ภาษีท่องเที่ยว 300 บาท เริ่มใช้ปี 69 สรุปจบในที่เดียว
นโยบายการจัดเก็บภาษีท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างชาติเป็นประเด็นที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดมีความชัดเจนว่ามาตรการนี้จะถูกนำมาบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพและสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย
- กำหนดการบังคับใช้: นโยบายการจัดเก็บภาษีท่องเที่ยว หรือ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” มีกำหนดการเริ่มต้นบังคับใช้ภายในปี พ.ศ. 2569 (ค.ศ. 2026)
- กลุ่มเป้าหมาย: มาตรการนี้บังคับใช้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเท่านั้น โดยมีข้อยกเว้นสำหรับบุคคลบางกลุ่ม
- อัตราค่าธรรมเนียม: กำหนดอัตราการจัดเก็บที่ 300 บาทต่อคนสำหรับการเดินทางเข้าประเทศผ่านช่องทางอากาศ และ 150 บาทต่อคนสำหรับช่องทางบกและทางทะเล
- วัตถุประสงค์หลัก: รายได้จากการจัดเก็บจะถูกนำไปใช้ในกองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และใช้เป็นสวัสดิการด้านประกันอุบัติเหตุให้กับนักท่องเที่ยว
- วิธีการจัดเก็บ: ค่าธรรมเนียมจะถูกรวมเข้าไปในราคาบัตรโดยสารเครื่องบิน เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนที่ยุ่งยากสำหรับนักท่องเที่ยว
ภาพรวมนโยบายภาษีท่องเที่ยวก่อนเข้าสู่รายละเอียด
การประกาศใช้มาตรการ ภาษีท่องเที่ยว 300 บาท เริ่มใช้ปี 69 สรุปจบในที่เดียว นับเป็นก้าวสำคัญของนโยบายการท่องเที่ยวไทยที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน มาตรการนี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” คือค่าธรรมเนียมที่จะจัดเก็บจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยมีเป้าหมายหลักในการนำรายได้ที่เกิดขึ้นไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว และที่สำคัญคือการจัดทำประกันภัยเพื่อดูแลความปลอดภัยและเยียวยานักท่องเที่ยวในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก นโยบายนี้ผ่านการพิจารณาและศึกษาผลกระทบมาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการประมาณกลางปี 2569 หลังจากผ่านกระบวนการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
เจาะลึกรายละเอียด ภาษีท่องเที่ยว 300 บาท
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว การทำความเข้าใจในเงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังประเทศไทยในอนาคต
อัตราการจัดเก็บและช่องทางการเดินทาง
นโยบายได้กำหนดอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันตามช่องทางการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างต้นทุนและรูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยแบ่งออกเป็น 2 อัตราหลัก ได้แก่:
- การเดินทางทางอากาศ: นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยโดยเครื่องบิน จะต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตรา 300 บาทต่อคนต่อครั้ง
- การเดินทางทางบกและทางทะเล: สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านด่านพรมแดนทางบกหรือเดินทางโดยเรือ จะชำระค่าธรรมเนียมในอัตรา 150 บาทต่อคนต่อครั้ง
การกำหนดอัตราที่แตกต่างกันนี้พิจารณาจากปัจจัยหลายด้าน รวมถึงปริมาณนักท่องเที่ยวในแต่ละช่องทางและต้นทุนในการบริหารจัดการ โดยช่องทางอากาศเป็นช่องทางหลักที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศเป็นจำนวนมากที่สุด
กระบวนการและวิธีการชำระค่าธรรมเนียม
เพื่อลดผลกระทบและอำนวยความสะดวกสูงสุดแก่นักท่องเที่ยว ภาครัฐได้ออกแบบกระบวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมให้มีความเรียบง่ายและผสมผสานไปกับขั้นตอนการเดินทางปกติ โดยรูปแบบที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดคือ:
การรวมค่าธรรมเนียม 300 บาทเข้าไปในราคาบัตรโดยสารเครื่องบินโดยตรง วิธีการนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวชำระเงินตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อตั๋ว และไม่ต้องเสียเวลาหรือดำเนินการเพิ่มเติมเมื่อเดินทางมาถึงสนามบินในประเทศไทย
สำหรับช่องทางบกและทางทะเล รูปแบบการจัดเก็บยังอยู่ระหว่างการพิจารณาหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งอาจเป็นการชำระ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือผ่านระบบออนไลน์ล่วงหน้า โดยจะมีการประกาศรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้งก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้
กลุ่มนักท่องเที่ยวที่อาจได้รับการยกเว้น
แม้ว่ามาตรการนี้จะมุ่งเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก แต่ก็มีการกำหนดข้อยกเว้นสำหรับบุคคลบางกลุ่ม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เดินทางเข้าประเทศด้วยวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการท่องเที่ยว โดยกลุ่มบุคคลที่คาดว่าจะได้รับการยกเว้น ได้แก่:
- ผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หรือเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ
- ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ในประเทศไทย
- เด็กทารกที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (โดยทั่วไปคือ 2 ปี)
- ลูกเรือของสายการบินหรือผู้ควบคุมยานพาหนะที่เดินทางเข้ามาปฏิบัติหน้าที่
- ผู้ที่เดินทางผ่านแดน (Transit) โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อเข้าประเทศ
ทั้งนี้ รายชื่อกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกเว้นอย่างเป็นทางการจะถูกระบุไว้ในประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
| ช่องทางการเดินทาง | อัตราค่าธรรมเนียม (บาท/คน) | วัตถุประสงค์หลักของการใช้รายได้ |
|---|---|---|
| ทางอากาศ | 300 | พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสาธารณูปโภค, จัดสรรเป็นกองทุนประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว |
| ทางบกและทางทะเล | 150 | พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและสาธารณูปโภค, จัดสรรเป็นกองทุนประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว |
วัตถุประสงค์หลักของการจัดเก็บ ‘ค่าเหยียบแผ่นดิน’
รายได้ที่เกิดจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวจะถูกบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและโปร่งใส โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยตรง
จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
เงินส่วนสำคัญจะถูกนำเข้าสู่ “กองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งชาติ” ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแหล่งงบประมาณสำหรับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น ห้องน้ำ ป้ายบอกทาง และระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น
ยกระดับความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่น
อีกหนึ่งวัตถุประสงค์ที่สำคัญอย่างยิ่งคือการนำรายได้ส่วนหนึ่งมาจัดตั้งเป็นกองทุนสำหรับดูแลความปลอดภัยและให้ความช่วยเหลือแก่นักท่องเที่ยวในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งครอบคลุมถึง:
- การประกันอุบัติเหตุ: ให้ความคุ้มครองและเยียวยานักท่องเที่ยวในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางในประเทศไทย
- การช่วยเหลือกรณีเสียชีวิต: จัดการและให้ความช่วยเหลือในกรณีที่นักท่องเที่ยวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
- การส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัย: สนับสนุนงบประมาณเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในกิจกรรมและบริการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ
การมีหลักประกันด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุ แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่กำลังพิจารณาเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง
บริบทและผลกระทบที่คาดการณ์
การนำนโยบายค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวมาใช้สอดคล้องกับแนวโน้มของโลกที่หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและความยั่งยืนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ย่อมมีทั้งผลกระทบที่คาดหวังในเชิงบวกและประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
การเปรียบเทียบกับมาตรการในต่างประเทศ
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่นำมาตรการลักษณะนี้มาใช้ หลายประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลกได้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษีในรูปแบบต่างๆ มาก่อนแล้ว ตัวอย่างเช่น:
- ญี่ปุ่น: จัดเก็บ “ภาษีซาโยนาระ” (International Tourist Tax) จากผู้ที่เดินทางออกจากประเทศในอัตรา 1,000 เยน
- นิวซีแลนด์: มีการเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวและการอนุรักษ์ (IVL) จากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้าประเทศ
- เมืองในยุโรป: หลายเมือง เช่น เวนิส โรม และบาร์เซโลนา มีการเก็บภาษีนักท่องเที่ยว (City Tax) ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามประเภทของที่พักและระยะเวลาที่เข้าพัก
การมีอยู่ของมาตรการเหล่านี้ในประเทศอื่นแสดงให้เห็นว่าการให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทรัพยากรของประเทศเจ้าบ้านเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
มุมมองต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย
ในระยะสั้น อาจมีความกังวลว่าค่าธรรมเนียมดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่อ่อนไหวต่อค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมคาดว่าผลกระทบจะมีจำกัด เนื่องจากจำนวนเงิน 300 บาทนั้นถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทางมายังประเทศไทย
ในทางกลับกัน ผลประโยชน์ในระยะยาวที่คาดว่าจะได้รับมีน้ำหนักมากกว่า ทั้งในแง่ของงบประมาณที่จะนำมาพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีความน่าสนใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีคุณภาพและมีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ การมีระบบประกันภัยรองรับยังช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐในการดูแลนักท่องเที่ยวที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งในแต่ละปีมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นจำนวนมาก
นโยบายควบคู่: การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ
นอกเหนือจากการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว รัฐบาลยังได้มีนโยบายเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศควบคู่กันไป โดยหนึ่งในมาตรการที่น่าสนใจคือการผลักดันมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ โดยจะอนุญาตให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวในเมืองหลักและเมืองรองมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ในวงเงินสูงสุด 20,000 บาทต่อคน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นและส่งเสริมให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น เป็นการสร้างความสมดุลและสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศในทุกมิติ
สรุปและขั้นตอนต่อไปของนโยบายภาษีท่องเที่ยว
นโยบาย ภาษีท่องเที่ยว 300 บาท ที่จะเริ่มต้นในปี 2569 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวของไทย โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างความยั่งยืนทางการคลังสำหรับภาคการท่องเที่ยว และยกระดับความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แม้จะยังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการพิจารณาและเตรียมการ แต่กรอบการทำงานหลักได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งในเรื่องของอัตราค่าธรรมเนียม กลุ่มเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณ
หลังจากนี้ ขั้นตอนต่อไปคือการนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติในหลักการอย่างเป็นทางการ จากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการยกร่างกฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดรายละเอียดเชิงปฏิบัติให้ชัดเจน ซึ่งคาดว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จและพร้อมบังคับใช้ได้ตามกำหนดการที่วางไว้ ผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจควรติดตามความคืบหน้าจากประกาศของภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้สอดรับกับนโยบายใหม่นี้ต่อไป


