Shopping cart

Workation ไทย 2568: เที่ยวไป ทำงานไป สไตล์รักษ์โลก

สารบัญ

เทรนด์การทำงานและการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เส้นแบ่งระหว่างการทำงานและการพักผ่อนเริ่มเลือนรางลง นำไปสู่แนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “Workation” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการทำงาน (Work) และการท่องเที่ยว (Vacation) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแส Workation ไทย 2568: เที่ยวไป ทำงานไป สไตล์รักษ์โลก กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามอง สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่น สร้างสมดุลให้ชีวิต พร้อมกับใส่ใจในความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

Workation ไทย 2568: เที่ยวไป ทำงานไป สไตล์รักษ์โลก - workation-thailand-eco-friendly-2025

  • นิยามใหม่ของไลฟ์สไตล์: Workation คือการทำงานทางไกลจากสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ สร้างแรงบันดาลใจ และยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเน้นการเลือกจุดหมายปลายทางที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
  • การสนับสนุนจากภาครัฐ: ประเทศไทยเดินหน้าส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนอย่างจริงจัง ผ่านแคมเปญและแผนแม่บทต่างๆ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง Workation ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมระดับโลก
  • จุดหมายปลายทางที่หลากหลาย: ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Workation ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากมาย ตั้งแต่เมืองชายทะเลอย่างหัวหินและกระบี่ ไปจนถึงเมืองแห่งวัฒนธรรมท่ามกลางขุนเขาอย่างน่าน
  • ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม: เทรนด์ Workation ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ชุมชน และสร้างงาน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคการท่องเที่ยว
  • ความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน: การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างมาตรฐานและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในระยะยาว

ปรากฏการณ์ Workation ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่คือภาพสะท้อนของการปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีเอื้อให้การทำงานเกิดขึ้นได้จากทุกที่ ในขณะเดียวกัน ความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกเดินทางและใช้ชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่ม Digital Nomad หรือผู้ที่ทำงานทางไกลเป็นอาชีพหลัก บทความนี้จะเจาะลึกถึงมิติต่างๆ ของเทรนด์ Workation ในประเทศไทยประจำปี 2568 ตั้งแต่แนวคิด นโยบายภาครัฐ สถานที่ยอดนิยม ไปจนถึงผลกระทบเชิงบวกต่อประเทศ

นิยามและแก่นแท้ของ Workation: เมื่อการทำงานและการท่องเที่ยวเป็นเรื่องเดียวกัน

ก่อนจะสำรวจว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับ Workation สไตล์รักษ์โลกอย่างไร การทำความเข้าใจแนวคิดและที่มาของเทรนด์นี้อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

Workation คืออะไร?

Workation เป็นคำผสมระหว่าง “Work” (การทำงาน) และ “Vacation” (การพักผ่อน) ซึ่งหมายถึงการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่ที่แตกต่างจากสภาพแวดล้อมเดิม และทำงานทางไกลจากที่นั่นควบคู่ไปกับการพักผ่อนและทำกิจกรรมต่างๆ แทนที่จะทำงานจากออฟฟิศหรือที่บ้านตามปกติ สถานที่ทำงานอาจเป็นโรงแรม รีสอร์ต คาเฟ่ริมทะเล หรือ Co-working Space ในเมืองท่องเที่ยว โดยมีหัวใจสำคัญคือการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้า ทำให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้ไม่ต่างจากการทำงานในที่ตั้งปกติ

แนวคิดนี้แตกต่างจากการเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Trip) ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อการประชุมหรือเจรจา และแตกต่างจากการลางานเพื่อไปเที่ยว (Vacation) อย่างสิ้นเชิง เพราะ Workation คือการผสานสองกิจกรรมนี้เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ผู้ที่ทำ Workation จะจัดสรรเวลาในแต่ละวันอย่างสมดุล ส่วนหนึ่งสำหรับทำงานตามความรับผิดชอบ และอีกส่วนหนึ่งสำหรับสำรวจสถานที่ใหม่ๆ เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น หรือเพียงแค่ผ่อนคลายในบรรยากาศที่แปลกใหม่

วิถีการทำงานยุคใหม่ที่สร้างสมดุล

การเติบโตของเทรนด์ Workation สะท้อนการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการทำงานของคนยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น (Flexibility) และสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) มากขึ้น พวกเขาไม่ได้มองว่าการทำงานจะต้องถูกจำกัดอยู่แค่ในกรอบของออฟฟิศตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นอีกต่อไป แต่เชื่อว่าประสิทธิภาพในการทำงานสามารถเกิดขึ้นได้จากทุกที่ หากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและเครื่องมือที่พร้อม

Workation ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนที่ทำงาน แต่คือการเปลี่ยนมุมมองต่อการใช้ชีวิต ที่ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานและการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ สามารถดำเนินไปพร้อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ

องค์กรสมัยใหม่หลายแห่งเริ่มยอมรับและสนับสนุนรูปแบบการทำงานลักษณะนี้ เนื่องจากเล็งเห็นประโยชน์ในหลายมิติ เช่น การเพิ่มความสุขและความพึงพอใจของพนักงาน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและแรงจูงใจในการทำงาน การเปลี่ยนบรรยากาศยังช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และมุมมองใหม่ๆ ที่อาจนำไปสู่นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร นอกจากนี้ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ (Talent Attraction & Retention) ในยุคที่การแข่งขันในตลาดแรงงานสูงขึ้น

นโยบายภาครัฐและการขับเคลื่อน Workation ไทยสู่ความยั่งยืน

ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทรนด์ Workation และได้กำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมและยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางสำหรับ Digital Nomad และผู้ที่ต้องการทำงานทางไกล โดยเน้นย้ำมิติของความยั่งยืนและการรักษ์โลกเป็นหัวใจสำคัญ

แคมเปญ Workation Paradise Throughout Thailand

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ริเริ่มโครงการ “Workation Paradise Throughout Thailand” ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจนถึงซีซันที่ 3 โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยส่งเสริมให้คนไทยและชาวต่างชาติที่พำนักในไทยออกเดินทางท่องเที่ยวและทำงานไปพร้อมกันในวันธรรมดา เพื่อยืดระยะเวลาการพำนักและเพิ่มค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวให้สูงขึ้น

แคมเปญนี้ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังสอดแทรกแนวคิดของการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) เข้าไปด้วย โดยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก และธุรกิจที่เกี่ยวข้องปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่ม Workation เช่น การจัดเตรียมพื้นที่ทำงานที่สะดวกสบาย อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโปรโมชันสำหรับการเข้าพักระยะยาว นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองและชุมชนต่างๆ เพื่อให้รายได้จากการท่องเที่ยวเข้าถึงท้องถิ่นอย่างทั่วถึง

แผนแม่บท Thailand Green Tourism Plan 2030

เพื่อตอกย้ำจุดยืนในการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน รัฐบาลไทยได้ผลักดัน “Thailand Green Tourism Plan 2030” ซึ่งเป็นแผนแม่บทระยะยาวที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนในการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น เป้าหมายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการท่องเที่ยวลง 40% ภายในปี 2030

แผนการนี้ดำเนินการโดยยึดตามมาตรฐานสากลจากสภาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนโลก (Global Sustainable Tourism Council – GSTC) และบูรณาการเข้ากับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals – SDGs) อย่างเป็นระบบ ซึ่งหมายความว่าทุกกิจกรรมและโครงการที่เกิดขึ้นจะถูกประเมินผลกระทบทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้แน่ใจว่าการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวจะไม่สร้างภาระให้กับทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมของประเทศในระยะยาว

เครื่องมือและมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในประเทศไทย

เพื่อให้แผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืนเกิดผลเป็นรูปธรรม ภาครัฐได้พัฒนาเครื่องมือและกลไกต่างๆ ขึ้นมาเพื่อวัดผลและสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

STGs STAR: ระบบดาวการันตีความยั่งยืน

หนึ่งในเครื่องมือที่โดดเด่นคือระบบจัดอันดับดาว “STGs STAR” (Sustainable Tourism Acceleration Rating) ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อประเมินและให้การรับรองแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีการดำเนินงานสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ระบบดาวนี้ทำหน้าที่เสมือนเครื่องหมายการันตีคุณภาพและความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Digital Nomad และผู้ที่สนใจ Workation เชิงอนุรักษ์สามารถตัดสินใจเลือกใช้บริการจากธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนได้อย่างมั่นใจ

รางวัล Green Kinnaree และการวัดผลคาร์บอนฟุตพรินต์

ททท. ยังได้ส่งเสริมมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมผ่าน “รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย” หรือรางวัลกินรี (Kinnaree Award) โดยมีสาขา Green Kinnaree ที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการที่มีผลงานโดดเด่นด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ททท. ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักสามารถคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) จากการดำเนินงานของตนเองได้ ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ

จังหวัดนำร่องสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวสีเขียว

เพื่อสร้างต้นแบบที่สามารถขยายผลได้ทั่วประเทศ จังหวัดกระบี่จึงถูกเลือกให้เป็นจังหวัดนำร่องในการพัฒนาสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนเต็มรูปแบบ โครงการในกระบี่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการเพื่อจัดการขยะ พลังงาน และทรัพยากรทางทะเลอย่างเป็นระบบ บทเรียนและความสำเร็จจากกระบี่จะถูกนำไปปรับใช้กับจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ เช่น เชียงใหม่และภูเก็ต เพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ

ตารางเปรียบเทียบแนวคิดระหว่างการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมและ Workation เชิงอนุรักษ์
มิติการเปรียบเทียบ การท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม Workation เชิงอนุรักษ์
วัตถุประสงค์หลัก การพักผ่อนระยะสั้น แยกจากการทำงานโดยสิ้นเชิง การผสานการทำงานและการพักผ่อนเข้าด้วยกัน
ระยะเวลาพำนัก สั้น (3-7 วัน) ยาว (1-3 เดือน หรือมากกว่า)
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ รายได้กระจุกตัวในแหล่งท่องเที่ยวหลักและช่วงฤดูกาล กระจายรายได้สู่เมืองรองและชุมชนตลอดทั้งปี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาจสร้างภาระให้ทรัพยากรสูงในช่วงเวลาสั้นๆ (Over-tourism) เน้นการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ความสัมพันธ์กับท้องถิ่น ผิวเผิน เป็นเพียงผู้มาเยือน สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรม

จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับ Workation สไตล์รักษ์โลก

ประเทศไทยมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม ทำให้มีตัวเลือกมากมายสำหรับผู้ที่ต้องการทำ Workation โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานที่ที่กำลังได้รับความนิยมในปี 2568 มักจะเป็นที่ที่ผสมผสานความสะดวกสบายเข้ากับธรรมชาติและวิถีชุมชนได้อย่างลงตัว

หัวหิน: ความหรูหราที่ผสานกับธรรมชาติ

หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับต้นๆ สำหรับ Workation ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบแต่ไม่เงียบเหงา มีชายหาดที่สวยงาม ที่พักและโรงแรมระดับหรูที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Co-working space สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และร้านอาหารชั้นเลิศ การเดินทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้หัวหินเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง แต่ยังคงต้องการความสะดวกสบายและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

น่านและกระบี่: มนต์เสน่ห์แห่งการท่องเที่ยวชุมชนและนิเวศ

สำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์ที่ใกล้ชิดธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น น่านและกระบี่คือคำตอบ จังหวัดน่านมีจุดเด่นที่บรรยากาศเมืองเก่าที่สงบงาม ท่ามกลางหุบเขาและนาข้าวขั้นบันได มีคาเฟ่และโฮมสเตย์จำนวนมากที่เปิดรับ Digital Nomad ให้เข้าไปทำงานพร้อมสัมผัสวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ ในขณะที่กระบี่ ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องด้านความยั่งยืน มีชื่อเสียงด้านความงามของท้องทะเลอันดามัน หมู่เกาะต่างๆ และกิจกรรมเชิงนิเวศ เช่น การพายเรือคายัค การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ และการเยี่ยมชมชุมชนชาวประมงท้องถิ่น ทั้งสองจังหวัดนี้สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่กำลังเติบโตและตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความหมายจากการเดินทางมากกว่าแค่การพักผ่อน

ประโยชน์และผลกระทบของเทรนด์ Workation ต่อเศรษฐกิจและสังคม

เทรนด์ Workation ไม่เพียงแต่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่เท่านั้น แต่ยังสร้างประโยชน์ในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอีกด้วย

การฟื้นฟูเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว

การส่งเสริม Workation เป็นกลยุทธ์สำคัญในการฟื้นฟูภาคบริการและธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา การที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีระยะเวลาพำนักที่ยาวนานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป ทำให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าอาหาร ไปจนถึงการใช้บริการต่างๆ ในท้องถิ่น ซึ่งช่วยพยุงให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

การกระจายรายได้และสร้างงานในท้องถิ่น

ลักษณะเด่นของ Workation คือการที่ผู้คนไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในเมืองใหญ่ แต่กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งนำไปสู่การกระจายรายได้สู่ชุมชนและเมืองรองโดยตรง เมื่อมีผู้คนเข้าไปใช้ชีวิตและทำงานในพื้นที่ ก็จะเกิดความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น และช่วยลดปัญหาการย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานในเมืองหลวง

สร้างแรงบันดาลใจและเสริมสร้างทีม

ในระดับองค์กร การจัดกิจกรรม Workation สำหรับพนักงานยังเป็นเครื่องมือในการสร้างทีม (Team Building) ที่มีประสิทธิภาพ การได้ใช้ชีวิตและทำงานร่วมกันในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือในทีม อีกทั้งยังช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่จะนำกลับไปพัฒนางานและองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไป

ความร่วมมือเพื่ออนาคตการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับ Workation เชิงอนุรักษ์อย่างเต็มรูปแบบนั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ศูนย์ปฏิบัติการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (STAC Thailand)

การจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” หรือ STAC Thailand คือตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือเชิงบูรณาการ โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมการท่องเที่ยว สถาบันการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยมหิดล และองค์กรระดับนานาชาติ เช่น Green Destinations Foundation และ Travelife ศูนย์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการให้คำปรึกษา จัดอบรม และให้การรับรองมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เวทีระดับโลก: Global Meaningful Travel Summit 2025

ในปี 2568 ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสุดยอด “Global Meaningful Travel Summit” ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในหัวข้อการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน การเป็นเจ้าภาพงานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงศักยภาพของประเทศไทย แต่ยังเป็นโอกาสในการเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดจากนานาชาติ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น

บทสรุป: อนาคตของ Workation ไทยบนเส้นทางสีเขียว

เทรนด์ Workation ไทย 2568: เที่ยวไป ทำงานไป สไตล์รักษ์โลก ไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางไลฟ์สไตล์ แต่เป็นทิศทางสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในอนาคต การผสมผสานวิถีชีวิตแบบ Digital Nomad เข้ากับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและเคารพในวัฒนธรรมท้องถิ่น ภายใต้การสนับสนุนอย่างจริงจังจากนโยบายและมาตรการของภาครัฐ กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยวของประเทศไปอย่างสิ้นเชิง

จากนี้ไป การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยจะไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การพักผ่อนในช่วงวันหยุดสั้นๆ แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ผู้คนสามารถทำงาน สร้างสรรค์ และเติบโตไปพร้อมกับการสำรวจความงดงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมได้อย่างยั่งยืน ด้วยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว และความมุ่งมั่นในการพัฒนาสู่ความยั่งยืน ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับ Workation สไตล์รักษ์โลกที่โดดเด่นและน่าจับตามองที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอย่างแท้จริง

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031