Shopping cart






รัฐประหาร 57 ไม่ผิด? สรุปคำตัดสิน-ผลกระทบการเมือง


รัฐประหาร 57 ไม่ผิด? สรุปคำตัดสิน-ผลกระทบการเมือง

สารบัญ

คำถามที่ว่า รัฐประหาร 57 ไม่ผิด? สรุปคำตัดสิน-ผลกระทบการเมือง เป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของโครงสร้างอำนาจและกฎหมายไทย การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยรับรองความชอบด้วยกฎหมายของการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สร้างบรรทัดฐานที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อหลักนิติรัฐและทิศทางของระบอบประชาธิปไตยในประเทศ บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงที่มาของคำตัดสิน กลไกทางกฎหมายที่ถูกนำมาใช้ และผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะยาว

สาระสำคัญของคำวินิจฉัยและผลกระทบ

  • การรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดย คสช. ได้รับการรับรองว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ผ่านกลไกของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่คณะรัฐประหารร่างขึ้นเอง
  • มาตรา 44 และ 47 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เป็นเครื่องมือสำคัญที่มอบอำนาจเบ็ดเสร็จและนิรโทษกรรมการกระทำทั้งหมดของ คสช. ทำให้ไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ
  • คำตัดสินดังกล่าวได้วางรากฐานทางกฎหมายที่ให้อำนาจของคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจสำเร็จ (รัฏฐาธิปัตย์) อยู่เหนือกฎหมายปกติ ซึ่งขัดต่อหลักการถ่วงดุลอำนาจในระบอบประชาธิปไตย
  • ผลกระทบที่ตามมาคือการถดถอยของเสรีภาพทางการเมือง การจำกัดสิทธิของประชาชน และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองที่ลดทอนอำนาจของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง

ประเด็นเรื่อง รัฐประหาร 57 ไม่ผิด? สรุปคำตัดสิน-ผลกระทบการเมือง กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย การพิจารณาว่าการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่นั้น ต้องอาศัยความเข้าใจในบริบททางการเมืองและกลไกทางกฎหมายพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่เพียงแต่ยุติข้อถกเถียงในทางกฎหมายในขณะนั้น แต่ยังได้สร้างผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้จึงจำเป็นต่อการวิเคราะห์ภูมิทัศน์การเมืองไทยอย่างรอบด้าน

บริบททางการเมืองก่อนการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

การรัฐประหารในปี 2557 ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลลัพธ์ของความขัดแย้งทางการเมืองที่สะสมมาเป็นเวลานานและทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557 การทำความเข้าใจสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่จะเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ที่นำไปสู่การยึดอำนาจ

วิกฤตการณ์ทางการเมือง 2556–2557

ในช่วงปลายปี 2556 สถานการณ์ทางการเมืองของไทยตกอยู่ในภาวะตึงเครียดอย่างหนัก การชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่โดยกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้เริ่มขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การประท้วงได้ขยายวงกว้างไปสู่การปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญและพื้นที่ต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างยากลำบาก เป้าหมายหลักของผู้ชุมนุมคือการกดดันให้รัฐบาลลาออกและนำไปสู่การจัดตั้ง “สภาประชาชน” ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเพื่อทำการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป ความขัดแย้งนี้ทำให้สังคมไทยแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจนและนำไปสู่ภาวะสุญญากาศทางการเมือง

การประกาศกฎอัยการศึกสู่การยึดอำนาจ

ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่ไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลาย ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 กองทัพบก โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร โดยให้เหตุผลว่าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันเหตุรุนแรง อย่างไรก็ตาม เพียงสองวันหลังจากนั้น ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะนายทหารได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการ พร้อมกับจัดตั้ง “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” หรือ คสช. ขึ้นมาบริหารประเทศ โดยได้ทำการฉีกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และควบคุมตัวบุคคลสำคัญทางการเมืองจากหลายฝ่าย การกระทำดังกล่าวถือเป็นการสิ้นสุดลงของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นการเริ่มต้นยุคสมัยการปกครองโดยคณะทหาร

แก่นความคิดทางกฎหมาย: การรับรองอำนาจรัฏฐาธิปัตย์

แก่นความคิดทางกฎหมาย: การรับรองอำนาจรัฏฐาธิปัตย์

หัวใจสำคัญที่ทำให้การรัฐประหารปี 2557 ถูกทำให้ “ไม่ผิด” ในทางกฎหมาย คือการยอมรับแนวคิด “รัฏฐาธิปัตย์” ซึ่งเป็นหลักการที่ว่าคณะบุคคลใดที่สามารถยึดอำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คณะบุคคลนั้นย่อมกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐ และการกระทำใดๆ ของคณะบุคคลนั้นถือเป็นกฎหมายสูงสุดของแผ่นดิน

“การกระทำของคณะรัฐประหารที่กระทำการสำเร็จลุล่วง ย่อมมีผลเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทำให้ประกาศ คำสั่ง และการกระทำต่างๆ ของคณะรัฐประหารมีสถานะเป็นกฎหมายที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”

แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ตีความโดยองค์กรตุลาการของไทยในหลายครั้งที่มีการรัฐประหาร โดยมองว่าเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับเดิมถูกยกเลิกไปแล้ว ก็ไม่มีกฎหมายใดที่จะใช้ตัดสินว่าการกระทำของคณะรัฐประหารนั้น “ผิด” หรือ “ถูก” ได้อีกต่อไป อำนาจของคณะรัฐประหารจึงกลายเป็นที่มาของกฎหมายใหม่ทั้งปวง การตีความเช่นนี้ทำให้การกระทำของ คสช. ซึ่งรวมถึงการฉีกรัฐธรรมนูญและการออกประกาศหรือคำสั่งต่างๆ ได้รับการคุ้มครองและมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายทันที โดยไม่สามารถถูกโต้แย้งหรือตรวจสอบโดยองค์กรใดๆ ภายใต้กรอบกฎหมายเดิมได้อีก

กลไกทางกฎหมายที่สร้างความชอบธรรมให้ คสช.

ภายหลังการยึดอำนาจ คสช. ได้สร้างกลไกทางกฎหมายขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อรองรับและสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้อำนาจของตนเอง กลไกเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้การกระทำต่างๆ ของ คสช. มีผลผูกพันทางกฎหมายและอยู่เหนือการตรวจสอบ

รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

สิ่งแรกที่ คสช. ดำเนินการคือการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่ร่างขึ้นโดยคณะรัฐประหารเอง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้วางโครงสร้างการบริหารประเทศใหม่ทั้งหมด โดยให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่ คสช. และหัวหน้า คสช. นอกจากนี้ ยังได้กำหนดที่มาและอำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะรัฐมนตรี และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. การมีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนี้ทำให้การปกครองของ คสช. มีรูปแบบที่ดูเหมือนเป็นไปตามกรอบกฎหมาย แม้ว่ากฎหมายนั้นจะถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับอำนาจของตนเองก็ตาม

มาตรา 44: อำนาจพิเศษที่อยู่เหนือการตรวจสอบ

มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว คือบทบัญญัติที่มอบอำนาจพิเศษและเบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้แก่หัวหน้า คสช. (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มาตรานี้ให้อำนาจหัวหน้า คสช. สามารถออก “คำสั่ง” เพื่อระงับยับยั้งหรือกระทำการใดๆ ก็ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลในทางนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ โดยอ้างเหตุผลเพื่อความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ คำสั่งที่ออกมาตามมาตรา 44 นี้ถือว่า “ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด” ซึ่งหมายความว่าไม่มีองค์กรใด ไม่ว่าจะเป็นศาลหรือรัฐสภา สามารถตรวจสอบหรือเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้ มาตรา 44 จึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการบริหารประเทศของ คสช. และทำให้อำนาจของหัวหน้า คสช. อยู่เหนืออำนาจอธิปไตยทั้งสาม

มาตรา 47: การนิรโทษกรรมและการคุ้มครองทางกฎหมาย

นอกเหนือจากมาตรา 44 แล้ว มาตรา 47 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน โดยมาตรานี้ได้บัญญัติรับรองให้บรรดาประกาศ คำสั่ง และการกระทำทั้งหลายของ คสช. หรือของหัวหน้า คสช. ที่ได้ประกาศหรือสั่งการไปแล้วก่อนวันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้บังคับ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับทางนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ ให้ถือว่าชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุดทั้งหมด นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย บทบัญญัตินี้มีลักษณะเป็นการ “นิรโทษกรรม” ล่วงหน้าและย้อนหลังให้กับการกระทำทั้งหมดของคณะรัฐประหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทำให้บุคคลเหล่านี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา หรือวินัย จากการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารและการใช้อำนาจหลังจากนั้น

ตารางเปรียบเทียบสถานะทางกฎหมายและการเมือง ก่อนและหลังรัฐประหาร 2557
ลักษณะ ก่อนรัฐประหาร 2557 (ภายใต้ รธน. 50) หลังรัฐประหาร 2557 (ภายใต้ คสช.)
การตรวจสอบอำนาจรัฐ มีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ รวมถึงองค์กรอิสระ อำนาจเบ็ดเสร็จรวมศูนย์อยู่ที่ คสช. และหัวหน้า คสช. ผ่าน ม.44 ซึ่งอยู่เหนือการตรวจสอบ
สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในบางสถานการณ์ ถูกจำกัดอย่างเข้มงวดผ่านประกาศ/คำสั่ง คสช. และการใช้กฎอัยการศึก
ที่มาของฝ่ายบริหาร นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมาจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งโดย คสช. และความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มาจากการแต่งตั้ง
สถานะของคำสั่งฝ่ายบริหาร ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ สามารถถูกตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการได้ คำสั่งหัวหน้า คสช. ตาม ม.44 มีสถานะเป็นกฎหมายและเป็นที่สุด ไม่สามารถถูกตรวจสอบได้

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภูมิทัศน์การเมืองไทย

การรับรองความชอบด้วยกฎหมายของการรัฐประหารปี 2557 ได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งต่อโครงสร้างและวัฒนธรรมทางการเมืองของไทยในระยะยาว ซึ่งสามารถสรุปผลกระทบที่สำคัญได้ดังนี้

การสั่นคลอนของหลักนิติรัฐและระบอบประชาธิปไตย

ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือการทำลายหลักนิติรัฐ (Rule of Law) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย การที่อำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลสามารถอยู่เหนือกฎหมายและรัฐธรรมนูญได้ ทำให้หลักการที่ว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคถูกทำลายลง บรรทัดฐานที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารครั้งนี้ได้สร้างความกังวลว่า วงจรการยึดอำนาจนอกวิถีทางประชาธิปไตยอาจกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในทางกฎหมาย หากกระทำการได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นต่อสถาบันประชาธิปไตยและการปกครองโดยกฎหมายในระยะยาว

การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ตลอดระยะเวลาที่ คสช. อยู่ในอำนาจ มีการออกประกาศและคำสั่งจำนวนมากที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพของสื่อมวลชน ประชาชนและนักการเมืองจำนวนมากถูกเรียกให้ไป “ปรับทัศนคติ” ในค่ายทหาร และมีการดำเนินคดีกับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช. โดยใช้ศาลทหารในการพิจารณาคดีพลเรือนในบางกรณี แม้ว่า คสช. จะให้เหตุผลว่ามาตรการเหล่านี้จำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ก็ได้สร้างบรรยากาศของความกลัวและปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ

บทสรุป: คำตัดสินที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองไทย

โดยสรุปแล้ว การที่ รัฐประหาร 57 ไม่ผิด ในทางกฎหมายนั้น เป็นผลมาจากการยอมรับอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจสำเร็จ และการสร้างกลไกทางกฎหมายผ่านรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 โดยเฉพาะมาตรา 44 และ 47 ซึ่งมอบอำนาจเบ็ดเสร็จและนิรโทษกรรมการกระทำทั้งหมดให้แก่ คสช. และหัวหน้า คสช. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่รับรองการกระทำเหล่านี้ได้สร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลักนิติรัฐ การถ่วงดุลอำนาจ และระบอบประชาธิปไตยของไทย

ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จำกัดอยู่แค่การถดถอยของสิทธิเสรีภาพในยุค คสช. เท่านั้น แต่ยังส่งอิทธิพลต่อเนื่องมาถึงโครงสร้างทางการเมืองในปัจจุบันผ่านรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ร่างขึ้นในยุค คสช. การทำความเข้าใจที่มาและผลลัพธ์ของคำวินิจฉัยนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์ทิศทางการเมืองไทย และเป็นบทเรียนสำคัญในการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ กฎหมาย และประชาธิปไตยในสังคมไทยต่อไป


สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930