Shopping cart

De-influencing: เทรนด์ใหม่ Gen Z ป้ายยาให้ ‘ไม่ซื้อ’

สารบัญ

ในโลกดิจิทัลที่อินฟลูเอนเซอร์มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค กระแสใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นและได้รับความสนใจอย่างมากคือ “De-influencing” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เหล่าครีเอเตอร์บนโซเชียลมีเดียหันมาแนะนำให้ผู้ติดตาม “ไม่ซื้อ” สินค้าบางอย่าง ปรากฏการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่เริ่มตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมบริโภคนิยมและให้ความสำคัญกับความจริงใจมากขึ้น

ภาพรวมของเทรนด์ De-influencing

De-influencing: เทรนด์ใหม่ Gen Z ป้ายยาให้ 'ไม่ซื้อ' - de-influencing-gen-z-thailand-trend

  • นิยาม: De-influencing คือการที่อินฟลูเอนเซอร์หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์สร้างเนื้อหาเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ติดตามหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์บางชนิด โดยเฉพาะสินค้าที่ถูกโฆษณาเกินจริง คุณภาพต่ำ หรือไม่จำเป็นต่อการใช้งาน
  • แรงขับเคลื่อน: เทรนด์นี้ขับเคลื่อนโดยกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ที่มีความเหนื่อยหน่ายต่อวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ถูกกระตุ้นโดยการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ พวกเขาแสวงหาความโปร่งใส ความจริงใจ และความยั่งยืนจากแบรนด์และผลิตภัณฑ์
  • ผลกระทบ: De-influencing ท้าทายวัฒนธรรมการตลาดแบบดั้งเดิม ส่งผลให้แบรนด์ต้องทบทวนกลยุทธ์ โดยหันมาเน้นการนำเสนอคุณค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์มากกว่าการสร้างกระแส
  • บริบทในไทย: Gen Z ในประเทศไทยเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีอิทธิพลต่อรูปแบบการบริโภคใหม่ๆ เทรนด์นี้จึงสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้จ่ายอย่างมีสติและหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้

ในภูมิทัศน์ของโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยการรีวิวและ “ป้ายยา” สินค้า ปรากฏการณ์ De-influencing: เทรนด์ใหม่ Gen Z ป้ายยาให้ ‘ไม่ซื้อ’ ได้กลายเป็นกระแสที่ทรงพลังและน่าจับตามอง เทรนด์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการต่อต้านกระแสหลัก แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกในค่านิยมและพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่เติบโตมาพร้อมกับความคลางแคลงใจต่อการตลาดแบบดั้งเดิมและโฆษณาที่ขาดความจริงใจ การเคลื่อนไหวนี้กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งและส่งสัญญาณสำคัญไปยังแบรนด์ต่างๆ ทั่วโลก

De-influencing เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการข้อมูลที่ตรงไปตรงมาและไม่ผ่านการปรุงแต่ง พวกเขาไม่ได้ต้องการเห็นแค่ด้านดีของผลิตภัณฑ์ แต่ต้องการทราบถึงข้อเสีย ข้อจำกัด หรือเหตุผลว่าทำไมสินค้าชิ้นนั้นจึงอาจไม่เหมาะกับทุกคน สิ่งนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับอินฟลูเอนเซอร์ ที่ซึ่งความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าสูงสุด การ “ไม่แนะนำ” สินค้าจึงไม่ใช่การโจมตีแบรนด์ แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อผู้ติดตามและส่งเสริมการบริโภคอย่างมีวิจารณญาณ

ทำความเข้าใจ De-influencing: เทรนด์ใหม่ Gen Z ป้ายยาให้ ‘ไม่ซื้อ’

ปรากฏการณ์ De-influencing เป็นมากกว่าแค่การรีวิวในเชิงลบ แต่เป็นวัฒนธรรมย่อยที่กำลังเติบโตและมีโครงสร้างความคิดที่ชัดเจน การทำความเข้าใจแนวคิดหลักและแรงจูงใจเบื้องหลังจะช่วยให้เห็นภาพรวมว่าเหตุใดเทรนด์นี้จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่คนรุ่นใหม่

นิยามและแนวคิดหลัก

De-influencing หมายถึง การกระทำของอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้สร้างเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียที่จงใจสร้างคอนเทนต์เพื่อยับยั้งหรือทัดทานผู้ติดตามจากการซื้อผลิตภัณฑ์บางอย่าง โดยเนื้อหาเหล่านี้มักจะชี้ให้เห็นว่าสินค้าเหล่านั้นมีคุณภาพไม่สมราคา ถูกโฆษณาเกินจริง หรือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้คือการส่งเสริม การบริโภคอย่างมีสติ (Mindful Consumption) แทนที่จะกระตุ้นให้เกิดการซื้ออย่างไม่หยุดยั้ง ครีเอเตอร์สาย De-influencing มักจะนำเสนอทางเลือกที่ใช้งานได้จริง ราคาเหมาะสมกว่า หรือแม้กระทั่งสนับสนุนให้ผู้คนใช้สิ่งของที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป้าหมายไม่ใช่การทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่เป็นการสร้างบทสนทนาที่จริงใจเกี่ยวกับคุณค่าที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์และวัฒนธรรมการใช้แล้วทิ้ง

การปฏิเสธที่จะซื้อสินค้าที่ถูกโฆษณาเกินจริง ไม่ใช่แค่การประหยัดเงิน แต่คือการแสดงจุดยืนต่อต้านวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ผลักดันให้เราต้องการในสิ่งที่ไม่จำเป็น

แรงจูงใจเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง

การเติบโตของเทรนด์ De-influencing ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มา แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ผลักดันให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะ Gen Z หันมาสนับสนุนแนวทางนี้:

  • ความเหนื่อยหน่ายจากบริโภคนิยม: คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มรู้สึกอิ่มตัวและเหนื่อยหน่ายกับวัฒนธรรมการบริโภคที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งถูกกระตุ้นโดยการตลาดของอินฟลูเอนเซอร์ที่นำเสนอไลฟ์สไตล์ที่ต้อง “มี” สินค้าชิ้นใหม่ๆ อยู่เสมอ พวกเขาต้องการหลีกหนีจากวงจรของการใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองและไม่ยั่งยืน
  • การแสวงหาความจริงใจและความโปร่งใส: Gen Z ให้คุณค่ากับความจริงใจเป็นอย่างสูง พวกเขาสามารถแยกแยะโฆษณาที่เสแสร้งออกจากรีวิวที่จริงใจได้อย่างรวดเร็ว อินฟลูเอนเซอร์ที่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา แม้จะเป็นการวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ ย่อมได้รับความไว้วางใจมากกว่าคนที่โปรโมตสินค้าทุกอย่างที่ได้รับการว่าจ้าง
  • ความตระหนักด้านความยั่งยืน: ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ Gen Z ให้ความสำคัญ การต่อต้านสินค้าจากอุตสาหกรรมแฟชั่นแบบเร็ว (Fast Fashion) หรือผลิตภัณฑ์ที่สร้างขยะจำนวนมาก เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวที่ใหญ่กว่า ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดผลกระทบต่อโลก
  • ความกดดันทางเศรษฐกิจ: สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนทำให้คนรุ่นใหม่ต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น การตัดสินใจซื้อแต่ละครั้งจึงต้องผ่านการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน คอนเทนต์ De-influencing จึงเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการนี้โดยตรง เพราะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าจะใช้เงินไปกับอะไรที่คุ้มค่าจริงๆ

ปรากฏการณ์บนโลกออนไลน์และตัวอย่างที่เห็นได้ชัด

De-influencing ได้เปลี่ยนจากแนวคิดเฉพาะกลุ่มกลายเป็นปรากฏการณ์กระแสหลักบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบน TikTok ที่ซึ่งคอนเทนต์วิดีโอสั้นสามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง

พลังของแฮชแท็กบนแพลตฟอร์ม TikTok

บนแพลตฟอร์ม TikTok แฮชแท็ก #deinfluencing ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย มียอดเข้าชมหลายล้านครั้งทั่วโลก ครีเอเตอร์จากหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นความงาม แฟชั่น หรือแกดเจ็ต ต่างพากันสร้างวิดีโอในหัวข้อ “สิ่งที่ไม่ควรซื้อ” หรือ “ผลิตภัณฑ์ที่ฉันเสียดายเงิน” เนื้อหาเหล่านี้มักจะนำเสนออย่างตรงไปตรงมา มีการอ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัว หรือแม้กระทั่งความรู้จากวงใน เช่น การเปิดเผยว่าสินค้าใดบ้างที่ถูกลูกค้านำมาคืนที่ร้านบ่อยที่สุด

พลังของแฮชแท็กนี้อยู่ที่การสร้างชุมชนของผู้บริโภคที่ชาญฉลาด ผู้คนเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แบ่งปันประสบการณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และให้กำลังใจกันในการต่อต้านแรงกดดันให้ต้องซื้อตามกระแส สิ่งนี้ได้สร้างอำนาจต่อรองให้กับผู้บริโภค และทำให้อินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าร่วมเทรนด์นี้ได้รับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ประเภทผลิตภัณฑ์ที่มักถูก ‘De-influence’

แม้ว่าเทรนด์ De-influencing จะครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท แต่มีบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มักจะตกเป็นเป้าหมายบ่อยครั้ง ได้แก่:

  1. ผลิตภัณฑ์ความงามที่ราคาสูงเกินจริงหรือประสิทธิภาพต่ำ: สินค้าสกินแคร์หรือเครื่องสำอางจากแบรนด์หรูที่ถูกโปรโมตอย่างหนัก แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามคำกล่าวอ้าง หรือมีส่วนผสมที่ไม่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกกว่ามาก มักจะถูกนำมาวิจารณ์อย่างเปิดเผย
  2. เสื้อผ้าแฟชั่นแบบเร็ว (Fast Fashion): แบรนด์เสื้อผ้าราคาถูกที่ผลิตสินค้าออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อตามกระแสแฟชั่น มักถูกวิจารณ์ในประเด็นคุณภาพต่ำ อายุการใช้งานสั้น และผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมและแรงงาน แบรนด์อย่าง Shein มักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างบ่อยครั้ง
  3. แกดเจ็ตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่จำเป็น: อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะทางเพียงอย่างเดียว หรืออุปกรณ์ที่สร้างความยุ่งยากในการจัดเก็บและทำความสะอาด มักถูกมองว่าเป็นของสิ้นเปลืองที่ทำให้บ้านรกมากกว่าจะเกิดประโยชน์จริง
  4. สินค้าตามกระแสที่เกิดจากการตลาดที่ทำให้เข้าใจผิด: ผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังขึ้นมาจากการสร้างกระแสไวรัล แต่ขาดคุณค่าในการใช้งานจริงในระยะยาว ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายหลักของคอนเทนต์ De-influencing

บริบททางเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย

ในประเทศไทย เทรนด์ De-influencing ไม่ได้เป็นเพียงกระแสจากต่างประเทศ แต่ยังสอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมและกำลังซื้อของกลุ่ม Gen Z ไทย

Gen Z ไทย: กลุ่มผู้บริโภคที่ทรงพลัง

กลุ่ม Gen Z ในประเทศไทย (อายุประมาณ 13-28 ปี) ถือเป็นกลุ่มประชากรที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจอย่างสูง จากข้อมูลพบว่าพวกเขามีกำลังซื้อรวมกันมากกว่า 2.6 ล้านล้านบาท และเป็นผู้กำหนดทิศทางและรูปแบบการบริโภคใหม่ๆ ของตลาด พวกเขาเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มที่ และใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการค้นหาข้อมูลและตัดสินใจซื้อสินค้า

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกำลังซื้อสูง แต่ Gen Z ไทยก็เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและความจริงใจของแบรนด์ พวกเขาเติบโตมาในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงได้ง่าย และมีความสามารถในการตรวจสอบคำกล่าวอ้างของแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การตลาดที่ขาดความโปร่งใสหรือไม่น่าเชื่อถือจึงไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้ง่ายอีกต่อไป

การใช้จ่ายอย่างมีสติท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ

อีกปัจจัยสำคัญคือสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเงิน หลายคนมีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” (paycheck to paycheck) และมีความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สิน ทำให้แนวคิดเรื่อง การใช้จ่ายอย่างมีสติ (Mindful Spending) ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

เทรนด์ De-influencing จึงเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างลงตัว คอนเทนต์ที่แนะนำไม่ให้ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย หรือแนะนำทางเลือกที่ประหยัดกว่า ช่วยให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้รู้สึกว่าพวกเขาสามารถควบคุมการเงินของตนเองได้ดีขึ้น และไม่ตกเป็นเหยื่อของกลยุทธ์การตลาดที่กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัว

ผลกระทบต่อภูมิทัศน์การตลาดและอินฟลูเอนเซอร์

การมาถึงของ De-influencing กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ให้กับวงการอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งและกลยุทธ์ของแบรนด์ต่างๆ โดยเป็นการท้าทายขนบธรรมเนียมเดิมๆ และบังคับให้ทุกฝ่ายต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังใหม่ของผู้บริโภค

การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของ Influencer Marketing

ในอดีต ความสำเร็จของอินฟลูเอนเซอร์มักวัดจากความสามารถในการ “ขาย” หรือโปรโมตสินค้าให้ได้มากที่สุด แต่ De-influencing ได้เปลี่ยนสมการนี้ไปโดยสิ้นเชิง ปัจจุบัน อินฟลูเอนเซอร์ที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่สามารถสร้าง ความไว้วางใจ (Trust) กับผู้ติดตามได้

ความซื่อสัตย์และการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมากลายเป็นค่านิยมหลัก อินฟลูเอนเซอร์บางคนยอมที่จะปฏิเสธข้อเสนอจากแบรนด์ที่ไม่สอดคล้องกับคุณค่าของตนเอง และหันมาสร้างเนื้อหาที่ให้ความรู้และเป็นประโยชน์ต่อผู้ติดตามอย่างแท้จริง การแบ่งปันความคิดเห็นที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และคำกล่าวอ้างทางการตลาดได้กลายเป็นวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนกับฐานแฟนคลับ

ตารางเปรียบเทียบแนวทางการตลาดระหว่าง Influencing แบบดั้งเดิมและ De-influencing
มิติการเปรียบเทียบ Influencing แบบดั้งเดิม De-influencing
เป้าหมายหลัก กระตุ้นการซื้อและสร้างยอดขาย ส่งเสริมการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลและบริโภคอย่างมีสติ
ค่านิยมหลัก การนำเสนอไลฟ์สไตล์ที่น่าปรารถนา (Aspiration) ความจริงใจ ความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือ (Authenticity)
รูปแบบเนื้อหา รีวิวเชิงบวก, Unboxing, โปรโมตสินค้า รีวิวเชิงวิจารณ์, เปรียบเทียบ, แนะนำทางเลือก, เหตุผลที่ไม่ควรซื้อ
ความสัมพันธ์กับผู้ติดตาม ผู้สร้างแรงบันดาลใจ/ผู้นำเทรนด์ เพื่อนที่ไว้ใจได้/ที่ปรึกษาที่จริงใจ
ผลลัพธ์ต่อแบรนด์ สร้างการรับรู้และยอดขายในระยะสั้น สร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว (หากผลิตภัณฑ์ดีจริง)

กลยุทธ์ที่แบรนด์ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

การเพิ่มขึ้นของกระแส De-influencing บีบให้แบรนด์ต้องคิดทบทวนกลยุทธ์การตลาดของตนเองใหม่ทั้งหมด การพึ่งพาการสร้างกระแสหรือการโฆษณาเกินจริงอาจไม่ได้ผลอีกต่อไป ในทางกลับกัน แบรนด์ที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคนี้ต้องให้ความสำคัญกับ:

  • ความโปร่งใสของผลิตภัณฑ์: การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับส่วนผสม แหล่งที่มา กระบวนการผลิต และแม้กระทั่งข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ จะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภค
  • การนำเสนอคุณค่าที่แท้จริง: แบรนด์ต้องมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง แก้ปัญหาให้ผู้บริโภคได้จริง และมีความคุ้มค่าสมราคา แทนที่จะทุ่มงบประมาณไปกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ฉาบฉวย
  • การร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ที่จริงใจ: แบรนด์ควรเลือกทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียงด้านความซื่อสัตย์และมีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง และเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ

อนาคตของ De-influencing และวัฒนธรรมการบริโภค

De-influencing ไม่ใช่เพียงเทรนด์ระยะสั้นบนโซเชียลมีเดีย แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและถาวรในวัฒนธรรมการบริโภค ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไปในอนาคต

จากกระแสสู่ค่านิยมหลัก: Minimalism และความยั่งยืน

การเคลื่อนไหวนี้สนับสนุนแนวคิดที่กว้างกว่า เช่น Minimalism ซึ่งให้ความสำคัญกับการมีสิ่งของเท่าที่จำเป็น และ ความยั่งยืน (Sustainability) ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม De-influencing ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนนำแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น โดยเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับการซื้อของแต่ละครั้ง

ในอนาคต คาดว่าผู้บริโภคจะยิ่งให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และจะหลีกเลี่ยงแบรนด์ที่ส่งเสริมวัฒนธรรมการใช้แล้วทิ้ง

ทิศทางการตลาดในปี 2569 และหลังจากนั้น

แนวโน้มที่เห็นได้ชัดในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยภายในปี 2568 และจะยิ่งชัดเจนขึ้นในปี 2569 คือการให้ความสำคัญกับความจริงใจ ความโปร่งใส และความยั่งยืน ซึ่งเทรนด์ De-influencing เป็นภาพสะท้อนที่สมบูรณ์แบบของแนวโน้มเหล่านี้ นักการตลาดและแบรนด์ที่ไม่สามารถปรับตัวได้จะพบว่าตนเองกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

กลยุทธ์การตลาดในอนาคตจะต้องเปลี่ยนจากการ “ผลัก” สินค้าไปหาผู้บริโภค เป็นการ “ดึงดูด” ผู้บริโภคด้วยคุณค่าที่แท้จริงและความน่าเชื่อถือ การสร้างชุมชนที่แข็งแกร่งรอบแบรนด์ การรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าอย่างจริงจัง และการสื่อสารอย่างโปร่งใส จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาว

บทสรุป: การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของการบริโภค

De-influencing: เทรนด์ใหม่ Gen Z ป้ายยาให้ ‘ไม่ซื้อ’ คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนการปฏิวัติเงียบของผู้บริโภคที่นำโดยคนรุ่นใหม่ มันคือการตอบโต้ต่อวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ครอบงำสังคมมาอย่างยาวนาน และเป็นการเรียกร้องให้เกิดความจริงใจและความรับผิดชอบจากทั้งอินฟลูเอนเซอร์และแบรนด์

เทรนด์นี้ไม่ได้หมายถึงจุดจบของการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบที่มีความหมายและยั่งยืนมากขึ้น ที่ซึ่งความไว้วางใจคือสกุลเงินที่มีค่าที่สุด สำหรับผู้บริโภค มันคือการทวงคืนอำนาจในการตัดสินใจและส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดและมีสติมากขึ้น สำหรับแบรนด์และนักการตลาด นี่คือสัญญาณเตือนและโอกาสในการปรับตัวเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในยุคที่ผู้บริโภคมีข้อมูลและมีอำนาจต่อรองสูงกว่าที่เคยเป็นมา

สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930