Shopping cart

19 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมือง

สารบัญ

เหตุการณ์ 19 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมือง นับเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการเมืองไทยร่วมสมัย การยึดอำนาจโดยกองทัพในครั้งนั้นไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นสุดลงของรัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการเมืองและสังคมที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน การรัฐประหารครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี และเป็นครั้งที่ 11 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งได้ทิ้งมรดกแห่งความขัดแย้งและการแบ่งขั้วที่ยังคงเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับสังคมไทย

สรุปประเด็นสำคัญ

  • รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คือการยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร โดยกองทัพที่นำโดย พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
  • เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง การชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน
  • ผลที่ตามมาคือการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540, การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว, การจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 2550
  • รัฐประหารครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้านทักษิณ ซึ่งนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเมืองในระยะยาว
  • เหตุการณ์ดังกล่าวยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะที่เป็นการถอยหลังของระบอบประชาธิปไตย และเป็นการเปิดทางให้กองทัพเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น

จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง

ก่อนจะถึงคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ภูมิทัศน์การเมืองไทยเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงและชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มพลังทางการเมืองและภาคประชาสังคมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่จัดการชุมนุมประท้วงอย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตีมีหลากหลาย ตั้งแต่ข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การทุจริตเชิงนโยบาย ไปจนถึงการแทรกแซงองค์กรอิสระ และการใช้อำนาจโดยมิชอบ ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเวทีการเมือง แต่ได้แผ่ขยายไปสู่ระดับสังคม ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สภาวะการณ์เช่นนี้ได้สร้างสุญญากาศทางการเมืองและนำไปสู่ทางตันที่ไม่สามารถหาทางออกผ่านกระบวนการปกติได้ จนในที่สุด กองทัพได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ยุติความขัดแย้ง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปตลอดกาล

ลำดับเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดฝันสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ แต่สำหรับผู้ที่ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด จะพบสัญญาณของความไม่ปกติปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ การดำเนินการที่รวดเร็วและเด็ดขาดของกองทัพในคืนวันนั้น สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนมาเป็นอย่างดี

ปฏิบัติการยึดอำนาจในคืนวันที่ 19 กันยา

ในช่วงค่ำของวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะที่นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร อยู่ระหว่างการเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กองกำลังทหารพร้อมอาวุธและรถถังได้เคลื่อนพลเข้าควบคุมสถานที่สำคัญต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร เช่น ทำเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์ และจุดยุทธศาสตร์อื่นๆ การปฏิบัติการเป็นไปอย่างสงบและปราศจากการต่อต้านด้วยอาวุธ ทำให้เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกเรียกว่าเป็นการรัฐประหารแบบ “ไร้การนองเลือด”

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ได้ประกาศตนเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) พร้อมทั้งออกประกาศและคำสั่งต่างๆ เพื่อควบคุมสถานการณ์ โดยให้เหตุผลในการยึดอำนาจว่าเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ของชาติ ความแตกแยกในสังคม และการทุจริตคอร์รัปชันที่รุนแรง การประกาศยึดอำนาจผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยได้สร้างความตกตะลึงให้กับสาธารณชน แต่ในขณะเดียวกันก็มีประชาชนบางส่วนออกมาแสดงความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจหลังรัฐประหาร

ภายหลังการยึดอำนาจเสร็จสิ้น คณะรัฐประหาร ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองที่สำคัญหลายประการ สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือการประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นประชาธิปไตยสูงและถูกเรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” จากนั้นได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ขึ้นมาแทนที่

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติได้ทำการแต่งตั้ง พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีในขณะนั้น ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อบริหารประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน พร้อมทั้งจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับใหม่ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ได้ดำเนินไปท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ก่อนที่จะมีการลงประชามติและประกาศใช้ในที่สุด ซึ่งนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 อันเป็นก้าวแรกของการกลับคืนสู่ครรลองของระบอบประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง

สาเหตุและปัจจัยที่นำไปสู่การยึดอำนาจ

สาเหตุและปัจจัยที่นำไปสู่การยึดอำนาจ

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นผลลัพธ์ของความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมที่สั่งสมและบ่มเพาะมาเป็นเวลานาน ความไม่พอใจต่อการบริหารประเทศของรัฐบาลทักษิณได้กลายเป็นชนวนสำคัญที่จุดประกายให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านในวงกว้าง

วิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคม

มูลเหตุสำคัญที่นำไปสู่การรัฐประหารเริ่มต้นจากความไม่พอใจของประชาชนกลุ่มหนึ่งต่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) มีบทบาทอย่างยิ่งในการปลุกกระแสต่อต้าน โดยมีการกล่าวหาว่ารัฐบาลมีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง มีการใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง และมีความพยายามในการทำลายระบบการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ การชุมนุมที่ยืดเยื้อและขยายวงกว้างได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อรัฐบาล

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้แบ่งสังคมไทยออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งมองว่ารัฐบาลทักษิณประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระดับรากหญ้า ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่าการบริหารงานของรัฐบาลเต็มไปด้วยปัญหาด้านธรรมาภิบาลและจริยธรรม

สภาวะความแตกแยกที่รุนแรงนี้ทำให้สังคมอยู่ในสภาวะที่เปราะบางและไร้เสถียรภาพ กลไกทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการแก้ไขความขัดแย้ง คณะรัฐประหารได้อ้างถึงสภาวะการณ์ดังกล่าวว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องเข้ามายึดอำนาจ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลายไปสู่ความรุนแรงและเพื่อนำพาประเทศกลับสู่ความสงบเรียบร้อย

ผลกระทบระยะยาวต่อภูมิทัศน์การเมืองไทย

เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ได้จบลงเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ได้ทิ้งมรดกและผลกระทบที่ฝังรากลึกไว้ในโครงสร้างการเมืองและสังคมไทยอย่างยาวนาน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้กำหนดทิศทางและสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้กับการเมืองไทยในทศวรรษต่อมา

การแบ่งขั้วทางการเมืองที่ฝังรากลึก

ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดและยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันคือการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างสุดขั้วในสังคมไทย รัฐประหารได้ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ” และ “ฝ่ายต่อต้านทักษิณ” มีความคมชัดและแข็งตัวมากขึ้น หลังจากการรัฐประหาร กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็น “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) หรือที่รู้จักกันในนาม “กลุ่มคนเสื้อแดง” เพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านอำนาจของคณะรัฐประหาร ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯ หรือ “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” ยังคงเคลื่อนไหวในฐานะกลุ่มพลังที่คอยตรวจสอบและต่อต้านอิทธิพลของระบอบทักษิณต่อไป

ความขัดแย้งของทั้งสองขั้วได้นำไปสู่การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่หลายครั้งในช่วงหลายปีต่อมา และในบางครั้งก็นำไปสู่ความรุนแรงและการสูญเสีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวที่ลึกซึ้งในสังคมไทยที่ยากจะประสาน

ตารางเปรียบเทียบกลุ่มการเมืองหลักที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ประเด็นเปรียบเทียบ ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ (นปช.) ฝ่ายต่อต้านทักษิณ (พธม.) คณะรัฐประหาร (คมช.)
เป้าหมายหลัก เรียกร้องประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการทหาร และการกลับคืนสู่อำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขจัดอิทธิพลของระบอบทักษิณ ปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง และต่อต้านการทุจริต รักษาความสงบเรียบร้อย แก้ไขวิกฤตความขัดแย้ง และปฏิรูปโครงสร้างการเมือง
กลุ่มแกนนำ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน และคณะนายทหารระดับสูง
ผลลัพธ์ของการเคลื่อนไหว กลายเป็นขบวนการทางการเมืองมวลชนที่สำคัญ และมีบทบาทในการเมืองไทยในทศวรรษต่อมา บรรลุเป้าหมายระยะสั้นในการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สามารถยึดอำนาจ จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว และผลักดันให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้สำเร็จ

มรดกทางรัฐธรรมนูญและการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน

การฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 และการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ขึ้นมาใหม่ ถือเป็นมรดกชิ้นสำคัญของการรัฐประหารครั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ได้เปลี่ยนแปลงกลไกและสถาบันทางการเมืองหลายอย่าง โดยมีเจตนาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “เผด็จการรัฐสภา” และเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับองค์กรอิสระในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเนื้อหาบางส่วนที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและเปิดช่องให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองได้ในอนาคต

บทบาทของกองทัพในการเมืองไทยยุคใหม่

รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้ตอกย้ำถึงบทบาทของกองทัพในฐานะผู้เล่นคนสำคัญทางการเมืองไทย เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างบรรทัดฐานว่าเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่หาทางออกไม่ได้ กองทัพสามารถเข้าแทรกแซงเพื่อ “รักษาความสงบเรียบร้อย” ได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายที่สนับสนุนประชาธิปไตยว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะยาว และเป็นการเปิดทางให้เกิดการรัฐประหารครั้งต่อๆ ไปในอนาคต ดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในเวลาต่อมา

บทสรุป: มองไปข้างหน้าจากบทเรียนในอดีต

เมื่อย้อนกลับไปมองเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในวาระครบรอบ 19 ปี จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คือจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนานต่อสังคมไทย การยึดอำนาจโดยกองทัพภายใต้การนำของ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน จากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจ แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองทั้งหมด มันได้ทิ้งมรดกแห่งความขัดแย้ง การแบ่งขั้วทางความคิด และคำถามสำคัญเกี่ยวกับทิศทางของระบอบประชาธิปไตยไทย

ผลกระทบที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การยกเลิกรัฐธรรมนูญ การตั้งรัฐบาลใหม่ ไปจนถึงการแบ่งแยกประชาชนออกเป็นฝักฝ่าย ยังคงเป็นบาดแผลและบทเรียนที่สังคมไทยต้องเรียนรู้และหาทางก้าวข้าม การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ บริบท และผลลัพธ์ของเหตุการณ์ในอดีต จึงไม่ใช่เป็นเพียงการรำลึกถึงประวัติศาสตร์ แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์อนาคตทางการเมืองที่มั่นคงและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงสำหรับประเทศต่อไป

สั่งเสื้อ

พฤศจิกายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930