19 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมือง
เมื่อวันที่ 19 กันยายน เวียนมาบรรจบอีกครั้งในปี 2568 นี้นับเป็นวาระครบรอบ 19 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย การยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร โดยคณะทหารที่เรียกตนเองว่า “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (คปค.) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนานต่อโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน การทบทวนเหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงไม่ใช่เพียงการรำลึกถึงอดีต แต่เป็นการทำความเข้าใจรากฐานของภูมิทัศน์การเมืองไทยในปัจจุบัน
บทสรุปเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นับเป็นการรัฐประหารโดยใช้กำลังครั้งแรกในรอบ 15 ปีของประเทศไทย และเป็นการรัฐประหารครั้งที่ 11 นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 การยึดอำนาจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านที่รวมตัวกันในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
- การยึดอำนาจโดยกองทัพ: กองทัพไทยภายใต้การนำของ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ได้ทำการยึดอำนาจการปกครอง ขณะที่นายกรัฐมนตรีกำลังปฏิบัติภารกิจที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
- การยกเลิกรัฐธรรมนูญ: คณะรัฐประหารได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแทน
- การจัดตั้งรัฐบาลใหม่: มีการแต่งตั้ง พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อบริหารประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน พร้อมกับการจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่มาจากการแต่งตั้ง
- จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระยะยาว: เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและกลุ่มผู้ต่อต้านระบอบทักษิณ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของไทยมาอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์การเมืองไทยก่อนการยึดอำนาจ

เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่นำไปสู่การรัฐประหาร 19 กันยา 49 จำเป็นต้องมองย้อนกลับไปถึงสภาพการณ์ทางการเมืองในช่วงเวลานั้น รัฐบาลของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมาจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ได้ดำเนินนโยบายประชานิยมที่สร้างความนิยมในหมู่ประชาชนรากหญ้า แต่ในขณะเดียวกันก็เผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในประเด็นการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ และการแทรกแซงองค์กรอิสระ
ความขัดแย้งที่นำไปสู่ทางตัน
ความขัดแย้งเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. 2548 และต้นปี พ.ศ. 2549 โดยมีชนวนสำคัญมาจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มเทมาเส็กโฮลดิงส์ของสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษี ซึ่งจุดกระแสความไม่พอใจในหมู่ชนชั้นกลางในเมืองและกลุ่มนักวิชาการ นำไปสู่การตั้งคำถามถึงความชอบธรรมทางจริยธรรมของผู้นำประเทศ สถานการณ์ทางการเมืองดำเนินไปสู่ทางตัน เมื่อฝ่ายค้านในสภาไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ในเดือนเมษายน 2549 ก็ถูกพรรคฝ่ายค้านคว่ำบาตร ทำให้การเมืองอยู่ในสภาวะสุญญากาศ
บทบาทของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” ได้กลายเป็นแกนนำสำคัญในการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทักษิณ การชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อและขยายวงกว้างไปทั่วกรุงเทพมหานคร ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อรัฐบาล และทำให้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ การเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาลเริ่มมีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งฝ่ายทหารได้อ้างว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ต้องเข้ามายุติความขัดแย้งเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549
เหตุการณ์รัฐประหารเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิดสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ การยึดอำนาจในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยปราศจากการต่อต้านด้วยกำลังอาวุธ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนมาเป็นอย่างดีของฝ่ายทหาร
การเคลื่อนกำลังและการควบคุมสถานการณ์
ในช่วงค่ำของวันที่ 19 กันยายน กองกำลังทหารพร้อมอาวุธและรถถังได้เคลื่อนพลเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยเข้าควบคุมสถานที่สำคัญทางราชการ เช่น ทำเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์ และกองบัญชาการกองทัพไทย การสื่อสารของรัฐบาลถูกตัดขาด ขณะที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำลังเตรียมขึ้นกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้พยายามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินผ่านทางโทรศัพท์ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากสัญญาณการถ่ายทอดสดถูกตัดไปเสียก่อน
การประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองฯ
ในช่วงดึก สถานีโทรทัศน์ทุกช่องได้ตัดเข้าสู่การถ่ายทอดสดจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เผยแพร่แถลงการณ์ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ โดยให้เหตุผลถึงความแตกแยกในสังคม การทุจริต และการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คณะรัฐประหารได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ, วุฒิสภา, สภาผู้แทนราษฎร, คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโครงสร้างการเมืองไทยครั้งใหญ่ โดยมีการใช้กำลังทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองและสังคมไทยในระยะยาวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุคสมัยใหม่
| ประเด็น | ก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 | หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 |
|---|---|---|
| ผู้นำรัฐบาล | พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (รักษาการนายกรัฐมนตรี) | พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรีจากการแต่งตั้ง) |
| รัฐธรรมนูญ | รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 | ยกเลิกฉบับปี 2540 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 |
| สถานะการเลือกตั้ง | กำหนดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนตุลาคม 2549 | ยกเลิกการเลือกตั้ง และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนธันวาคม 2550 |
| สถานการณ์การเมือง | วิกฤตการณ์ทางการเมืองจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ | อยู่ภายใต้การควบคุมของ คมช. และประกาศใช้กฎอัยการศึก |
ผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ได้จบลงในคืนเดียว แต่ได้ทิ้งผลกระทบที่สั่นสะเทือนภูมิทัศน์การเมืองไทยในระยะยาว ทั้งในเชิงโครงสร้างอำนาจและในระดับสังคม
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครอง รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดถูกฉีกทิ้ง และมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 2550 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเพิ่มอำนาจให้กับองค์กรอิสระและฝ่ายตุลาการมากขึ้น ขณะที่ลดทอนอำนาจของฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้ง นอกจากนี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ต้องลี้ภัยทางการเมืองในต่างประเทศ และถูกดำเนินคดีหลายข้อหา ซึ่งกลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญต่อเนื่องมาอีกหลายปี
การแบ่งขั้วทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น
การรัฐประหารได้ตอกย้ำและขยายรอยร้าวของความขัดแย้งในสังคมไทยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สังคมไทยถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน คือ กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณ ซึ่งต่อมาได้รวมตัวกันในนาม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่มผู้ต่อต้านทักษิณ ที่มีฐานมาจากกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง การเผชิญหน้าของคนสองกลุ่มนี้ได้นำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอีกหลายครั้งในทศวรรษต่อมา และกลายเป็นลักษณะเด่นของประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย
มรดกของรัฐประหาร 19 กันยา 49 ต่อสังคมไทย
เมื่อมองย้อนกลับไปในวาระครบรอบ 19 ปี มรดกสำคัญที่รัฐประหารครั้งนี้ทิ้งไว้คือการทำให้ “รัฐประหาร” กลับมาเป็นเครื่องมือที่ถูกยอมรับในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการทำลายพัฒนาการทางประชาธิปไตยที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์นี้ได้สร้างบรรทัดฐานที่น่ากังวลว่า เมื่อการเมืองถึงทางตัน กองทัพสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ ซึ่งความคิดดังกล่าวได้ส่งผลโดยตรงต่อการเกิดรัฐประหารอีกครั้งในปี พ.ศ. 2557
นอกจากนี้ วัฒนธรรมทางการเมืองของไทยยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ความไว้วางใจระหว่างสถาบันทางการเมืองต่างๆ ลดน้อยลง ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและระบบรัฐสภา วาทกรรมที่สร้างความเกลียดชังและการแบ่งฝักฝ่ายกลายเป็นเรื่องปกติในพื้นที่สาธารณะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมรดกที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนของการรัฐประหารเมื่อ 19 ปีก่อน
บทเรียนจากประวัติศาสตร์และก้าวต่อไปของการเมืองไทย
การย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในวาระครบรอบ 19 ปี เป็นโอกาสสำคัญสำหรับสังคมไทยในการทบทวนบทเรียนจากอดีต เหตุการณ์ครั้งนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยไทย และผลลัพธ์ของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญ ซึ่งท้ายที่สุดไม่ได้นำไปสู่ความปรองดองที่ยั่งยืน แต่กลับสร้างความแตกแยกที่ร้าวลึกยิ่งกว่าเดิม
การเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต คือกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตทางการเมืองที่ดีกว่า การสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง การเคารพในหลักนิติธรรม และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาของชาติอย่างสันติวิธี คือความท้าทายที่สังคมไทยยังคงต้องเผชิญต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อนำพาประเทศก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางของประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง

