Shopping cart

TESG ครบ 2 ปี: ยังน่าซื้อลดหย่อนภาษีอยู่ไหม?

สารบัญ

เมื่อกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund หรือ TESG) เดินทางมาครบ 2 ปี คำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ที่กำลังวางแผนภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 คือ TESG ครบ 2 ปี: ยังน่าซื้อลดหย่อนภาษีอยู่ไหม? บทความนี้จะทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดถึงสถานะปัจจุบันของกองทุน TESG เปรียบเทียบผลประโยชน์กับกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่น และประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนสำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการทั้งผลตอบแทนที่ยั่งยืนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร: ภาพรวมกองทุน TESG ในปี 2568

TESG ครบ 2 ปี: ยังน่าซื้อลดหย่อนภาษีอยู่ไหม? - tesg-fund-tax-deduction-2025

กองทุน TESG ยังคงเป็นเครื่องมือลดหย่อนภาษีที่น่าสนใจอย่างยิ่งในปี 2568 โดยเฉพาะหลังการปรับปรุงเงื่อนไขใหม่ที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนมากขึ้น ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้:

  • สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เหนือกว่า: วงเงินลดหย่อนภาษีถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นสูงสุด 300,000 บาทต่อปี ซึ่งเป็นวงเงินพิเศษที่แยกต่างหากจากเพดาน 500,000 บาทของกลุ่มกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ
  • เงื่อนไขที่ยืดหยุ่นขึ้น: ระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนลดลงจาก 8 ปี เหลือเพียง 5 ปี (นับแบบวันชนวัน) ทำให้สภาพคล่องทางการเงินของนักลงทุนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • การลงทุนที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก: กองทุน TESG เน้นลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทไทยที่ผ่านเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งเป็นแนวโน้มการลงทุนที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ
  • ความสะดวกในการวางแผน: ไม่มีการกำหนดจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำ และไม่บังคับให้ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี นักลงทุนสามารถเลือกซื้อในปีที่ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามความเหมาะสม
  • ผลประโยชน์สองต่อ: นอกจากการลดหย่อนภาษีแล้ว กำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย

TESG คืออะไร: ทบทวนแนวคิดและหลักการลงทุนเพื่อความยั่งยืน

กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ TESG (Thailand ESG Fund) คือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศระยะยาว และสนับสนุนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงหลักความยั่งยืน หลักการสำคัญของกองทุนนี้คือการนำเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ภายในประเทศ เช่น หุ้น หรือตราสารหนี้ ของบริษัทที่ได้รับการยอมรับว่ามีแนวปฏิบัติที่ดีในด้าน ESG ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนถึงความสามารถในการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวของธุรกิจนั้นๆ

นิยามและความสำคัญของ ESG

ESG เป็นตัวย่อที่มาจากคำสามคำ ซึ่งเป็นกรอบการวิเคราะห์ที่นักลงทุนใช้ประเมินการดำเนินงานของบริษัทนอกเหนือจากตัวเลขทางการเงิน:

  • E – Environmental (สิ่งแวดล้อม): หมายถึง การดำเนินงานของบริษัทที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดการพลังงาน, การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การบริหารจัดการขยะและมลพิษ, และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
  • S – Social (สังคม): หมายถึง การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น พนักงาน, ลูกค้า, คู่ค้า และชุมชนโดยรอบ เช่น นโยบายด้านแรงงาน, ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์, การเคารพสิทธิมนุษยชน, และการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชน
  • G – Governance (ธรรมาภิบาล): หมายถึง การกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีจริยธรรม เช่น โครงสร้างคณะกรรมการ, การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน, และการปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม

การลงทุนในบริษัทที่มีคะแนน ESG สูง เชื่อว่าจะสามารถลดความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงและสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้ในระยะยาว เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มักมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกและมีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตการณ์ต่างๆ ได้ดีกว่า

บทบาทของ TESG ในตลาดทุนไทย

การจัดตั้งกองทุน TESG มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยไปสู่ความยั่งยืน โดยเป็นการสร้างแรงจูงใจผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้นักลงทุนรายย่อยหันมาสนใจและสนับสนุนบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น สิ่งนี้ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องหันมาให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการดำเนินงานตามหลัก ESG เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนเหล่านี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะยกระดับมาตรฐานของตลาดทุนไทยโดยรวม และสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจประเทศ

เจาะลึกเงื่อนไขใหม่ของ TESG: สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปและน่าสนใจยิ่งขึ้น

หลังจากเปิดตัวมาได้ระยะหนึ่ง กองทุน TESG ได้รับการปรับปรุงเงื่อนไขเพื่อให้มีความน่าดึงดูดและตอบโจทย์การวางแผนภาษีของนักลงทุนได้ดียิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2569 ได้เพิ่มความน่าสนใจให้กับ TESG ครบ 2 ปี: ยังน่าซื้อลดหย่อนภาษีอยู่ไหม? อย่างมาก

เพิ่มเพดานลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท

การเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดคือการขยายวงเงินลดหย่อนภาษี จากเดิมที่กำหนดไว้สูงสุดเพียง 100,000 บาทต่อปี ได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ วงเงิน 300,000 บาทนี้เป็นสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ แยกต่างหาก จากเพดานการลดหย่อนรวมของกลุ่มการออมเพื่อการเกษียณอายุ (เช่น RMF, SSF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กบข.) ซึ่งจำกัดอยู่ที่ 500,000 บาท

นั่นหมายความว่า หากนักลงทุนใช้สิทธิ์ลดหย่อนกลุ่มเกษียณอายุเต็ม 500,000 บาทแล้ว ยังสามารถซื้อกองทุน TESG เพื่อลดหย่อนเพิ่มได้อีกสูงสุด 300,000 บาท ทำให้ยอดลดหย่อนภาษีรวมสูงสุดจากเครื่องมือการลงทุนประเภทนี้อาจสูงถึง 800,000 บาท ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่มีรายได้สูงและต้องการบริหารจัดการภาษีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ลดระยะเวลาถือครองเหลือเพียง 5 ปี

อีกหนึ่งการปรับปรุงที่ตอบโจทย์นักลงทุนอย่างมากคือ การลดระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จากเดิมที่ต้องถือครองนานถึง 8 ปีปฏิทิน ลดลงมาเหลือเพียง 5 ปีเต็ม นับแบบวันชนวัน (Date to Date) การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้นักลงทุนสามารถวางแผนการเงินในระยะกลางได้ดีขึ้น ลดภาระการลงทุนระยะยาวที่อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินบางประเภท และเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารพอร์ตการลงทุนได้เป็นอย่างดี

การลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี ทำให้ TESG กลายเป็นเครื่องมือลดหย่อนภาษีที่มีความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางภาษีและสภาพคล่องทางการเงิน เหมาะสำหรับเป้าหมายการออมระยะกลาง

ความยืดหยุ่นในการลงทุนที่ไม่ต้องต่อเนื่องทุกปี

เงื่อนไขของ TESG ยังคงความยืดหยุ่นสูง โดยไม่มีข้อบังคับว่านักลงทุนจะต้องซื้อหน่วยลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งแตกต่างจากกองทุน RMF ที่มีเงื่อนไขการซื้อต่อเนื่อง นักลงทุนสามารถประเมินสถานะทางการเงินและภาระภาษีของตนเองในแต่ละปี และตัดสินใจลงทุนใน TESG เฉพาะปีที่ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ ทำให้การวางแผนการเงินส่วนบุคคลทำได้ง่ายและสอดคล้องกับสถานการณ์จริงของแต่ละบุคคลมากขึ้น

เปรียบเทียบ TESG กับกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่น

เพื่อให้เห็นภาพความน่าสนใจของ TESG ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบกับกองทุนลดหย่อนภาษีรุ่นพี่อย่าง SSF (Super Savings Fund) และ RMF (Retirement Mutual Fund) จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมายและเงื่อนไขของตนเองได้ดีที่สุด

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติสำคัญของกองทุนลดหย่อนภาษี TESG, SSF, และ RMF ณ ปี 2568
คุณสมบัติ TESG (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน) SSF (กองทุนรวมเพื่อการออม) RMF (กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ)
วงเงินลดหย่อนภาษี 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 300,000 บาท (วงเงินแยกพิเศษ) 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
เพดานลดหย่อนรวม เป็นวงเงินเพิ่มพิเศษ ไม่นับรวมในเพดาน 500,000 บาท เมื่อรวมกับ RMF, PVD, กบข. ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ระยะเวลาถือครอง 5 ปี (นับแบบวันชนวัน) 10 ปี (นับแบบวันชนวัน) ถือครองอย่างน้อย 5 ปี และขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
เงื่อนไขการซื้อต่อเนื่อง ไม่บังคับ ซื้อปีไหนลดหย่อนปีนั้น ไม่บังคับ ต้องซื้อต่อเนื่อง (เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน)
นโยบายการลงทุน ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่ผ่านเกณฑ์ ESG ลงทุนได้ในสินทรัพย์ทุกประเภท ทั้งในและต่างประเทศ ลงทุนได้ในสินทรัพย์ทุกประเภท ทั้งในและต่างประเทศ

ใครคือผู้ที่เหมาะสมกับการลงทุนใน TESG

ด้วยเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ที่ปรับปรุงใหม่ ทำให้กองทุน TESG มีความเหมาะสมกับนักลงทุนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

ผู้มีรายได้สูงและต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนเต็มเพดาน

กลุ่มที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือผู้ที่มีรายได้สูง ซึ่งมักจะใช้สิทธิ์ลดหย่อนจากกลุ่มกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ (RMF, SSF, PVD) เต็มเพดาน 500,000 บาทอยู่แล้ว การมีวงเงินลดหย่อนพิเศษจาก TESG เพิ่มขึ้นมาอีก 300,000 บาท จะช่วยลดภาระภาษีลงได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะผู้ที่เสียภาษีในฐานอัตรา 15% ขึ้นไป จะเริ่มเห็นความคุ้มค่าของการลงทุนอย่างชัดเจน

นักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะกลาง

ระยะเวลาถือครองเพียง 5 ปี ทำให้ TESG เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินสำหรับเป้าหมายระยะกลาง เช่น การเก็บเงินดาวน์บ้าน, การศึกษาบุตรในอีก 5-7 ปีข้างหน้า หรือการสร้างพอร์ตการลงทุนอีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากการออมเพื่อการเกษียณ ซึ่งมีความยืดหยุ่นและสภาพคล่องสูงกว่า SSF ที่ต้องถือครองนานถึง 10 ปี หรือ RMF ที่ผูกกับอายุ 55 ปี

ผู้ที่เริ่มต้นวางแผนภาษี

สำหรับกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มวางแผนภาษี TESG เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เนื่องจากเงื่อนไขไม่ซับซ้อน ไม่บังคับซื้อต่อเนื่อง และมีระยะเวลาถือครองไม่นานจนเกินไป ทำให้สามารถเริ่มต้นสร้างวินัยการออมและการลงทุนควบคู่ไปกับการเรียนรู้เรื่องการลดหย่อนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน

แม้ว่า TESG จะมีข้อดีหลายประการ แต่นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงและเงื่อนไขต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุนเช่นกัน ประการแรกคือ เงื่อนไขการผิดนัดทางภาษี หากนักลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนดระยะเวลาถือครอง 5 ปี จะต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนไปทั้งหมด พร้อมทั้งต้องชำระเงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับตามกฎหมายของกรมสรรพากร ยกเว้นในกรณีทุพพลภาพหรือเสียชีวิต

ประการที่สองคือ ความเสี่ยงด้านการลงทุน เนื่องจาก TESG ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ซึ่งมีความผันผวนตามสภาวะตลาด มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) สามารถปรับตัวขึ้นลงได้ นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลกองทุน (Fund Fact Sheet) ทำความเข้าใจนโยบายการลงทุนและระดับความเสี่ยงของแต่ละกองทุนก่อนตัดสินใจ และเลือกกองทุนที่บริหารโดยทีมงานมืออาชีพที่มีประวัติการลงทุนในหลักทรัพย์ ESG ที่ดี เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะยาว

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต: TESG กับการวางแผนการเงินส่วนบุคคล

โดยสรุปแล้ว คำตอบของคำถามที่ว่า TESG ครบ 2 ปี: ยังน่าซื้อลดหย่อนภาษีอยู่ไหม? คือ “ยังคงน่าสนใจอย่างยิ่ง” โดยเฉพาะในปี 2568 และปีต่อๆ ไปจนสิ้นสุดโครงการ การปรับปรุงเงื่อนไขทั้งการเพิ่มวงเงินลดหย่อนเป็น 300,000 บาท และการลดระยะเวลาถือครองเหลือเพียง 5 ปี ได้ยกระดับให้ TESG กลายเป็นเครื่องมือลดหย่อนภาษีที่มีความยืดหยุ่นและทรงประสิทธิภาพ สามารถตอบโจทย์นักลงทุนได้หลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่ผู้มีรายได้สูงไปจนถึงผู้ที่เริ่มต้นวางแผนการเงิน

การลงทุนใน TESG ไม่เพียงแต่มอบผลประโยชน์ทางภาษีที่คุ้มค่า แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินงานอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลก ดังนั้น สำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกในการวางแผนภาษีในช่วงปลายปี TESG ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและเลือกกองทุนที่มีนโยบายสอดคล้องกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930