19 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมือง
- ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์รัฐประหาร 2549
- จุดเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย
- ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549
- ผลกระทบที่ตามมา: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองและสังคม
- เปรียบเทียบภูมิทัศน์การเมืองไทยก่อนและหลังรัฐประหาร 49
- มรดกของรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
- บทสรุป: 19 ปีแห่งความทรงจำและบทเรียนเพื่ออนาคต
ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย การครบรอบ 19 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมือง ถือเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองและสังคมของประเทศอย่างลึกซึ้ง การยึดอำนาจโดยคณะทหารในนาม “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (คปค.) จากรัฐบาลรักษาการของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ไม่เพียงแต่เป็นการรัฐประหารครั้งแรกในรอบ 15 ปี แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์รัฐประหาร 2549
เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการเมืองไทย โดยมีประเด็นหลักที่ควรทำความเข้าใจดังนี้:
- การยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน: คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ภายใต้การนำของ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ได้ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
- การยกเลิกรัฐธรรมนูญ: รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ได้ถูกประกาศยกเลิก และนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเวลาต่อมา
- จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระยะยาว: เหตุการณ์นี้ได้ก่อให้เกิดการแบ่งฝักฝ่ายในสังคมไทยอย่างชัดเจนและรุนแรง ระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและกลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ซึ่งพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งของกลุ่มการเมืองสีเสื้อที่ยืดเยื้อ
- การกลับมาของวงจรรัฐประหาร: รัฐประหารครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดช่วงเวลา 15 ปีที่ไม่มีการยึดอำนาจโดยกองทัพ และถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมามีบทบาททางการเมืองของทหารอีกครั้ง
จุดเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตยที่ส่งผลกระทบในวงกว้างและยาวนาน การยึดอำนาจเกิดขึ้นในขณะที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น อยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ทำให้การต่อต้านจากฝ่ายรัฐบาลเป็นไปได้อย่างจำกัด
ความสำคัญของเหตุการณ์นี้อยู่ที่การเป็นรัฐประหารครั้งที่ 11 นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 และเป็นการทิ้งช่วงห่างจากการรัฐประหารครั้งก่อนหน้า (พ.ศ. 2534) ถึง 15 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมไทยมีความคาดหวังต่อการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง การกลับมาของรัฐประหารจึงสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและบั่นทอนหลักการปกครองโดยพลเรือนอย่างมีนัยสำคัญ
ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549

ปฏิบัติการยึดอำนาจในคืนดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมสถานการณ์และประกาศการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้สาธารณชนรับทราบโดยเร็วที่สุด
การเคลื่อนกำลังของกองทัพและการควบคุมสถานการณ์
ในช่วงค่ำของวันที่ 19 กันยายน 2549 กองกำลังทหารพร้อมอาวุธและรถถังได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายหลักคือสถานที่ราชการสำคัญ เช่น ทำเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์ และหน่วยงานด้านการสื่อสาร เพื่อควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร การปรากฏตัวของกำลังทหารสร้างความตื่นตระหนกและเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้น การปฏิบัติการเป็นไปอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดภายใต้การนำของ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น
ประกาศิตจากคณะปฏิรูปการปกครองฯ
หลังจากควบคุมสถานการณ์ไว้ได้โดยสมบูรณ์ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ออกประกาศฉบับต่างๆ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
- การยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540: ถือเป็นการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเป็นประชาธิปไตยสูง
- การยุบสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา: อำนาจนิติบัญญัติถูกระงับลงโดยสิ้นเชิง
- การยกเลิกการเลือกตั้ง: การเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดจะมีขึ้นในเดือนตุลาคม 2549 ถูกประกาศยกเลิก
- การประกาศใช้กฎอัยการศึก: มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อย
- การจำกัดสิทธิและเสรีภาพ: มีคำสั่งห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน และควบคุมการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน
- การควบคุมตัวบุคคลสำคัญ: สมาชิกคณะรัฐมนตรีบางคนและบุคคลใกล้ชิดรัฐบาลถูกควบคุมตัว
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถือเป็นการยึดอำนาจรัฐครั้งแรกในรอบ 15 ปี ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองในไทยอย่างลึกซึ้งและยาวนาน
ผลกระทบที่ตามมา: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองและสังคม
ภายหลังการยึดอำนาจ ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงการเมือง แต่ยังขยายวงกว้างไปสู่โครงสร้างทางสังคมและสร้างรอยแยกที่ยังคงปรากฏให้เห็นจนถึงทุกวันนี้
การจัดตั้งรัฐบาลและรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เพื่อบริหารประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่าน คณะรัฐประหารได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 และได้แต่งตั้ง พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ควบคู่ไปกับการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการแต่งตั้ง เพื่อดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับใหม่ ซึ่งต่อมาคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กระบวนการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นเรื่องการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
รอยร้าวลึกในสังคม: กำเนิดกลุ่มการเมืองสีเสื้อ
ผลกระทบที่สำคัญและยั่งยืนที่สุดของรัฐประหาร 19 กันยา 49 คือการแบ่งขั้วทางการเมืองในสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เหตุการณ์นี้ได้ผลักดันให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มมวลชนขนาดใหญ่ที่มีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ได้แก่:
- กลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ: หรือที่รู้จักในนาม “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” (พธม.) หรือ “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวก่อนหน้ารัฐประหารและให้การสนับสนุนการยึดอำนาจในระยะแรก
- กลุ่มสนับสนุนระบอบทักษิณและต่อต้านรัฐประหาร: หรือที่รู้จักในนาม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) หรือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ซึ่งก่อตัวขึ้นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านอำนาจของคณะรัฐประหาร
นอกเหนือจากสองกลุ่มหลัก ยังมีกลุ่มพลังทางสังคมอื่นๆ ที่มีจุดยืนเป็นกลาง หรือกลุ่มที่ต่อต้านรัฐประหารแต่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลทักษิณเช่นกัน การแบ่งฝักฝ่ายนี้ได้นำไปสู่การชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่หลายครั้งในทศวรรษต่อมา สร้างความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และกลายเป็นมรดกความขัดแย้งที่ส่งผลต่อการเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่อง
เปรียบเทียบภูมิทัศน์การเมืองไทยก่อนและหลังรัฐประหาร 49
เพื่อให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน สามารถเปรียบเทียบสภาพการณ์ทางการเมืองไทยในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้ดังนี้
| ประเด็นเปรียบเทียบ | ก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 | หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 |
|---|---|---|
| รัฐธรรมนูญ | ใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน | ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2540 และร่างฉบับใหม่ (ชั่วคราว 2549 และถาวร 2550) โดยคณะบุคคลที่มาจากการแต่งตั้ง |
| ระบบการเมือง | อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีการเลือกตั้งตามวาระ | ปกครองโดยคณะทหารและรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งในระยะแรก ระงับกิจกรรมทางการเมือง |
| ความขัดแย้งในสังคม | มีความขัดแย้งทางการเมือง แต่ยังไม่เกิดการแบ่งขั้วที่ชัดเจนในระดับมวลชน | เกิดการแบ่งฝักฝ่ายอย่างรุนแรงและชัดเจน (กลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง) ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งยืดเยื้อ |
| บทบาทของกองทัพ | อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลพลเรือนตามหลักการประชาธิปไตย | เข้ามามีบทบาทนำทางการเมืองโดยตรงในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด |
มรดกของรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
เมื่อมองย้อนกลับไป เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้ทิ้งมรดกและบทเรียนมากมายไว้ให้กับการเมืองไทย ซึ่งยังคงส่งอิทธิพลต่อทิศทางของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
รัฐประหารครั้งที่ 11 และความท้าทายต่อระบอบประชาธิปไตย
การรัฐประหารครั้งนี้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยไทย การที่กองทัพสามารถเข้ายึดอำนาจได้สำเร็จหลังจากว่างเว้นไปนานถึง 15 ปี ได้กลายเป็นบรรทัดฐานที่ลดทอนต้นทุนของการทำรัฐประหารในอนาคต และสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยอมรับการแทรกแซงจากกองทัพในฐานะทางออกของวิกฤตการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน
ผลกระทบระยะยาวต่อวัฒนธรรมทางการเมือง
มรดกที่สำคัญที่สุดคือความแตกแยกในสังคมที่ยังคงฝังรากลึก การเมืองสีเสื้อที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหารได้เปลี่ยนพลวัตความขัดแย้งจากการต่อสู้ทางความคิดและนโยบายไปสู่การเผชิญหน้าบนท้องถนนและความไม่ไว้วางใจระหว่างกลุ่มคนในชาติ วาทกรรมทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและการทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม กลายเป็นเรื่องปกติในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการหาฉันทามติและการประนีประนอมทางการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้
บทสรุป: 19 ปีแห่งความทรงจำและบทเรียนเพื่ออนาคต
เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นมากกว่าเหตุการณ์ทางการเมืองในอดีต แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและยาวนานต่อสังคมไทย การยึดอำนาจครั้งนั้นไม่เพียงแต่หยุดยั้งกระบวนการประชาธิปไตย แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่แบ่งแยกผู้คนและสร้างความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่ต่อเนื่องมาอีกนับทศวรรษ
การย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองในวาระครบรอบ 19 ปีของเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 จึงไม่ใช่เป็นเพียงการรำลึกถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แต่เป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนบทเรียนที่เจ็บปวด เพื่อทำความเข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบัน และเพื่อแสวงหาหนทางในการสร้างสรรค์อนาคตทางการเมืองของไทยให้ก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

