% เลือกเก็บออมในรูปแบบเงินสดและบัญชีเงินฝาก ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงต่ำแต่ก็ให้ผลตอบแทนที่อาจไม่ทันต่ออัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจยังพบจุดอ่อนที่สำคัญในด้านการวางแผนและการจัดสรรเงิน โดยคนไทยจำนวนมากยังขาดทักษะในการเปรียบเทียบข้อมูลผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนการเงินระยะยาว
ในขณะเดียวกัน ความต้องการใช้บริการวางแผนทางการเงินกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดย 61% ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความต้องการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ และ 41% ต้องการคำปรึกษาเพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่า แม้คนไทยจะมีความตั้งใจที่ดีในการเตรียมตัวเพื่ออนาคต แต่ยังคงต้องการคำแนะนำและความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริงอย่างมีประสิทธิภาพ
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออนาคต
สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) ได้ให้คำแนะนำในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก
- สำหรับคนทั่วไป: ควรให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วย การมีเงินสำรองฉุกเฉินที่เพียงพอ, การวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มเงินออม, การทำประกันเพื่อลดความเสี่ยงในชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือการวางแผนเกษียณอย่างเป็นระบบตั้งแต่อายุยังน้อย
- สำหรับกลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน: สถานการณ์นี้จำเป็นต้องมีการวางแผนที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยหากอายุต่ำกว่า 55 ปี ควรประเมินสถานะทางการเงินและวางแผนหางานใหม่หรือเริ่มต้นธุรกิจ ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี อาจต้องพิจารณาทางเลือกในการเกษียณอายุก่อนกำหนด และปรับแผนการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสินทรัพย์ที่มีอยู่
คำแนะนำเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะในยุคที่มีความไม่แน่นอนสูง การมีแผนสำรองทางการเงินจะช่วยลดผลกระทบและทำให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้
บทสรุป: เตรียมพร้อมสู่อนาคตที่มั่นคง
ยุค “ชีวิต 100 ปี” ไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่คือความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นและส่งผลให้คนไทยต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และพฤติกรรมทางการเงินอย่างสิ้นเชิง การวางแผนการเงินแบบเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการเกษียณในระยะเวลา 20-25 ปี ไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องขยายขอบเขตไปสู่การวางแผนเพื่อรองรับชีวิตหลังเกษียณที่อาจยาวนานถึง 40 ปี หรือมากกว่านั้น
การเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่วันนี้ โดยนำหลักการบริหารรายได้ การเตรียมเงินฉุกเฉิน การวางแผนเกษียณที่คำนึงถึงเงินเฟ้อ และการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตของทรัพย์สินมาปรับใช้ คือหนทางสู่การสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว แม้ทักษะทางการเงินของคนไทยจะพัฒนาขึ้น แต่ยังจำเป็นต้องเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านการวางแผนและการจัดสรรเงินลงทุนให้มากขึ้น การเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนที่ดีที่สุดเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีไปจนถึงอายุ 100 ปี


