“เกษียณ 2 ชั้น” เทรนด์ใหม่คนทำงาน วางแผนการเงินยังไง?
- ประเด็นสำคัญของการวางแผนเกษียณ 2 ชั้น
- ทำความรู้จักเทรนด์ “เกษียณ 2 ชั้น” แนวคิดใหม่แห่งยุค
- หลักการสำคัญและเป้าหมายของ “เกษียณ 2 ชั้น”
- วางแผนการเงินสำหรับ “เกษียณ 2 ชั้น” เทรนด์ใหม่คนทำงาน วางแผนการเงินยังไง?
- ความเชื่อมโยงกับแนวคิด FIRE Movement และ Barista FIRE
- บทสรุป: เริ่มต้นวางแผนสู่อิสรภาพทางการเงินสองระดับ
แนวคิดการเกษียณแบบดั้งเดิมที่ต้องรอจนถึงอายุ 60 ปี อาจไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและเป้าหมายของคนทำงานในยุคปัจจุบันอีกต่อไป ส่งผลให้เกิดเทรนด์การวางแผนการเงินรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “เกษียณ 2 ชั้น” ซึ่งเป็นการออกแบบชีวิตหลังทำงานที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น
ประเด็นสำคัญของการวางแผนเกษียณ 2 ชั้น
- นิยามใหม่ของการเกษียณ: “เกษียณ 2 ชั้น” คือการแบ่งช่วงเวลาเกษียณออกเป็น 2 ระยะ คือ การเกษียณเร็วหรือการพักงานระยะยาว (Mini-Retirement) เพื่อค้นหาตัวเองหรือทำตามความฝัน และการเกษียณอย่างเต็มตัวในวัยสูงอายุเพื่อความมั่นคงระยะยาว
- อิสรภาพทางการเงินเป็นหัวใจสำคัญ: แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจาก FIRE Movement (Financial Independence, Retire Early) ซึ่งเน้นการสร้างวินัยทางการเงินอย่างเข้มข้นเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายอิสรภาพทางการเงินโดยเร็วที่สุด
- การวางแผนที่ซับซ้อนแต่ยืดหยุ่น: การจะบรรลุเป้าหมายเกษียณ 2 ชั้นได้นั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนการเงินที่รัดกุม ทั้งในด้านการออม การลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสด และการบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสมกับเป้าหมายในแต่ละช่วง
- ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่: เทรนด์นี้ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Y และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) และมองหาความหมายของชีวิตนอกเหนือจากการทำงานประจำเพียงอย่างเดียว
บทความนี้จะเจาะลึกถึงแนวคิด “เกษียณ 2 ชั้น” เทรนด์ใหม่คนทำงาน วางแผนการเงินยังไง? เพื่อให้เข้าใจถึงหลักการสำคัญ วิธีการวางแผนทางการเงินที่จำเป็น รวมถึงความเชื่อมโยงกับแนวคิดทางการเงินสมัยใหม่อื่นๆ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ต้องการออกแบบชีวิตหลังเกษียณด้วยตัวเอง
ทำความรู้จักเทรนด์ “เกษียณ 2 ชั้น” แนวคิดใหม่แห่งยุค
ในอดีต ภาพของการเกษียณมักจะถูกผูกติดอยู่กับการหยุดทำงานโดยสิ้นเชิงเมื่ออายุครบ 60 หรือ 65 ปี และใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยเงินบำนาญหรือเงินออมที่สะสมมาตลอดชีวิตการทำงาน อย่างไรก็ตาม ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และทัศนคติของคนทำงานรุ่นใหม่ ทำให้แนวคิดการเกษียณแบบเดิมเริ่มถูกท้าทาย และเกิดเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจขึ้นมา
ทำไมแนวคิดการเกษียณแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอ?
ปัจจัยหลายประการทำให้การเกษียณที่อายุ 60 ปีอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคนอีกต่อไป ประการแรกคือ อายุขัยเฉลี่ยของประชากรที่สูงขึ้น หมายความว่าระยะเวลาที่ต้องใช้เงินหลังเกษียณยาวนานขึ้น การวางแผนการเงินจึงต้องรอบคอบและมีเป้าหมายที่สูงขึ้นตามไปด้วย ประการที่สองคือ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความผันผวนของตลาดการลงทุน ทำให้การพึ่งพาแหล่งรายได้ทางเดียวหลังเกษียณมีความเสี่ยงสูงขึ้น
นอกจากนี้ คนทำงานรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีมุมมองต่อการทำงานและชีวิตที่แตกต่างออกไป พวกเขาไม่ได้มองว่าการทำงานหนักตลอด 30-40 ปีเพื่อรอพักผ่อนในวัยชราเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ต้องการมีช่วงเวลาสำหรับพักผ่อน เติมพลัง หรือทำตามความฝันระหว่างทาง สิ่งเหล่านี้คือที่มาของแนวคิด “เกษียณ 2 ชั้น”
“เกษียณ 2 ชั้น” คืออะไร?
“เกษียณ 2 ชั้น” หรือ Two-Tier Retirement คือแนวทางการวางแผนชีวิตและการเงินที่แบ่งช่วงเวลาหลังการทำงานประจำออกเป็น 2 ระยะหลัก โดยแต่ละระยะมีเป้าหมายและรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ประกอบด้วย:
- เกษียณชั้นที่ 1 (Early Retirement / Mini-Retirement): คือการบรรลุอิสรภาพทางการเงินในระดับหนึ่งเพื่อให้สามารถ “หยุดพัก” จากงานประจำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย อาจจะเป็นช่วง 40 หรือ 50 ปี เพื่อใช้เวลานี้ไปกับการเดินทาง ทำโปรเจกต์ที่สนใจ หรือดูแลครอบครัว โดยในช่วงนี้อาจจะยังมีรายได้เสริมจากงานพาร์ทไทม์หรือธุรกิจเล็กๆ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน
- เกษียณชั้นที่ 2 (Full Retirement): คือการเกษียณอายุอย่างสมบูรณ์แบบในวัยสูงอายุ เช่น 60 ปีขึ้นไป โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในบั้นปลายชีวิตได้อย่างสุขสบายและมั่นคง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพหรือเหตุฉุกเฉินต่างๆ
แนวคิดนี้เป็นการผสมผสานระหว่างการเกษียณเร็ว (Early Retirement) ที่เน้นอิสระ และการเกษียณแบบดั้งเดิม (Traditional Retirement) ที่เน้นความมั่นคง ทำให้ผู้คนสามารถออกแบบชีวิตที่ยืดหยุ่นและมีความสุขได้ทั้งในระหว่างวัยทำงานและหลังเกษียณอายุ
หลักการสำคัญและเป้าหมายของ “เกษียณ 2 ชั้น”
การทำความเข้าใจเป้าหมายของแต่ละ “ชั้น” ของการเกษียณจะช่วยให้การวางแผนการเงินเป็นไปอย่างมีทิศทางและสอดคล้องกับภาพชีวิตที่ต้องการ
เกษียณชั้นที่ 1: การพักใหญ่เพื่ออิสรภาพ (Mini-Retirement)
เป้าหมายหลักของเกษียณชั้นที่ 1 คือการสร้าง “อิสรภาพทางเวลา” ในช่วงที่ร่างกายยังแข็งแรงและมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ การจะไปถึงจุดนี้ได้ จำเป็นต้องมีเงินทุนก้อนหนึ่งที่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายพื้นฐานได้โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากงานประจำเต็มเวลาอีกต่อไป
หลายคนในระยะนี้อาจเลือกทำงานพาร์ทไทม์ที่ตนเองชื่นชอบ เช่น เป็นบาริสต้า ทำงานศิลปะ หรือเป็นที่ปรึกษาอิสระ ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแนวคิด Barista FIRE ที่ผสมผสานการเกษียณบางส่วนเข้ากับการทำงานที่ให้ความสุขและยังคงสร้างรายได้เล็กน้อย รวมถึงอาจช่วยรักษาสวัสดิการบางอย่าง เช่น ประกันสังคมหรือประกันสุขภาพกลุ่มได้อีกด้วย การเกษียณชั้นแรกจึงไม่ใช่การหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการมากขึ้น
เกษียณชั้นที่ 2: ความมั่นคงในบั้นปลายชีวิต (Full Retirement)
สำหรับเกษียณชั้นที่ 2 เป้าหมายจะเปลี่ยนไปเน้นที่ “ความมั่นคงทางการเงิน” ในระยะยาวอย่างแท้จริง เงินทุนที่เตรียมไว้สำหรับช่วงนี้จะต้องมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่มักจะสูงขึ้นตามอายุ โดยข้อมูลค่าเฉลี่ยระบุว่าคนไทยอาจมีชีวิตอยู่หลังอายุ 60 ปีไปอีกประมาณ 17-20 ปี ดังนั้น การคำนวณเงินก้อนนี้จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
แหล่งเงินทุนสำหรับเกษียณชั้นที่ 2 มักจะมาจากสินทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund), หุ้นปันผล, และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ที่ถูกวางแผนและสะสมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วัยเริ่มทำงาน
| ลักษณะ | เกษียณชั้นที่ 1 (Mini-Retirement) | เกษียณชั้นที่ 2 (Full Retirement) |
|---|---|---|
| เป้าหมายหลัก | อิสรภาพทางเวลา การค้นหาตัวเอง พักผ่อน | ความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว |
| ช่วงอายุ (โดยประมาณ) | 40 – 55 ปี | 60 ปีขึ้นไป |
| แหล่งรายได้ | Passive Income, งานพาร์ทไทม์, งานอดิเรก | Passive Income จากพอร์ตลงทุน, เงินบำนาญ |
| ขนาดของเงินทุนที่ต้องการ | เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายพื้นฐาน | เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดชีวิต |
| ระดับความยืดหยุ่น | สูง สามารถกลับไปทำงานประจำได้หากจำเป็น | ต่ำ ควรวางแผนให้ครอบคลุมและไม่ต้องทำงานอีก |
วางแผนการเงินสำหรับ “เกษียณ 2 ชั้น” เทรนด์ใหม่คนทำงาน วางแผนการเงินยังไง?
การวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเกษียณ 2 ชั้นต้องอาศัยวินัยและความเข้าใจทางการเงินอย่างลึกซึ้ง โดยสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนสำคัญได้ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: การตั้งเป้าหมายเงินเก็บที่ชัดเจน
ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดคือการคำนวณหา “ตัวเลข” หรือจำนวนเงินที่ต้องการสำหรับเป้าหมายเกษียณทั้งสองชั้น ซึ่งต้องเริ่มจากการประเมินค่าใช้จ่ายของตนเองอย่างละเอียด
- คำนวณเป้าหมายสำหรับเกษียณชั้นที่ 1: ประเมินค่าใช้จ่ายรายเดือนที่จำเป็น เช่น ค่าที่พัก, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ จากนั้นคูณด้วย 12 เพื่อให้ได้ค่าใช้จ่ายต่อปี และคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะอยู่ในช่วง Mini-Retirement นี้ เช่น หากต้องการพัก 5 ปี และมีค่าใช้จ่ายปีละ 360,000 บาท เป้าหมายเงินเก็บสำหรับชั้นแรกคือ 1,800,000 บาท (โดยยังไม่รวมผลตอบแทนจากการลงทุน)
- คำนวณเป้าหมายสำหรับเกษียณชั้นที่ 2: วิธีที่นิยมใช้คือ “กฎ 4%” โดยนำค่าใช้จ่ายรายปีที่คาดว่าจะใช้หลังเกษียณมาคูณด้วย 25 ตัวอย่างเช่น หากคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายปีละ 480,000 บาท เงินทุนที่ต้องมี ณ วันที่เกษียณเต็มตัวคือ 12,000,000 บาท ตัวเลขนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าสามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ปีละ 4% โดยที่เงินต้นยังคงเติบโตต่อไปจากการลงทุน
ขั้นตอนที่ 2: กลยุทธ์การออมและการลงทุน
เมื่อมีเป้าหมายตัวเลขที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างแผนปฏิบัติการเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ซึ่งประกอบด้วยการออมอย่างมีวินัยและการลงทุนอย่างชาญฉลาด
การออมเงิน: ต้องมีวินัยในการออมที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป หลายคนที่เดินตามแนวทาง FIRE อาจมีอัตราการออมสูงถึง 50% ของรายได้หรือมากกว่านั้น การทำงบประมาณรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยควบคุมการใช้จ่ายและเพิ่มสัดส่วนเงินออมได้
การลงทุนระยะยาว: เงินออมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อและสร้างความมั่งคั่งได้ การนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น กองทุนรวมดัชนี, หุ้น, หรืออสังหาริมทรัพย์ การสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงและสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินเป็นหัวใจของการไปถึงอิสรภาพทางการเงิน โดยเน้นการสร้างรายได้แบบ Passive Income เพื่อเป็นกระแสเงินสดหล่อเลี้ยงชีวิตในช่วงเกษียณ
ขั้นตอนที่ 3: การประเมินและปรับเปลี่ยนแผนอย่างสม่ำเสมอ
แผนการเงินไม่ใช่สิ่งที่ตั้งไว้ครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น การมีครอบครัว, การเปลี่ยนแปลงของรายได้, หรือภาวะตลาดการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามคาด การประเมินแผนอย่างน้อยปีละครั้งจะช่วยให้แน่ใจว่ายังคงอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที นอกจากนี้ปัจจัยด้านสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ซึ่งอาจส่งผลต่อเป้าหมายเงินเก็บและระยะเวลาในการเกษียณ
ขั้นตอนที่ 4: การเตรียมความพร้อมทางการเงินสำหรับชีวิตหลังเกษียณ
นอกจากการมีเงินก้อนใหญ่แล้ว การบริหารจัดการเงินในช่วงเกษียณก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งรวมถึงการวางแผนค่าใช้จ่ายประจำวัน, การจัดสรรเงินสำหรับเหตุฉุกเฉิน, และการวางแผนภาษีและมรดก เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคงและสบายใจโดยมีเงินใช้ไปตลอดอายุขัย
ความเชื่อมโยงกับแนวคิด FIRE Movement และ Barista FIRE
เทรนด์ “เกษียณ 2 ชั้น” ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่มีรากฐานและมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดการเงินสมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FIRE Movement
FIRE Movement: ต้นแบบของอิสรภาพทางการเงิน
FIRE (Financial Independence, Retire Early) คือขบวนการของกลุ่มคนที่มุ่งมั่นสร้างวินัยทางการเงินอย่างสุดขั้ว เพื่อให้บรรลุอิสรภาพทางการเงินและสามารถเกษียณจากงานประจำได้ตั้งแต่อายุ 30 หรือ 40 ปี หลักการสำคัญของ FIRE คือการใช้ชีวิตอย่างประหยัด (Extreme Frugality) และมีอัตราการออมที่สูงมาก (High Savings Rate) ควบคู่ไปกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นในระยะยาว
แนวคิด “เกษียณ 2 ชั้น” ได้รับแรงบันดาลใจจาก FIRE ในเรื่องของการมีอิสรภาพทางการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ได้ปรับให้มีความยืดหยุ่นและสมจริงมากขึ้น โดยไม่ได้มุ่งเน้นการ “เกษียณ” แบบถาวร แต่เป็นการสร้างทางเลือกในการ “พัก” หรือเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ซึ่งอาจเข้าถึงได้ง่ายกว่าสำหรับคนส่วนใหญ่
Barista FIRE: การผสมผสานระหว่างการพักผ่อนและการทำงาน
Barista FIRE เป็นหนึ่งในแขนงของ FIRE Movement ที่สอดคล้องกับแนวคิดเกษียณชั้นที่ 1 เป็นอย่างมาก โดยเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สะสมเงินลงทุนได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเพียงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ แต่ยังไม่มากพอที่จะเกษียณได้อย่างสมบูรณ์
คนกลุ่มนี้จะลาออกจากงานประจำที่มีความเครียดสูง แล้วไปทำงานพาร์ทไทม์ที่สบายกว่า เช่น บาริสต้า (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ) เพื่อให้มีรายได้เสริมเล็กน้อยและที่สำคัญคือเพื่อรักษาสวัสดิการประกันสุขภาพจากนายจ้าง ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การเกษียณเต็มตัว
ดังนั้น “เกษียณ 2 ชั้น” จึงเปรียบเสมือนการนำหลักการของ FIRE และ Barista FIRE มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างแผนชีวิตที่ตอบโจทย์ทั้งความต้องการอิสระในระยะสั้น และความมั่นคงในระยะยาว
บทสรุป: เริ่มต้นวางแผนสู่อิสรภาพทางการเงินสองระดับ
“เกษียณ 2 ชั้น” เป็นมากกว่าแค่เทรนด์ทางการเงิน แต่คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการมองชีวิตและการทำงานของคนยุคใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดความสำเร็จไว้ที่ตำแหน่งหน้าที่ แต่ให้คุณค่ากับอิสรภาพและเวลาในการใช้ชีวิต แนวคิดนี้เปิดโอกาสให้คนทำงานสามารถออกแบบ “การพักใหญ่” หรือ Mini-Retirement เพื่อเติมเต็มความฝันและชาร์จพลัง ก่อนที่จะกลับมามุ่งมั่นสร้างความมั่นคงเพื่อการเกษียณอย่างสมบูรณ์ในบั้นปลาย
แม้ว่าเส้นทางสู่การเกษียณ 2 ชั้นจะท้าทายและต้องอาศัยความมุ่งมั่นและวินัยทางการเงินที่สูง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การเริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การวางแผนการออมและการลงทุนอย่างเป็นระบบ และการทบทวนปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมาย การวางแผนตั้งแต่วันนี้ คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคงและมีอิสระตามที่ออกแบบไว้


