Shopping cart

ระวัง! ไข้เลือดออกระบาดหนักปลายฝน รีบเช็ค 4 อาการนี้

สารบัญ

ในช่วงปลายฤดูฝนของทุกปี สถานการณ์การระบาดของโรคร้ายชนิดหนึ่งมักทวีความรุนแรงขึ้น สร้างความกังวลให้กับหน่วยงานสาธารณสุขและประชาชนทั่วไป นั่นคือโรคไข้เลือดออก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้อง ระวัง! ไข้เลือดออกระบาดหนักปลายฝน รีบเช็ค 4 อาการนี้ เพื่อให้สามารถรับมือและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที การตระหนักรู้ถึงสัญญาณเตือนของโรคไม่เพียงแต่ช่วยลดความรุนแรง แต่ยังอาจช่วยรักษาชีวิตได้

บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก ตั้งแต่สาเหตุการเกิดโรค วงจรการแพร่ระบาด ไปจนถึงการเจาะลึก 4 อาการสำคัญที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษ รวมถึงแนวทางการป้องกันตนเองและคนในครอบครัวให้ปลอดภัยจากภัยเงียบที่มากับยุงลาย

ความสำคัญของการเฝ้าระวังไข้เลือดออกในช่วงปลายฤดูฝน

ช่วงปลายฤดูฝนถือเป็นช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวังการระบาดของไข้เลือดออกมากที่สุด ตามคำเตือนของกรมควบคุมโรค เนื่องจากเป็นช่วงที่มีฝนตกชุกและต่อเนื่อง ทำให้เกิดแหล่งน้ำขังขนาดเล็กจำนวนมากตามภาชนะต่างๆ รอบบ้านและในชุมชน ซึ่งกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของ ยุงลาย (Aedes aegypti) พาหะนำโรคไข้เลือดออก เมื่อปริมาณยุงลายเพิ่มสูงขึ้น โอกาสในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสเดงกีจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สถานการณ์ ไข้เลือดออก 2568 มีแนวโน้มที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กในวัยเรียนอายุ 5-14 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบอัตราการป่วยสูงสุด นอกจากนี้ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์ ก็เป็นกลุ่มที่หากติดเชื้อแล้วอาจมีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคและการสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคน

ไข้เลือดออก: ภัยเงียบที่มากับยุงลาย

ไข้เลือดออก: ภัยเงียบที่มากับยุงลาย

โรคไข้เลือดออก (Dengue Hemorrhagic Fever) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งเป็นภัยคุกคามทางสาธารณสุขที่สำคัญในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ความรุนแรงของโรคมีตั้งแต่ระดับที่ไม่แสดงอาการ ไปจนถึงระดับที่รุนแรงจนอาจทำให้เสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา

เชื้อไวรัสเดงกี: สาเหตุหลักของโรค

เชื้อไวรัสเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (Serotypes) ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 การติดเชื้อสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดชีวิต แต่จะให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราวเท่านั้น (ประมาณ 6-12 เดือน) สิ่งที่น่ากังวลคือ การติดเชื้อครั้งที่สองด้วยสายพันธุ์ที่แตกต่างจากครั้งแรก อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้

วงจรการแพร่ระบาดและพาหะนำโรค

วงจรการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกเริ่มต้นเมื่อยุงลายตัวเมียไปกัดผู้ป่วยที่กำลังมีเชื้อไวรัสเดงกีในกระแสเลือด เชื้อไวรัสจะเข้าไปฟักตัวและเพิ่มจำนวนในตัวยุงประมาณ 8-12 วัน หลังจากนั้น เมื่อยุงตัวนี้ไปกัดคนอื่น ก็จะปล่อยเชื้อไวรัสผ่านทางน้ำลายเข้าสู่ร่างกายของคนนั้น ทำให้เกิดการติดเชื้อต่อไป ยุงลายมักออกหากินในเวลากลางวัน และมีพฤติกรรมชอบอาศัยอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ ทำให้โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในชุมชนเมืองและพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง โรคหน้าฝน ที่มีปัจจัยแวดล้อมเอื้อต่อการขยายพันธุ์ของยุง

ระวัง! ไข้เลือดออกระบาดหนักปลายฝน รีบเช็ค 4 อาการนี้

การทราบถึง อาการไข้เลือดออก ที่สำคัญเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับโรคนี้ โดยเฉพาะ 4 อาการหลักที่ควรสังเกตและไม่ควรมองข้าม หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยทันที

อาการที่ 1: ไข้สูงลอยเฉียบพลัน

ลักษณะเด่นที่สุดของไข้เลือดออกในระยะแรกคือการมีไข้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลัน อุณหภูมิร่างกายอาจสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส ซึ่งเรียกว่า “ไข้สูงลอย” หมายถึงไข้จะสูงคงที่ตลอดทั้งวัน แม้จะรับประทานยาลดไข้ก็อาจลดลงเพียงชั่วคราวแล้วกลับมาสูงอีกครั้ง ระยะนี้มักกินเวลาประมาณ 2-7 วัน ร่วมกับอาการอื่น ๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง: โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและขมับ
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและกระดูก: ทำให้เกิดอาการปวดไปทั้งตัว
  • ปวดรอบกระบอกตา: เป็นลักษณะจำเพาะอย่างหนึ่งของโรคนี้
  • หน้าแดง (Flushing): ใบหน้าและลำคออาจมีสีแดงก่ำกว่าปกติ
  • เบื่ออาหารและคลื่นไส้: เป็นอาการร่วมที่พบได้บ่อย

อาการที่ 2: ปวดท้องรุนแรงและอาการทางระบบทางเดินอาหาร

อาการปวดท้องเป็นสัญญาณที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษในผู้ป่วยไข้เลือดออก โดยเฉพาะอาการปวดบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา ซึ่งอาจเกิดจากการที่ตับโตและมีการอักเสบ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง หรือถ่ายเหลวร่วมด้วย หากมีอาการปวดท้องกดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าโรคอาจกำลังเข้าสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น

อาการที่ 3: ภาวะเลือดออกผิดปกติ

เชื้อไวรัสเดงกีส่งผลกระทบต่อเกล็ดเลือดและหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติได้ง่าย สัญญาณที่สังเกตได้คือ:

  • จุดเลือดออกตามผิวหนัง: มีลักษณะเป็นจุดสีแดงเล็กๆ คล้ายเข็มหมุด มักพบตามลำตัว แขน ขา
  • เลือดกำเดาไหล
  • เลือดออกตามไรฟัน: อาจสังเกตเห็นได้ง่ายขณะแปรงฟัน
  • อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด: เป็นสัญญาณของภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งถือเป็นอาการที่รุนแรง

อาการที่ 4: สัญญาณเตือนสู่ระยะวิกฤต

ระยะที่อันตรายที่สุดของโรคไข้เลือดออกคือ ระยะวิกฤต (Critical Phase) ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 3-5 ของการมีไข้ และเป็นช่วงที่ไข้เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยและผู้ดูแลหลายคนอาจเข้าใจผิดว่าอาการกำลังจะดีขึ้น แต่แท้จริงแล้วนี่คือช่วงเวลาที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดที่สุด เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาหรือน้ำเลือดออกจากหลอดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะช็อกได้

“ช่วงที่ไข้ลดลงอย่างรวดเร็วคือช่วงที่อันตรายที่สุด หากผู้ป่วยมีอาการซึมลง อ่อนเพลียมาก ปวดท้องรุนแรงต่อเนื่อง อาเจียนบ่อยครั้ง ปัสสาวะออกน้อยลง หรือมีอาการตัวเย็น มือเท้าเย็น ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วนที่สุด เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะช็อก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต”

การสังเกตและตอบสนองต่อ 4 อาการหลักเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว คือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและการเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก

การเปรียบเทียบอาการไข้เลือดออกกับโรคไข้หวัดใหญ่

ในระยะแรก อาการของไข้เลือดออกอาจคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดใหญ่ ทำให้เกิดความสับสนในการวินิจฉัยเบื้องต้นได้ การทราบถึงความแตกต่างที่สำคัญจะช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

ตารางเปรียบเทียบอาการเบื้องต้นระหว่างโรคไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่
อาการ ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่
ลักษณะของไข้ ไข้สูงลอยเฉียบพลัน (39-40°C) ติดต่อกันหลายวัน ไข้สูง แต่อาจมีช่วงที่ไข้ลดลงได้
อาการทางเดินหายใจ ไม่เด่นชัด อาจมีไอหรือเจ็บคอเล็กน้อย เด่นชัด เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก
อาการปวด ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดรอบกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ
อาการเลือดออก อาจพบจุดเลือดออก เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน พบได้น้อยมาก
อาการทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง โดยเฉพาะใต้ชายโครงขวา อาจมีคลื่นไส้หรือท้องเสียได้ แต่ไม่รุนแรงเท่า

กลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

แม้ว่าทุกคนจะสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ แต่มีบางกลุ่มประชากรที่ต้องได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อน ได้แก่:

  • ทารกและเด็กเล็ก: ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ และอาจไม่สามารถสื่อสารอาการได้ชัดเจน
  • เด็กวัยเรียน (5-14 ปี): เป็นกลุ่มที่พบอัตราการป่วยสูงที่สุด
  • ผู้สูงอายุ: มักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย ทำให้การรักษามีความซับซ้อนมากขึ้น
  • สตรีมีครรภ์: การติดเชื้ออาจส่งผลกระทบต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง: เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือผู้ที่มีภาวะอ้วน

แนวทางการป้องกันและควบคุมการระบาดของไข้เลือดออก

การ ป้องกันไข้เลือดออก ที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการควบคุมพาหะนำโรค นั่นคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับครัวเรือนและชุมชน

มาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค”

กรมควบคุมโรคได้รณรงค์มาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” (โรคไข้เลือดออก, โรคติดเชื้อไวรัสซิกา, และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย) ซึ่งเป็นหลักการที่ง่ายและสามารถปฏิบัติได้จริง:

  1. เก็บบ้าน: จัดบ้านให้ปลอดโปร่ง โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง
  2. เก็บขยะ: กำจัดเศษภาชนะต่างๆ เช่น ขวด กระป๋อง ยางรถยนต์เก่า ที่อาจมีน้ำขังได้
  3. เก็บน้ำ: ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด เช่น โอ่ง ตุ่ม ถังน้ำ เพื่อป้องกันยุงลายลงไปวางไข่ หากเป็นภาชนะที่ไม่สามารถปิดฝาได้ เช่น จานรองขาตู้กับข้าว ควรเปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน หรือใส่ทรายอะเบทเพื่อกำจัดลูกน้ำ

การป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด

นอกจากการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์แล้ว การป้องกันตนเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาด:

  • สวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด แขนยาว ขายาว เพื่อลดพื้นที่ผิวหนังที่อาจถูกยุงกัด
  • ใช้สารไล่ยุง (Mosquito Repellent) ที่มีส่วนผสมของ DEET, Icaridin หรือ IR3535 ตามคำแนะนำบนฉลาก
  • นอนในมุ้ง หรือพักอาศัยในบ้านที่มีมุ้งลวด
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มียุงชุกชุมในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งเป็นเวลาที่ยุงลายออกหากิน

สรุปและข้อควรปฏิบัติเมื่อต้องเผชิญกับไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูฝน การตระหนักถึงภัยของโรคและเฝ้าระวัง 4 อาการสำคัญ ได้แก่ ไข้สูงลอยเฉียบพลัน, ปวดท้องรุนแรง, มีภาวะเลือดออกผิดปกติ, และสัญญาณเตือนในระยะวิกฤต เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

หากมีอาการไข้สูงเกิน 2 วัน หรือมีอาการน่าสงสัยข้อใดข้อหนึ่งตามที่กล่าวมา ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องทันที ห้ามซื้อยาลดไข้กลุ่มแอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) มารับประทานเองเด็ดขาด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออกและทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการร่วมมือกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความปลอดภัยให้กับตนเอง ครอบครัว และชุมชนจากโรคไข้เลือดออกได้อย่างยั่งยืน

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031