เข้าฤดูหนาว! ชวนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 4 สายพันธุ์
- สรุปประเด็นสำคัญของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปี 2568
- ความสำคัญของการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูหนาว
- เจาะลึกวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ประจำปี 2568
- ใครบ้างที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี?
- ข้อมูลสำหรับบุคคลทั่วไปและกลุ่มเฉพาะทาง
- ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฉีดวัคซีน
- เตรียมความพร้อมรับมือฤดูหนาวด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี อากาศที่เย็นลงเป็นสัญญาณของการมาเยือนของฤดูหนาว ซึ่งมักมาพร้อมกับการระบาดของโรคทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้จัดโครงการ เข้าฤดูหนาว! ชวนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 4 สายพันธุ์ ให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศ เพื่อลดอัตราการป่วยหนักและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
สรุปประเด็นสำคัญของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปี 2568
- วัคซีนรุ่นใหม่ล่าสุด: ในปี 2568 มีการให้บริการวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ ซึ่งเพิ่มความครอบคลุมในการป้องกันเชื้อไวรัสได้ดียิ่งขึ้นกว่าวัคซีนรุ่นเดิม
- บริการฟรีสำหรับกลุ่มเสี่ยง: รัฐบาลโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคม ได้จัดสรรวัคซีนฟรีสำหรับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง และผู้ประกันตนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
- ลดความรุนแรงของโรค: การฉีดวัคซีนช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการหากติดเชื้อ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ และสมองอักเสบ
- ช่วงเวลาการฉีดที่แนะนำ: ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว หรือช่วงก่อนฤดูฝน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่ก่อนถึงช่วงระบาดสูงสุด
ความสำคัญของการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูหนาว
โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ซึ่งมีการระบาดเป็นฤดูกาล โดยเฉพาะในประเทศไทยมักพบการระบาดสูงในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว แม้ว่าอาการโดยทั่วไปจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่ไข้หวัดใหญ่มีความรุนแรงมากกว่าและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ การทำความเข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้โรคนี้ระบาดในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงและความสำคัญของวัคซีนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ทำไมไข้หวัดใหญ่จึงระบาดหนักในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง
มีหลายปัจจัยที่ส่งเสริมให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายได้ดีในช่วงฤดูหนาวและฤดูฝน ประการแรกคือ อากาศที่เย็นและแห้งช่วยให้ละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัสลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น ทำให้มีโอกาสแพร่กระจายจากผู้ป่วยไปยังผู้อื่นได้ง่ายขึ้น ประการที่สองคือ พฤติกรรมของคนในช่วงฤดูหนาวที่มักใช้เวลาอยู่ในอาคารที่ปิดมิดชิดและมีผู้คนแออัดมากขึ้น ส่งผลให้การติดต่อสัมผัสใกล้ชิดเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ อากาศเย็นยังมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยอาจทำให้เยื่อบุโพรงจมูกแห้งและง่ายต่อการติดเชื้อไวรัสมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกๆ ปี
วัคซีน: เครื่องมือสำคัญในการลดความรุนแรงของโรค
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ถือเป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรับมือกับการระบาด เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์หรือกลายพันธุ์อยู่เสมอในแต่ละปี องค์กรอนามัยโลก (WHO) จึงต้องทำการคาดการณ์สายพันธุ์ที่จะระบาดในแต่ละซีกโลกและแนะนำองค์ประกอบของวัคซีนให้เหมาะสมกับปีนั้นๆ การฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
วัคซีนจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่บรรจุอยู่ในวัคซีน เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ในภายหลัง ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะเข้าต่อสู้กับเชื้อไวรัส ทำให้ไม่ป่วย หรือหากป่วยก็จะมีอาการไม่รุนแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น ปอดอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือสมองอักเสบ ซึ่งภาวะเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของการนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยง
เจาะลึกวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ประจำปี 2568
สำหรับฤดูกาลระบาดปี 2568 กระทรวงสาธารณสุขได้รณรงค์ให้ใช้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent Influenza Vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้การป้องกันที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับวัคซีนชนิด 3 สายพันธุ์ที่เคยใช้ในอดีต การทำความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนประกอบและกลไกของวัคซีนจะช่วยให้เห็นภาพถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
รู้จัก 4 สายพันธุ์ไวรัสที่วัคซีนครอบคลุม
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ประจำปี 2568 ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2 สายพันธุ์ A และ 2 สายพันธุ์ B ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่คาดว่าจะมีการระบาดตามคำแนะนำขององค์กรอนามัยโลก ประกอบด้วย:
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/Victoria/4897/2022 (H1N1)pdm09-like: เป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม H1N1 ซึ่งเคยเป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลกในปี 2009 และยังคงเป็นสายพันธุ์ที่หมุนเวียนระบาดอยู่เป็นประจำ
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/Croatia/10136RV/2023 (H3N2)-like: เป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม H3N2 ที่มักก่อให้เกิดอาการรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B/Austria/1359417/2021 (B/Victoria lineage)-like: เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B ในกลุ่ม Victoria ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรงได้เช่นกัน
- ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B/Phuket/3073/2013 (B/Yamagata lineage)-like: เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B ในกลุ่ม Yamagata ซึ่งการเพิ่มสายพันธุ์นี้เข้ามาในวัคซีนทำให้การป้องกันครอบคลุมเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B ได้อย่างสมบูรณ์
การมีส่วนประกอบของไวรัสถึง 4 สายพันธุ์นี้ ทำให้วัคซีนสามารถป้องกันการเจ็บป่วยจากเชื้อที่หลากหลายมากขึ้น ลดโอกาสที่ผู้รับวัคซีนจะติดเชื้อจากสายพันธุ์ที่วัคซีน 3 สายพันธุ์เดิมอาจไม่ครอบคลุม
กลไกการทำงานและความปลอดภัยของวัคซีนชนิดเชื้อตาย
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ให้บริการโดยทั่วไปในประเทศไทยเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) ซึ่งหมายความว่าวัคซีนผลิตมาจากเชื้อไวรัสที่ถูกทำให้ตายแล้ว จึงไม่สามารถก่อให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ การฉีดวัคซีนจะใช้วิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular injection) เมื่อวัคซีนเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะจดจำส่วนประกอบของไวรัสและสร้างแอนติบอดีขึ้นมาเพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้กับการติดเชื้อจริงในอนาคต
ด้วยกลไกนี้ วัคซีนชนิดเชื้อตายจึงมีความปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้กับประชากรหลากหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่มที่มีความเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง อาการข้างเคียงที่อาจพบได้ส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง เช่น อาการปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด หรืออาจมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน และเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าระบบภูมิคุ้มกันกำลังตอบสนองต่อวัคซีน
ประสิทธิภาพในการป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อน
ประสิทธิผลของวัคซีนไข้หวัดใหญ่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับความใกล้เคียงของสายพันธุ์ในวัคซีนกับสายพันธุ์ที่ระบาดจริง อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยแล้ววัคซีนสามารถลดความเสี่ยงในการป่วยได้ประมาณ 40-60% แต่ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดคือ การลดความรุนแรงของโรค ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วหากยังติดเชื้อ จะมีอาการน้อยกว่า ลดโอกาสการนอนโรงพยาบาล และลดความเสี่ยงการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ไข้สูงจัดที่อาจนำไปสู่การชักในเด็ก, ปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโดยตรงหรือการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน, และสมองอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและอาจทำให้เกิดความพิการถาวรได้
ใครบ้างที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี?
เพื่อเป็นการส่งเสริมการป้องกันโรคเชิงรุกและลดภาระทางสาธารณสุข รัฐบาลผ่านหน่วยงานต่างๆ ได้จัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีให้กับประชาชนกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรครุนแรง ซึ่งรวมถึงผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมและประชาชนใน 7 กลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์ของ สปสช.
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39
สำนักงานประกันสังคมได้มอบสิทธิประโยชน์ในการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ฟรีให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 (ลูกจ้างในสถานประกอบการ) และมาตรา 39 (ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ) ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นกลุ่มวัยที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงเมื่อติดเชื้อไข้หวัดใหญ่
ผู้ประกันตนที่เข้าเกณฑ์สามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลตามสิทธิการรักษาของตนเอง หรือสถานพยาบาลอื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการกับสำนักงานประกันสังคม โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลได้จากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของสำนักงานประกันสังคม ระยะเวลาการให้บริการสำหรับสิทธินี้จะดำเนินไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2568 จึงควรวางแผนเข้ารับบริการล่วงหน้าเพื่อไม่ให้พลาดสิทธิ์ดังกล่าว
กลุ่มประชากร 7 กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีนเป็นพิเศษ
นอกเหนือจากผู้ประกันตน สปสช. ยังได้กำหนดให้ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีได้ที่สถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ทั่วประเทศ เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้มากกว่าคนทั่วไป
กลุ่มเสี่ยง | รายละเอียดและเหตุผลความจำเป็น |
---|---|
1. สตรีมีครรภ์ | แนะนำให้ฉีดเมื่ออายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เนื่องจากขณะตั้งครรภ์ ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยรุนแรง และภูมิคุ้มกันยังสามารถส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์ได้ |
2. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี | เป็นกลุ่มที่ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม และการชักจากไข้สูง |
3. ผู้มีโรคเรื้อรัง | ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, หอบหืด, โรคหัวใจ, หลอดเลือดสมอง, ไตวาย, ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างรับเคมีบำบัด, และเบาหวาน การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะทำให้อาการของโรคประจำตัวกำเริบและรุนแรงขึ้น |
4. ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป | ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยตามวัย (Immunosenescence) ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูง |
5. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ | มักมีปัญหาในการไอหรือขับเสมหะ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบได้ง่ายเมื่อติดเชื้อทางเดินหายใจ |
6. โรคธาลัสซีเมียและผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง | รวมถึงผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มนี้อาจมีความรุนแรงและยาวนานกว่าคนปกติ |
7. ผู้ที่เป็นโรคอ้วน | ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร เนื่องจากภาวะอ้วนส่งผลต่อการทำงานของปอดและระบบภูมิคุ้มกัน |
ข้อมูลสำหรับบุคคลทั่วไปและกลุ่มเฉพาะทาง
สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว แต่มีความประสงค์จะฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้าง ก็สามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลของรัฐและเอกชนทั่วไป โดยมีค่าใช้จ่าย ซึ่งนับเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่คุ้มค่า
ค่าใช้จ่ายและสถานพยาบาลที่ให้บริการ
อัตราค่าบริการสำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ในสถานพยาบาลเอกชนสำหรับบุคคลทั่วไป โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 800 บาทต่อเข็ม ซึ่งราคานี้มักจะรวมค่าแพทย์และค่าบริการของโรงพยาบาลไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสถานพยาบาล จึงควรสอบถามข้อมูลโดยตรงก่อนเข้ารับบริการ สำหรับผู้ที่ใช้สิทธิ์ประกันสังคมแต่ไม่เข้าเกณฑ์รับวัคซีนฟรี (เช่น อายุไม่ถึง 50 ปี) บางโรงพยาบาลอาจมีราคาพิเศษให้ โดยอาจอยู่ที่ประมาณ 450 บาทต่อเข็ม
วัคซีนชนิด High-Dose: ทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุ
สำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนมาตรฐานได้ไม่ดีเท่าคนหนุ่มสาว ปัจจุบันมีวัคซีนทางเลือกคือ “วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High-Dose” ซึ่งมีปริมาณแอนติเจน (ส่วนประกอบของเชื้อที่ใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกัน) สูงกว่าวัคซีนมาตรฐานถึง 4 เท่า ผลการศึกษาพบว่าวัคซีนชนิดนี้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยในผู้สูงอายุได้สูงกว่าวัคซีนแบบมาตรฐาน แม้วัคซีนชนิดนี้อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าและไม่ได้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์แบบให้เปล่า แต่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการการป้องกันในระดับสูงสุด
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฉีดวัคซีน
การเลือกช่วงเวลาฉีดวัคซีนที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุด โดยทั่วไปแล้ว ร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์หลังการฉีดวัคซีนในการสร้างระดับภูมิคุ้มกันที่เพียงพอต่อการป้องกันโรค ดังนั้น การวางแผนฉีดวัคซีนล่วงหน้าก่อนถึงช่วงที่มีการระบาดสูงจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ในบริบทของประเทศไทยซึ่งมีฤดูการระบาดหลัก 2 ช่วง คือ ฤดูฝน (มิถุนายน-ตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคม-มีนาคม) ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง โดยช่วงเวลาที่แนะนำที่สุดคือ ก่อนเริ่มต้นฤดูฝน (ประมาณเดือนพฤษภาคม) เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันครอบคลุมไปตลอดทั้งปีจนถึงช่วงระบาดในฤดูหนาวถัดไป
การฉีดวัคซีนในช่วงเวลานี้จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูงทันต่อการระบาดรอบแรก และยังคงมีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันการระบาดในรอบฤดูหนาว การฉีดวัยซีนทุกปีจึงเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีที่สุดในการรับมือกับเชื้อไวรัสที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละฤดูกาล
เตรียมความพร้อมรับมือฤดูหนาวด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน
การมาถึงของฤดูหนาวปี 2568 เป็นโอกาสอันดีในการเสริมสร้างเกราะป้องกันสุขภาพจากโรคไข้หวัดใหญ่ การรณรงค์ เข้าฤดูหนาว! ชวนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี 4 สายพันธุ์ เป็นนโยบายสาธารณสุขที่สำคัญซึ่งมอบโอกาสให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และผู้มีโรคเรื้อรัง ได้เข้าถึงการป้องกันที่มีประสิทธิภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย วัคซีน 4 สายพันธุ์รุ่นใหม่นี้ให้การป้องกันที่ครอบคลุมและมีความปลอดภัยสูง ช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
สำหรับประชาชนทั่วไป การลงทุนฉีดวัคซีนก็เป็นการดูแลสุขภาพที่คุ้มค่า ช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลกับการเจ็บป่วยตามฤดูกาล จึงขอแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงตรวจสอบสิทธิและเข้ารับบริการ ณ สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของตนเองและคนที่คุณรักตลอดช่วงฤดูหนาวนี้และตลอดทั้งปี