คุมโฆษณาเหล้า-เบียร์! กฎหมายใหม่กระทบใครบ้าง?
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการโฆษณาและการตลาดกำลังจะเกิดขึ้น หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอย่างเข้มข้น การบังคับใช้กฎหมายนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้ประกอบการทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ผลิตรายใหญ่ไปจนถึงธุรกิจร้านอาหารและผู้จัดกิจกรรมต่างๆ
สาระสำคัญของกฎหมายควบคุมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ห้ามโฆษณาที่ชักจูงให้ดื่ม: กฎหมายใหม่ห้ามการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีเจตนาชักจูงให้บริโภคทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ยังคงเปิดช่องให้สามารถให้ข้อมูลข่าวสารหรือความรู้ที่เป็นประโยชน์ได้ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด
- จำกัดการใช้บุคคลมีชื่อเสียง: ห้ามใช้ดารา นักร้อง หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในการโฆษณาเพื่อจูงใจให้ดื่ม แต่สามารถใช้เพื่อให้ความรู้ในวงจำกัด เช่น ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือชุมชนวิชาการ
- ควบคุมการใช้โลโก้ในกิจกรรมอื่น: ห้ามนำชื่อ โลโก้ หรือสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปใช้ในการโฆษณาสินค้า บริการ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการส่งเสริมการดื่ม
- จำกัดการสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะ: การให้การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) หรือกิจกรรมชุมชน จะไม่สามารถทำได้หากมีลักษณะเป็นการแฝงเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์หรือชักจูงให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- บทลงโทษที่รุนแรง: กำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนไว้ค่อนข้างสูง โดยมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างจริงจัง
ประเด็นการ คุมโฆษณาเหล้า-เบียร์! กฎหมายใหม่กระทบใครบ้าง? กลายเป็นคำถามสำคัญที่ผู้ประกอบการในหลากหลายอุตสาหกรรมต้องหาคำตอบ ร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่นี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อลดผลกระทบทางสังคมและสุขภาพที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ซึ่งข้อมูลวิจัยชี้ว่าการพบเห็นโฆษณาสามารถเพิ่มโอกาสการเริ่มดื่มและดื่มหนักได้สูงถึง 16-35% กฎหมายนี้จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ แต่เป็นการปรับภูมิทัศน์ของการสื่อสารการตลาดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์
การทำความเข้าใจในสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่อยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจ ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย เอเจนซี่โฆษณา สื่อทุกแขนง ไปจนถึงธุรกิจร้านอาหารและผู้จัดงานอีเวนต์ เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์และดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างถูกต้องและไม่ขัดต่อข้อกฎหมายที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้
เจาะลึกกฎหมายคุมโฆษณาเหล้า-เบียร์ฉบับใหม่
กฎหมายใหม่นี้ได้เพิ่มเติมและขยายความข้อบังคับเดิมให้มีความชัดเจนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยมีมาตราสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการวางแผนการตลาดและการสื่อสารของแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนี้
มาตรา 32/1: นิยามใหม่ของ “โฆษณา” และ “การให้ข้อมูล”
หัวใจสำคัญของมาตรานี้คือการขีดเส้นแบ่งระหว่าง การโฆษณาที่มุ่งชักจูง กับ การให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ โดยกฎหมายได้ระบุชัดเจนว่า ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้บริโภคต้องการดื่มสินค้าทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งครอบคลุมการสื่อสารที่ใช้ภาพลักษณ์ของความสนุกสนาน ความสำเร็จ หรือการเข้าสังคม มาเป็นเครื่องมือในการจูงใจ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถ “เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารหรือให้ความรู้” ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ซึ่งคาดว่าจะเป็นการให้ข้อมูลเชิงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น ส่วนประกอบ กระบวนการผลิต แหล่งที่มา หรือข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของแบรนด์ โดยปราศจากข้อความหรือภาพที่สื่อถึงการเชิญชวนให้บริโภค
การเปลี่ยนแปลงนี้บังคับให้แบรนด์ต้องเปลี่ยนมุมมองจากการสร้าง “ความต้องการ” มาเป็นการสร้าง “ความเข้าใจ” ในตัวผลิตภัณฑ์แทน ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในเชิงการตลาด
มาตรา 32/2: ข้อจำกัดการใช้บุคคลมีชื่อเสียงและอินฟลูเอนเซอร์
มาตรานี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การตลาดที่ใช้พรีเซนเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ โดยระบุว่าห้ามใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นสื่อในการโฆษณาเพื่อชวนเชื่อให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การตีความ “บุคคลมีชื่อเสียง” ในที่นี้อาจครอบคลุมทั้งดารา นักแสดง นักร้อง นักกีฬา ไปจนถึงผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดีย (Influencer) ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก
ข้อยกเว้นของมาตรานี้คือ การใช้บุคคลดังกล่าวเพื่อให้ความรู้ในกลุ่มเฉพาะทางเท่านั้น ตัวอย่างเช่น การให้ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ (Sommelier) ที่มีชื่อเสียงมาบรรยายให้ความรู้ในงานสัมมนาสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร หรือการให้ปรมาจารย์ด้านการหมัก (Brewmaster) มาสาธิตกระบวนการผลิตในงานแสดงสินค้าสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่การสื่อสารในวงกว้างเพื่อจูงใจผู้บริโภคทั่วไป
มาตรา 32/3: การควบคุมการใช้โลโก้และสัญลักษณ์ของแบรนด์
ข้อบังคับนี้เป็นการปิดช่องว่างที่แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักใช้ในการสร้างการรับรู้ผ่านสินค้าหรือกิจกรรมอื่น (Brand Extension) โดยห้ามไม่ให้ใช้ชื่อ โลโก้ หรือสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโฆษณาสินค้า บริการ หรือกิจกรรมอื่น ที่อาจทำให้ผู้บริโภคเชื่อมโยงไปถึงการส่งเสริมการดื่มได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การผลิตสินค้าประเภทอื่น เช่น เสื้อผ้า แก้วน้ำ โซดา หรือน้ำดื่มภายใต้แบรนด์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วทำการโฆษณาสินค้าเหล่านั้นอย่างแพร่หลาย ซึ่งภายใต้กฎหมายใหม่นี้อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ต้องห้าม เนื่องจากถือเป็นการสร้างการจดจำในตราสินค้าแอลกอฮอล์และอาจตีความได้ว่าเป็นการส่งเสริมการดื่มทางอ้อม
มาตรา 32/4 และ 32/5: การสนับสนุนกิจกรรม CSR และข้อห้ามในการประชาสัมพันธ์
สองมาตรานี้ทำงานเชื่อมโยงกันเพื่อควบคุมการทำการตลาดผ่านกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility – CSR) โดยมาตรา 32/4 ห้ามการสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะ หากการสนับสนุนนั้นแฝงไปด้วยเจตนาเพื่อส่งเสริมให้คนอยากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขณะที่มาตรา 32/5 ห้ามการเผยแพร่ข่าวสารหรือประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 32/4
นั่นหมายความว่า แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะไม่สามารถเป็นผู้สนับสนุนหลักของงานคอนเสิร์ต งานกีฬา หรือกิจกรรมช่วยเหลือสังคม โดยมีการแสดงโลโก้หรือชื่อแบรนด์อย่างโดดเด่นในพื้นที่จัดงานหรือในสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ได้อีกต่อไป เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์เพื่อนำไปสู่การบริโภคสินค้าได้ การสนับสนุนอาจยังทำได้ในลักษณะของการบริจาคโดยไม่เปิดเผยชื่อแบรนด์อย่างโจ่งแจ้ง
กฎหมายใหม่กระทบใครบ้าง และต้องปรับตัวอย่างไร?

ผลกระทบจาก พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้แผ่ขยายไปในหลายภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งแต่ละส่วนจำเป็นต้องวางแผนและปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับใหม่
| ประเด็นการควบคุม | แนวทางปฏิบัติเดิม (พื้นที่สีเทา) | ข้อบังคับตามกฎหมายใหม่ (ชัดเจนขึ้น) |
|---|---|---|
| เนื้อหาโฆษณา | สามารถใช้ภาพลักษณ์ความสนุกสนาน ความสำเร็จ หรือไลฟ์สไตล์ในการสื่อสารได้ ตราบใดที่ไม่แสดงการดื่มโดยตรง | ห้ามเด็ดขาด ซึ่งการสื่อสารที่มีลักษณะชักจูงให้เกิดความต้องการดื่ม ทั้งทางตรงและทางอ้อม |
| การใช้บุคคลมีชื่อเสียง | นิยมใช้ดาราและอินฟลูเอนเซอร์ในการโพสต์ภาพไลฟ์สไตล์คู่กับผลิตภัณฑ์ (แม้จะมีความเสี่ยงทางกฎหมาย) | ห้ามชัดเจน ในการใช้เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ อนุญาตเฉพาะการให้ความรู้ในวงจำกัดและกลุ่มเฉพาะทาง |
| การใช้โลโก้/แบรนด์ | มีการทำ Brand Extension ผ่านสินค้าอื่น (น้ำดื่ม, โซดา) และโฆษณาสินค้าเหล่านั้นอย่างแพร่หลาย | ห้าม หากการใช้ชื่อหรือโลโก้ในสินค้าอื่นอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการส่งเสริมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ |
| การสนับสนุนกิจกรรม | เป็นผู้สนับสนุนหลักในงานดนตรี กีฬา และกิจกรรม CSR พร้อมแสดงโลโก้แบรนด์อย่างเด่นชัด | ห้าม หากการสนับสนุนแฝงเจตนาเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และชักจูงให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ |
ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
กลุ่มนี้คือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงที่สุด จำเป็นต้องทบทวนกลยุทธ์การตลาดทั้งหมด 360 องศา งบประมาณที่เคยใช้ในการโฆษณาผ่านสื่อกระแสหลัก การใช้พรีเซนเตอร์ หรือการสนับสนุนอีเวนต์ขนาดใหญ่ จะต้องถูกจัดสรรใหม่ การสื่อสารการตลาดในอนาคตจะต้องมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้เกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เรื่องราวของแบรนด์ หรือนวัตกรรมในการผลิต แทนการสร้างภาพลักษณ์ผ่านไลฟ์สไตล์
สื่อโฆษณาและเอเจนซี่การตลาด
อุตสาหกรรมโฆษณาจะต้องปรับตัวขนานใหญ่จากการสูญเสียรายได้จากลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ใช้งบโฆษณารายใหญ่ เอเจนซี่ต้องพัฒนาแนวทางการสื่อสารที่สร้างสรรค์ภายใต้กรอบของกฎหมายใหม่ โดยต้องทำงานร่วมกับฝ่ายกฎหมายอย่างใกล้ชิดเพื่อตีความและสร้างสรรค์แคมเปญที่ไม่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย ความเชี่ยวชาญในการทำ Content Marketing และการให้ข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง
ธุรกิจร้านอาหาร, ผับ, บาร์ และผู้จัดงานอีเวนต์
ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ต้องระมัดระวังในการจัดทำสื่อส่งเสริมการขายภายในร้าน เช่น โปสเตอร์ โปรโมชัน “Happy Hour” หรือการสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของร้าน ซึ่งอาจเข้าข่ายการโฆษณาที่ชักจูงให้บริโภคได้เช่นกัน สำหรับผู้จัดงานอีเวนต์ การพึ่งพาสปอนเซอร์จากแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำได้ยากขึ้นมาก และจำเป็นต้องหาแหล่งรายได้จากผู้สนับสนุนในอุตสาหกรรมอื่นมาทดแทน
อินฟลูเอนเซอร์และบุคคลสาธารณะ
การรับงานรีวิวหรือโพสต์ภาพที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีความเสี่ยงสูงมากและอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายได้โดยง่าย อินฟลูเอนเซอร์จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุดและควรปฏิเสธงานที่อาจสร้างปัญหาทางกฎหมายตามมาในอนาคต การสร้างคอนเทนต์จะต้องปราศจากการแสดงหรือกล่าวถึงแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในลักษณะของการเชิญชวน
บทลงโทษหากฝ่าฝืน พ.ร.บ. ฉบับใหม่
เพื่อสร้างความมั่นใจว่ากฎหมายจะถูกบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนและรุนแรงสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาและการส่งเสริมการตลาด
บทลงโทษสูงสุดที่กำหนดไว้คือ โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อัตราโทษที่สูงนี้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของภาครัฐที่ต้องการควบคุมการสื่อสารการตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง และเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องให้ความสำคัญและปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด การละเลยหรือพยายามหาช่องว่างทางกฎหมายอาจนำมาซึ่งความเสียหายทั้งในแง่ของค่าปรับและชื่อเสียงขององค์กร
บทสรุปและทิศทางการตลาดในอนาคต
การมาถึงของกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่บังคับให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องปรับกระบวนทัศน์ในการสื่อสารการตลาด จากเดิมที่เน้นการสร้างภาพลักษณ์และแรงจูงใจทางอารมณ์ จะต้องเปลี่ยนไปสู่การให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการและนักการตลาด นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ในการสร้างสรรค์กลยุทธ์ใหม่ๆ ที่สามารถสร้างการรับรู้และรักษาความสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้ภายใต้ข้อจำกัดที่เข้มงวด การลงทุนในการสร้างแบรนด์ผ่านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การให้ความรู้ และการสร้างประสบการณ์ที่ดี ณ จุดขาย จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในยุคต่อไป การเตรียมความพร้อม ศึกษาข้อกฎหมายโดยละเอียด และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย คือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถนำพาธุรกิจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน

