บาทดิจิทัล เขย่าการเงินไทย ร้านค้า-ปชช. ต้องปรับตัว
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลกำลังส่งผลกระทบต่อทุกมิติของสังคม รวมถึงระบบการเงินที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังเดินหน้าศึกษาและทดสอบ “เงินบาทดิจิทัล” ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแห่งอนาคต การมาถึงของสกุลเงินรูปแบบใหม่นี้ส่งสัญญาณว่า บาทดิจิทัล เขย่าการเงินไทย ร้านค้า-ปชช. ต้องปรับตัว เพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น การทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ ผลกระทบ และแนวทางการเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในสังคมไทย
สรุปประเด็นสำคัญของการมาถึงของบาทดิจิทัล
- นิยามและสถานะ: บาทดิจิทัล หรือ Retail CBDC คือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย มีค่าเท่ากับเงินบาทปกติ สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และมีความน่าเชื่อถือสูงสุดเทียบเท่าธนบัตร
- ประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน: เพิ่มทางเลือกในการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีต้นทุนต่ำลงสำหรับทั้งประชาชนและร้านค้า ช่วยให้เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงสำหรับภาคธุรกิจ: ร้านค้าจำเป็นต้องปรับปรุงระบบเพื่อรองรับการชำระเงินรูปแบบใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่นวัตกรรมทางการค้า เช่น การใช้สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เพื่อสร้างเงื่อนไขการชำระเงินอัตโนมัติ
- ประสิทธิภาพของนโยบายภาครัฐ: ภาครัฐสามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายในโครงการช่วยเหลือต่างๆ ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจำกัดประเภทสินค้าหรือพื้นที่ในการใช้เงิน
- โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต: บาทดิจิทัลไม่ใช่การมาแทนที่เงินสดหรือเงินฝากธนาคาร แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้และปรับตัวจากทุกภาคส่วน
ในยุคที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ระบบการเงินของประเทศไทยก็กำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ที่น่าจับตามอง การพัฒนาเงินบาทดิจิทัลโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงการสร้างทางเลือกใหม่ในการชำระเงิน แต่คือการวางรากฐานสำคัญสำหรับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับทุกคน ตั้งแต่ประชาชนทั่วไปที่จะมีวิธีการใช้จ่ายที่สะดวกและปลอดภัยขึ้น ไปจนถึงผู้ประกอบการและร้านค้าที่ต้องปรับตัวเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางธุรกิจ และที่สำคัญคือภาครัฐที่สามารถดำเนินนโยบายการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสยิ่งขึ้น ดังนั้น การทำความเข้าใจว่าบาทดิจิทัลคืออะไร จะส่งผลกระทบอย่างไร และเราควรเตรียมตัวอย่างไรจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้
บาทดิจิทัลคืออะไร และแตกต่างจากเงินดิจิทัลอื่นอย่างไร?
ก่อนจะวิเคราะห์ถึงผลกระทบในวงกว้าง จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงนิยามและคุณลักษณะเฉพาะของเงินบาทดิจิทัลให้ชัดเจนเสียก่อน เนื่องจากคำว่า “เงินดิจิทัล” ในปัจจุบันมีความหมายหลากหลายและอาจสร้างความสับสนได้ เงินบาทดิจิทัลมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) หรือคริปโทเคอร์เรนซีที่หลายคนคุ้นเคย
คำจำกัดความของ CBDC: สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง
เงินบาทดิจิทัล มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Central Bank Digital Currency (CBDC) ประเภทสำหรับประชาชนทั่วไป (Retail CBDC) ซึ่งหมายถึง สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ โดยมีคุณสมบัติสำคัญคือเป็น “หนี้สินของธนาคารกลาง” เช่นเดียวกับธนบัตรที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
การที่บาทดิจิทัลเป็นหนี้สินของธนาคารกลาง หมายความว่าเงินดิจิทัลจำนวน 1 บาท มีมูลค่าเท่ากับเงินสด 1 บาทเสมอ และได้รับการค้ำประกันจากธนาคารแห่งประเทศไทยโดยตรง ทำให้มีความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพสูงสุด ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิตเหมือนเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ หรือความผันผวนของราคาเหมือนสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ
เป้าหมายหลักของการพัฒนาบาทดิจิทัล คือการเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ทันสมัย ปลอดภัย และเข้าถึงได้ง่าย เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัลที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลักษณะเฉพาะของเงินบาทดิจิทัล
เงินบาทดิจิทัลถูกออกแบบมาให้มีคุณลักษณะคล้ายคลึงกับเงินสด แต่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยมีลักษณะเด่นดังนี้:
- มีสถานะเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender): เช่นเดียวกับธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ทุกคนสามารถใช้บาทดิจิทัลในการชำระค่าสินค้าและบริการได้ทั่วไป
- ไม่มีการให้ดอกเบี้ย: เพื่อไม่ให้เกิดการแข่งขันกับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์โดยตรง บทบาทของบาทดิจิทัลคือการเป็นสื่อกลางในการชำระเงิน ไม่ใช่สินทรัพย์เพื่อการออม
- ความปลอดภัยสูง: ระบบถูกออกแบบและดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้มีความปลอดภัยและความเสถียรของระบบสูงกว่าผู้ให้บริการทางการเงินเอกชน
- ทำธุรกรรมได้โดยง่าย: สามารถโอนหรือชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
เปรียบเทียบเงินบาทดิจิทัลกับเงินรูปแบบอื่น
เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบคุณสมบัติของเงินบาทดิจิทัลกับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) และคริปโทเคอร์เรนซี จะช่วยให้เห็นภาพความแตกต่างได้เป็นอย่างดี
คุณลักษณะ | บาทดิจิทัล (Retail CBDC) | เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) | คริปโทเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin) |
---|---|---|---|
ผู้ออกและรับประกัน | ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) | สถาบันการเงินหรือบริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาต | ไม่มีหน่วยงานกลาง (Decentralized) |
สถานะทางกฎหมาย | ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) | ไม่ใช่ Legal Tender แต่ใช้ชำระเงินในเครือข่ายที่ยอมรับ | ไม่ใช่ Legal Tender และไม่ถือเป็นเงินตรา |
ความเสี่ยงด้านเครดิต | ไม่มี (ความเสี่ยงต่ำที่สุด) | มีความเสี่ยงหากผู้ออกล้มละลาย | มีความเสี่ยงสูงมากจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม |
ความผันผวนของมูลค่า | ไม่มี (1 บาทดิจิทัล = 1 บาทเสมอ) | ไม่มี (มูลค่าคงที่ตามเงินบาท) | มีความผันผวนสูงมาก |
วัตถุประสงค์หลัก | เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน | เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน | ส่วนใหญ่เพื่อการลงทุน/เก็งกำไร |
ผลกระทบเมื่อบาทดิจิทัลเข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทย
การนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้ในวงกว้างจะส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสามารถแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ประชาชนทั่วไป, ร้านค้าและภาคธุรกิจ, และภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ
สำหรับประชาชนทั่วไป: ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
ในมุมของผู้บริโภค การมีอยู่ของบาทดิจิทัลจะสร้างประสบการณ์ทางการเงินใหม่ๆ และเพิ่มทางเลือกในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
1. ทางเลือกใหม่ในการชำระเงิน: ประชาชนจะมีช่องทางการชำระเงินเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทาง นอกเหนือจากเงินสด, บัตรเดบิต/เครดิต, หรือแอปพลิเคชัน e-payment ต่างๆ ซึ่งช่องทางใหม่นี้มีความน่าเชื่อถือสูงสุดเพราะได้รับการดูแลโดยตรงจากธนาคารกลาง
2. ความสะดวกและรวดเร็ว: การทำธุรกรรมผ่านบาทดิจิทัลจะมีความสะดวกและอาจทำได้ในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ในอนาคตอาจมีการพัฒนาให้สามารถทำธุรกรรมแบบออฟไลน์ (Offline Payment) ได้ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการทางการเงิน
3. การรับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างมีเงื่อนไข (Programmable Money): นี่คือหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจที่สุดของบาทดิจิทัล ภาครัฐสามารถออกแบบนโยบายช่วยเหลือทางการเงินได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น รัฐบาลสามารถโอนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพในรูปแบบบาทดิจิทัลที่กำหนดเงื่อนไขได้ว่า “สามารถใช้จ่ายได้เฉพาะร้านค้าอาหารและของใช้จำเป็นในรัศมี 5 กิโลเมตรจากที่พัก และต้องใช้ภายใน 30 วัน” ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นได้อย่างแม่นยำและป้องกันการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์
สำหรับร้านค้าและภาคธุรกิจ: โอกาสและความท้าทาย
ผู้ประกอบการและร้านค้าคือกลุ่มที่จะต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มที่จะได้รับโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจเช่นกัน
โอกาส:
- ลดต้นทุนการจัดการเงินสด: การรับชำระเงินด้วยบาทดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการเงินสด เช่น ค่าขนส่งเงิน, ค่าประกัน, และความเสี่ยงจากการเก็บรักษาเงินสดจำนวนมาก
- เพิ่มประสิทธิภาพและความเร็วในการรับชำระเงิน: ธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะถูกบันทึกทันที ทำให้การกระทบยอดบัญชีทำได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
- นวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ จากสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract): ภาคธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยี Smart Contract มาประยุกต์ใช้บนแพลตฟอร์มบาทดิจิทัลได้ เช่น ในธุรกิจ E-commerce ร้านค้าสามารถสร้างเงื่อนไขว่า “เงินค่าสินค้าจากลูกค้าจะถูกโอนเข้าบัญชีร้านค้าโดยอัตโนมัติ ก็ต่อเมื่อระบบขนส่งยืนยันว่าสินค้าได้ถูกจัดส่งถึงมือผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว” สิ่งนี้จะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
ความท้าทาย:
- การลงทุนในระบบและอุปกรณ์: ร้านค้าจำเป็นต้องลงทุนในระบบการชำระเงิน (Point of Sale – POS) หรือซอฟต์แวร์ที่สามารถรองรับการทำธุรกรรมด้วยบาทดิจิทัลได้
- การเรียนรู้และฝึกอบรมพนักงาน: ผู้ประกอบการต้องสร้างความรู้ความเข้าใจและฝึกอบรมพนักงานให้สามารถใช้งานระบบใหม่ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
- การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น: เมื่อการชำระเงินสะดวกขึ้น การแข่งขันในตลาดอาจรุนแรงขึ้น ผู้ประกอบการที่ไม่ปรับตัวอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
สำหรับระบบเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของประเทศ
ในระดับมหภาค บาทดิจิทัลจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ดำเนินนโยบายสามารถบริหารจัดการเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย: ธนาคารกลางจะมีข้อมูลภาพรวมการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจแบบทันท่วงที (Real-time) ซึ่งสามารถนำมาใช้วิเคราะห์และออกแบบนโยบายการเงินและการคลังที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
2. เพิ่มประสิทธิภาพนโยบายการคลัง: ดังที่กล่าวไปข้างต้น การใช้ Programmable Money จะช่วยให้การส่งผ่านเงินช่วยเหลือหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และตรงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
3. ลดความเสี่ยงในระบบการเงิน: การมีระบบการชำระเงินกลางที่ดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) ที่อาจเกิดจากการพึ่งพาผู้ให้บริการเอกชนรายใดรายหนึ่งมากเกินไป
สถานะปัจจุบันและแนวทางการพัฒนาในอนาคต
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาเงินบาทดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้แนวทางที่รอบคอบและคำนึงถึงผลกระทบในทุกมิติ เพื่อให้มั่นใจว่าการนำมาใช้งานจริงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด
จากโครงการทดสอบสู่การใช้งานจริง
ธปท. ได้มีการดำเนินโครงการทดสอบการใช้งานบาทดิจิทัลในวงจำกัด (Pilot Test) ร่วมกับภาคเอกชนและสถาบันการเงิน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี พฤติกรรมของผู้ใช้งาน และผลกระทบต่อระบบการเงินโดยรวม โครงการทดสอบเหล่านี้แบ่งออกเป็นหลายระดับ ตั้งแต่การทดสอบในระดับพื้นฐาน (Foundation Track) ไปจนถึงการทดสอบในระดับนวัตกรรม (Innovation Track) ซึ่งเปิดโอกาสให้นักพัฒนาและภาคเอกชนเข้ามาสร้างสรรค์บริการใหม่ๆ บนแพลตฟอร์มบาทดิจิทัล
ผลลัพธ์จากการทดสอบเหล่านี้จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ ธปท. ใช้ในการพิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับรูปแบบและแนวทางการนำบาทดิจิทัลมาใช้ในวงกว้างต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความรอบคอบ
ความท้าทายและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา
แม้ว่าบาทดิจิทัลจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังมีความท้าทายและความเสี่ยงที่ผู้กำหนดนโยบายต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน:
- ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity): ระบบการเงินดิจิทัลที่เป็นศูนย์กลางย่อมเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ไม่หวังดี การออกแบบระบบให้มีความปลอดภัยสูงสุดเพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลและการแฮกจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
- ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy): การทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลทำให้เกิดข้อมูลจำนวนมหาศาล การสร้างสมดุลระหว่างการใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะกับการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของประชาชนเป็นโจทย์ที่ท้าทาย
- ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide): ต้องมั่นใจว่าประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงและใช้งานบาทดิจิทัลได้ เพื่อไม่ให้เกิดการกีดกันทางการเงิน
- บทบาทของสถาบันการเงิน: การออกแบบระบบบาทดิจิทัลต้องไม่ทำลายบทบาทของธนาคารพาณิชย์ในการเป็นตัวกลางทางการเงิน ซึ่งมีความสำคัญต่อการให้สินเชื่อและการพัฒนาเศรษฐกิจ
- การเชื่อมต่อกับระบบอื่น: ในระยะแรก ธปท. ยังไม่มีนโยบายให้บาทดิจิทัลเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม
การเตรียมความพร้อม: ร้านค้าและประชาชนต้องทำอะไร?
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและการปรับตัวจากทุกภาคส่วน การเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สามารถรับมือและใช้ประโยชน์จากการมาถึงของบาทดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ
คำแนะนำสำหรับประชาชน
- ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด: รับข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะประกาศจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อทำความเข้าใจนโยบายและแนวทางการดำเนินงานที่ถูกต้อง
- เปิดใจเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่: ทำความคุ้นเคยกับการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลต่างๆ เพื่อให้พร้อมปรับตัวเมื่อบาทดิจิทัลเริ่มเปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการ
- ระมัดระวังมิจฉาชีพ: ในช่วงเปลี่ยนผ่าน อาจมีผู้ไม่หวังดีสร้างข่าวปลอมหรือแอบอ้างเพื่อหลอกลวง ควรตรวจสอบข้อมูลทุกครั้งและไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับใครง่ายๆ
คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการและร้านค้า
- ศึกษาและประเมินความพร้อม: เริ่มศึกษาเทคโนโลยีการรับชำระเงินดิจิทัล และประเมินว่าธุรกิจของตนต้องปรับปรุงหรือลงทุนในส่วนใดบ้าง เช่น ระบบ POS, ซอฟต์แวร์บัญชี หรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
- มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่: พิจารณาว่าคุณสมบัติของบาทดิจิทัล เช่น Smart Contract สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างบริการใหม่ๆ หรือเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจได้อย่างไร
- ปรึกษาผู้ให้บริการทางการเงิน: พูดคุยกับธนาคารหรือผู้ให้บริการโซลูชันทางการเงิน เพื่อวางแผนการปรับเปลี่ยนระบบให้สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่
บทสรุป: ก้าวต่อไปของการเงินไทยในยุคดิจิทัล
การเกิดขึ้นของ บาทดิจิทัล เขย่าการเงินไทย ร้านค้า-ปชช. ต้องปรับตัว ไม่ใช่เป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราว แต่เป็นวิวัฒนาการที่สำคัญของระบบการเงินที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ บาทดิจิทัลไม่ได้เข้ามาเพื่อทดแทนเงินสดหรือเงินฝากธนาคาร แต่จะเข้ามาเป็น “ทางเลือก” เพิ่มเติมและเป็น “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ช่วยให้ระบบการเงินโดยรวมมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเปิดกว้างสำหรับนวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้น
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะมาพร้อมกับความท้าทายที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไข แต่ประโยชน์ในระยะยาวทั้งในด้านความสะดวกสบายของประชาชน การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ และประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ถือเป็นเป้าหมายที่คุ้มค่า การเปิดใจเรียนรู้และเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คนไทยและเศรษฐกิจไทยสามารถก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับภูมิทัศน์ทางการเงินของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง