Soft Power คืออะไร? ทำไมรัฐดัน ‘วันมวยไทย’ หยุดชาติ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “Soft Power” หรือ “ซอฟต์พาวเวอร์” ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลประกาศนโยบายที่มุ่งผลักดันให้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การนำมาปรับใช้อย่างจริงจังถือเป็นก้าวที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์
ภาพรวมของ Soft Power และนโยบายภาครัฐ
- นิยามของ Soft Power: Soft Power คือความสามารถในการสร้างอิทธิพลและแรงดึงดูดต่อผู้อื่น โดยอาศัยวัฒนธรรม ค่านิยม และนโยบายต่างประเทศที่น่าชื่นชม แทนการใช้กำลังบังคับหรืออำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ
- การผลักดัน ‘วันมวยไทย’: ข้อเสนอให้ ‘วันมวยไทย’ เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมมวยไทย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งของชาติให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้น
- เป้าหมายทางเศรษฐกิจ: นโยบายนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงมิติทางวัฒนธรรม แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การท่องเที่ยวเชิงกีฬา สื่อบันเทิง และสินค้าทางวัฒนธรรม
- ยุทธศาสตร์ชาติ: การขับเคลื่อน Soft Power เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “One Family, One Soft Power” ที่มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วน GDP จากอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ
การทำความเข้าใจว่า Soft Power คืออะไร? ทำไมรัฐดัน ‘วันมวยไทย’ หยุดชาติ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมองเห็นทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต นโยบายดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐในการเปลี่ยนสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ให้กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกที่ทุกประเทศต่างพยายามใช้ “อำนาจละมุน” ของตนเพื่อสร้างความได้เปรียบ ซึ่งประเทศไทยมีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ศิลปะ เทศกาลประเพณี หรือศิลปะการป้องกันตัวอย่างมวยไทย
บทความนี้จะสำรวจแนวคิดของ Soft Power อย่างละเอียด ตั้งแต่คำจำกัดความและความสำคัญ ไปจนถึงการวิเคราะห์นโยบายของรัฐบาลไทยในการผลักดัน ‘วันมวยไทย’ ว่ามีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของประเทศในระยะยาวอย่างไรบ้าง
เจาะลึกแนวคิด Soft Power: อำนาจละมุนคืออะไร?
ก่อนจะวิเคราะห์นโยบายของรัฐบาล การทำความเข้าใจแก่นแท้ของคำว่า “Soft Power” เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าเหตุใดแนวคิดนี้จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการสร้างแบรนด์ของชาติในยุคปัจจุบัน
ต้นกำเนิดและนิยามโดย Joseph Nye
แนวคิด Soft Power ได้รับการนิยามและเผยแพร่อย่างเป็นทางการโดย ศาสตราจารย์ โจเซฟ ไน (Joseph Nye) นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาได้อธิบายว่า Soft Power คือ “ความสามารถในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการผ่านการสร้างแรงดึงดูดใจ แทนที่จะเป็นการบีบบังคับหรือจ่ายเงิน” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การทำให้ผู้อื่น “ต้องการ” ในสิ่งที่ประเทศนั้นๆ ต้องการ โดยอาศัยทรัพยากรที่จับต้องไม่ได้ 3 ประการหลัก ได้แก่
- วัฒนธรรม (Culture): องค์ประกอบทางวัฒนธรรมที่น่าดึงดูดใจสำหรับชาติอื่น เช่น ศิลปะ ดนตรี ภาพยนตร์ อาหาร แฟชั่น และกีฬา ซึ่งสามารถสร้างความชื่นชมและความสนใจได้ในระดับสากล
- ค่านิยมทางการเมือง (Political Values): ค่านิยมที่ประเทศยึดถือและปฏิบัติทั้งในและนอกประเทศ เช่น ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และเสรีภาพ หากประเทศสามารถรักษาค่านิยมเหล่านี้ได้อย่างน่าเชื่อถือ ก็จะสร้างความนับถือและเป็นแบบอย่างให้แก่ชาติอื่น
- นโยบายต่างประเทศ (Foreign Policies): นโยบายที่ถูกมองว่ามีความชอบธรรมและมีศีลธรรมในสายตาของประชาคมโลก การดำเนินนโยบายที่สร้างสรรค์และมุ่งแก้ปัญหาร่วมกัน เช่น การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรือการรักษาสิ่งแวดล้อม จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ
หัวใจสำคัญของ Soft Power ไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการสร้างและรักษาไว้
ความแตกต่างระหว่าง Soft Power และ Hard Power
เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบ Soft Power กับ “Hard Power” หรือ “อำนาจกระด้าง” จะช่วยให้เห็นภาพความแตกต่างของวิธีการใช้อำนาจของรัฐได้อย่างชัดเจน
| คุณลักษณะ | Hard Power (อำนาจกระด้าง) | Soft Power (อำนาจละมุน) |
|---|---|---|
| พื้นฐาน | การบีบบังคับ (Coercion) | การโน้มน้าวและดึงดูด (Persuasion & Attraction) |
| เครื่องมือหลัก | กำลังทหาร, การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ | วัฒนธรรม, ค่านิยม, นโยบายต่างประเทศ |
| เป้าหมาย | การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผ่านการบังคับ | การสร้างอิทธิพลผ่านการชักจูงใจ |
| ผลลัพธ์ | การยอมทำตาม (Compliance) | ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ (Co-optation) |
ทำไมรัฐบาลไทยจึงผลักดัน ‘วันมวยไทย’ เป็นวันหยุดชาติ

การเสนอให้ “วันมวยไทย” ซึ่งตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ถือเป็นหนึ่งในนโยบายรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดในการขับเคลื่อน Soft Power ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน การตัดสินใจนีไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีรากฐานมาจากความเข้าใจในศักยภาพของมวยไทยในฐานะสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ทรงพลัง
‘มวยไทย’: มากกว่าศิลปะการป้องกันตัว
มวยไทยไม่ได้เป็นเพียงกีฬาหรือศิลปะการต่อสู้ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ และจิตวิญญาณของความเป็นไทยได้อย่างลึกซึ้ง ความนิยมของมวยไทยได้ขยายวงกว้างไปทั่วโลก มีค่ายมวยไทยเกิดขึ้นในหลายประเทศ และมีชาวต่างชาติจำนวนมากเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเรียนรู้ศาสตร์แขนงนี้โดยเฉพาะ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามวยไทยมี “แรงดึงดูด” ในตัวเองอยู่แล้ว
การยกระดับความสำคัญของ ‘วันมวยไทย’ ให้เป็นวันหยุดราชการ คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนทั้งในและต่างประเทศว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับมรดกทางวัฒนธรรมชิ้นนี้ และพร้อมที่จะส่งเสริมอย่างเต็มที่ให้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของชาติในเวทีโลก
เป้าหมายทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
การกำหนดให้วันมวยไทยเป็นวันหยุด มีเป้าหมายที่เชื่อมโยงกันในหลายมิติ ดังนี้
- การส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศ: เป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของไทยในฐานะต้นตำรับของมวยไทย สร้างความภาคภูมิใจในชาติ และดึงดูดความสนใจจากสื่อและนักท่องเที่ยวทั่วโลก
- การกระตุ้นเศรษฐกิจ: การมีวันหยุดจะเปิดโอกาสให้เกิดการจัดกิจกรรม เทศกาล และการแข่งขันมวยไทยทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ค่ายมวย โรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬา
- การต่อยอดในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์: มวยไทยสามารถเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างสรรค์เนื้อหาในอุตสาหกรรมบันเทิง เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน และเกม ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการเผยแพร่ Soft Power ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น
ยุทธศาสตร์ชาติ: One Family, One Soft Power
นโยบายการผลักดันวันมวยไทยไม่ได้เป็นโครงการเดี่ยวๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่ใหญ่กว่าภายใต้ชื่อ “One Family, One Soft Power” (OFOS) ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพของคนไทยและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ
5 แกนหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
รัฐบาลได้กำหนด 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (5F) ที่มีศักยภาพสูงในการสร้าง Soft Power และมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่
- Food (อาหาร): การโปรโมตอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักและนิยมในระดับโลก
- Film (ภาพยนตร์และวีดิทัศน์): การสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดสากล
- Fashion (แฟชั่น): การผลักดันผ้าไทยและการออกแบบของดีไซเนอร์ไทยสู่เวทีโลก
- Fighting (ศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย): การส่งเสริมมวยไทยและศิลปะการต่อสู้อื่นๆ
- Festival (เทศกาลประเพณี): การยกระดับเทศกาลและประเพณีไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
การผลักดัน ‘วันมวยไทย’ จึงสอดคล้องโดยตรงกับแกน “Fighting” และยังสามารถผนวกรวมกับแกนอื่นๆ เช่น Film และ Festival เพื่อสร้างผลกระทบที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
งบประมาณและเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำด้าน Soft Power
เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้อย่างจริงจัง รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และอนุมัติงบประมาณกว่า 5.1 พันล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการต่างๆ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ:
- เพิ่มสัดส่วน GDP: ตั้งเป้าเพิ่มการมีส่วนร่วมของอุตสาหกรรม Soft Power ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จาก 8.9% เป็น 15%
- สร้างรายได้ 4 ล้านล้านบาท: คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้ถึง 4 ล้านล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมอง Soft Power เป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศในระยะยาว
กรณีศึกษา ความท้าทาย และโอกาส
แม้ว่าศักยภาพของ Soft Power ไทยจะมีอยู่มหาศาล แต่การจะแปลงศักยภาพนั้นให้กลายเป็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ
ตัวอย่างความสำเร็จจากพลังของ Soft Power
ประเทศไทยมีตัวอย่างความสำเร็จของการใช้ Soft Power ที่เกิดขึ้นทั้งโดยธรรมชาติและจากการส่งเสริมอยู่แล้ว เช่น:
- ลลิษา มโนบาล (LISA BLACKPINK): ศิลปินระดับโลกที่สอดแทรกความเป็นไทยผ่านผลงานเพลงและเครื่องแต่งกาย สร้างกระแสความสนใจในวัฒนธรรมไทยไปทั่วโลก
- อาหารไทย: ต้มยำกุ้ง ผัดไทย และมัสมั่น ได้รับการยอมรับและเป็นที่ชื่นชอบในระดับสากล กลายเป็นประตูบานแรกที่ทำให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทย
- ปรากฏการณ์ “หมูเด้ง”: ลูกฮิปโปโปเตมัสแคระที่เป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย สามารถดึงดูดความสนใจจากต่างประเทศได้อย่างมหาศาล แสดงให้เห็นว่า Soft Power สามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งที่ไม่คาดคิด
อุปสรรคที่ต้องก้าวข้าม
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนนโยบายนี้ยังมีความท้าทายที่สำคัญอยู่หลายประการ:
- ความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน: หน่วยงานภาครัฐบางแห่งอาจยังมีความเข้าใจในแนวคิด Soft Power ที่คลาดเคลื่อน โดยมักจะเน้นไปที่การจัดอีเวนต์หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ มากกว่าการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน
- การอนุรักษ์ที่เข้มงวดเกินไป: บางครั้งความพยายามในการอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเข้มงวด อาจกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถนำวัฒนธรรมไปต่อยอดหรือประยุกต์ใช้ในสื่อร่วมสมัยได้อย่างอิสระ ซึ่งเป็นการลดทอนโอกาสในการใช้ Soft Power
- การขาดความต่อเนื่อง: Soft Power ต้องอาศัยการดำเนินงานที่ต่อเนื่องและยาวนาน การเปลี่ยนแปลงนโยบายตามรัฐบาลที่เข้ามาบริหาร อาจทำให้การขับเคลื่อนขาดความต่อเนื่องและไม่เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
บทสรุป: อนาคตของ Soft Power ไทย
Soft Power คือเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ว่าด้วยการสร้างแรงดึงดูดใจผ่านวัฒนธรรมและค่านิยม เพื่อให้ได้มาซึ่งอิทธิพลและความร่วมมือโดยปราศจากการบังคับ การที่รัฐบาลไทยผลักดันให้ ‘วันมวยไทย’ เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ จึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มวันหยุด แต่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ เพื่อประกาศให้โลกรับรู้ถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมไทย และเป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ
ความสำเร็จของนโยบายนี้และยุทธศาสตร์ Soft Power โดยรวม จะขึ้นอยู่กับความสามารถของภาครัฐในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง การทำงานร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างให้ความคิดสร้างสรรค์สามารถเติบโตได้อย่างอิสระ หากทำได้สำเร็จ มวยไทยและสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมอื่นๆ ของไทยก็จะเป็นมากกว่ามรดกของชาติ แต่จะกลายเป็น “อำนาจละมุน” ที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาลทั้งในมิติของเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ในเวทีโลก

