วันหัวใจโลก: 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจที่คนไทยมองข้าม
โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยที่มีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายดังกล่าว จึงมีการกำหนดให้วันที่ 29 กันยายนของทุกปีเป็นวันหัวใจโลก บทความนี้จะเจาะลึกถึงหัวข้อ วันหัวใจโลก: 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจที่คนไทยมองข้าม ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันและอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพหัวใจในระยะยาวโดยไม่รู้ตัว
- โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยสถิติผู้เสียชีวิตในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ เช่น การเลือกรับประทานอาหาร การจัดการความเครียด หรือการนั่งทำงานนานๆ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงโดยตรงที่คนส่วนใหญ่มักละเลย
- วันหัวใจโลก (World Heart Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 29 กันยายนของทุกปี มีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพหัวใจ
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่สำคัญ 5 ประการ สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึงร้อยละ 80
- การตรวจสุขภาพประจำปีและการคัดกรองความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันและจัดการกับโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในยุคที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย วิถีชีวิตของผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพของหัวใจซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมง โรคหัวใจและหลอดเลือดไม่ได้เป็นเพียงเรื่องไกลตัวของผู้สูงอายุอีกต่อไป แต่กลับพบได้มากขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานและวัยหนุ่มสาว ปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างไม่ได้มาจากพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจถูกมองข้ามจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันโรคและส่งเสริมให้หัวใจแข็งแรงไปตราบนานเท่านาน
ความสำคัญของวันหัวใจโลกและสถานการณ์ในประเทศไทย
วันหัวใจโลก (World Heart Day) ก่อตั้งขึ้นโดยสมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) เพื่อรณรงค์ให้ผู้คนทั่วโลกได้ตระหนักถึงอันตรายของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก กิจกรรมในวันดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง วิธีการป้องกัน และส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อการมีสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น สำหรับประเทศไทย สถานการณ์ของโรคหัวใจนับว่าน่าเป็นห่วง ข้อมูลจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขชี้ให้เห็นว่าจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และภาวะหัวใจล้มเหลวมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากวิถีชีวิตแบบคนเมือง การบริโภคอาหารที่ไม่สมดุล และความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น การรณรงค์ในวันหัวใจโลกจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะกระตุ้นเตือนให้คนไทยหันมาสำรวจพฤติกรรมของตนเองและคนรอบข้าง เพื่อลดความเสี่ยงก่อนที่โรคจะลุกลามจนยากต่อการรักษา
เจาะลึก 5 พฤติกรรมเสี่ยงโรคหัวใจที่คนไทยอาจไม่รู้ตัว
พฤติกรรมหลายอย่างกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันจนเราอาจไม่ทันได้ฉุกคิดว่าสิ่งเหล่านี้กำลังทำร้ายหัวใจอย่างช้าๆ การทำความเข้าใจถึงกลไกและผลกระทบของแต่ละพฤติกรรม จะช่วยให้สามารถวางแผนปรับเปลี่ยนได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. การบริโภคอาหารไขมันสูงและไขมันทรานส์: ภัยเงียบในจานโปรด
อาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการดูแลสุขภาพหัวใจ แต่ในวัฒนธรรมการกินของไทยที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยของอร่อยมากมาย ก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงที่มากับไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์
คำจำกัดความและตัวอย่าง: ไขมันอิ่มตัวพบมากในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ทอด ขาหมู หมูสามชั้น และในน้ำมันพืชบางชนิดอย่างน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวที่ใช้ในแกงกะทิ ส่วนไขมันทรานส์มักพบในอาหารแปรรูปที่ใช้วิธีการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืชเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา เช่น มาการีน เนยขาว ครีมเทียม และผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่างๆ อาทิ เค้ก คุกกี้ พาย รวมถึงอาหารฟาสต์ฟู้ดและของทอดที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ
กลไกการเกิดโรค: เมื่อบริโภคไขมันเหล่านี้เข้าไปในปริมาณมากและต่อเนื่อง ร่างกายจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-C) ในกระแสเลือด คอเลสเตอรอลส่วนเกินนี้จะค่อยๆ สะสมตัวตามผนังด้านในของหลอดเลือดแดง ก่อตัวเป็นคราบไขมันหรือพลาค (Plaque) เมื่อพลาคหนาตัวขึ้นจะทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงและแข็งตัว ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตันอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือหัวใจวาย ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
บริบทสังคมไทย: ด้วยวิถีชีวิตที่เร่งรีบ อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง และอาหารจานด่วนกลายเป็นตัวเลือกที่สะดวกสบายสำหรับคนวัยทำงาน นอกจากนี้ วัฒนธรรมสตรีทฟู้ดและของหวานที่หลากหลายก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนไทยได้รับไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์เกินความจำเป็นโดยไม่รู้ตัว
2. น้ำหนักเกินและภาวะอ้วน: ภาระที่หัวใจต้องแบกรับ
น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานไม่ได้ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นภาระหนักที่หัวใจและระบบหลอดเลือดต้องแบกรับตลอดเวลา
คำจำกัดความ: ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนหมายถึงการมีไขมันสะสมในร่างกายมากผิดปกติหรือมากเกินไปจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยทั่วไปมักประเมินจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ภาวะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลมาจากการได้รับพลังงานจากอาหารและเครื่องดื่มมากกว่าที่ร่างกายใช้ไปในแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง พลังงานส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมในรูปแบบของไขมัน
กลไกการเกิดโรค: ภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายชนิด ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบต่อหัวใจโดยตรง ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง: ร่างกายที่ใหญ่ขึ้นต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยงมากขึ้น ทำให้หัวใจต้องบีบตัวแรงขึ้นเพื่อส่งเลือดไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้ความดันในหลอดเลือดสูงขึ้นตามไปด้วย
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2: ภาวะอ้วนทำให้เซลล์ของร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี (ภาวะดื้ออินซูลิน) ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งน้ำตาลที่สูงนี้จะทำลายผนังหลอดเลือดให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- ภาวะไขมันในเลือดสูง: คนอ้วนมีแนวโน้มที่จะมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-C) และไตรกลีเซอไรด์สูง แต่มีระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-C) ต่ำ ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการเกิดพลาคในหลอดเลือด
โรคเหล่านี้ล้วนเป็นตัวเร่งให้หลอดเลือดทั่วร่างกายรวมถึงหลอดเลือดหัวใจเสื่อมสภาพและตีบตันเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
3. การสูบบุหรี่: ควันร้ายทำลายหลอดเลือดโดยตรง
การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในพฤติกรรมเสี่ยงที่อันตรายที่สุดต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด สารพิษในควันบุหรี่ส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรงต่อการทำงานของหัวใจ
กลไกการเกิดโรค: ในควันบุหรี่ประกอบด้วยสารเคมีอันตรายกว่า 7,000 ชนิด และหลายร้อยชนิดเป็นสารพิษ สารหลักที่ส่งผลต่อหัวใจ ได้แก่
- นิโคติน: เป็นสารกระตุ้นระบบประสาท ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้นทันทีที่สูบ หัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้น
- คาร์บอนมอนอกไซด์: ก๊าซพิษนี้จะเข้าไปจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงได้ดีกว่าออกซิเจน ทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายลดลง รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจด้วย
- สารเคมีอื่นๆ: สารพิษอีกหลายชนิดในควันบุหรี่จะทำลายผนังด้านในของหลอดเลือดโดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบและง่ายต่อการที่ไขมันจะเข้าไปสะสมจนเกิดเป็นพลาค นอกจากนี้ยังทำให้เลือดหนืดและจับตัวเป็นลิ่มเลือดได้ง่ายขึ้น หากลิ่มเลือดไปอุดตันที่หลอดเลือดหัวใจ ก็จะทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ทันที
ผลกระทบเหล่านี้ทำให้การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดหัวใจเสื่อมและภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ยังคงพบเห็นได้ในสังคมไทยและจำเป็นต้องรณรงค์ให้เลิกอย่างจริงจัง
4. ขาดการออกกำลังกาย: เมื่อร่างกายหยุดนิ่ง หัวใจก็อ่อนแอ
วิถีชีวิตสมัยใหม่ที่เน้นการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การเดินทางด้วยรถยนต์ และการใช้เวลาว่างไปกับกิจกรรมที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก กำลังส่งผลให้สุขภาพหัวใจถดถอยลง
คำจำกัดความ: ภาวะขาดการออกกำลังกาย (Physical Inactivity) หรือวิถีชีวิตเนือยนิ่ง (Sedentary Lifestyle) หมายถึงการมีกิจกรรมทางกายในระดับต่ำกว่าเกณฑ์แนะนำ ซึ่งโดยทั่วไปแนะนำให้ออกกำลังกายความหนักปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
กลไกการเกิดโรค: การไม่ออกกำลังกายส่งผลเสียต่อหัวใจในหลายทาง ประการแรกคือทำให้การเผาผลาญพลังงานของร่างกายลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงของน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ประการที่สอง การออกกำลังกายช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือดให้เป็นปกติ การขาดกิจกรรมทางกายจึงทำให้ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้แย่ลง ประการสุดท้าย หัวใจก็เป็นกล้ามเนื้อชนิดหนึ่งที่ต้องการการฝึกฝน การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (เช่น การเดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ) จะช่วยให้หัวใจแข็งแรง สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อขาดการออกกำลังกาย หัวใจจะอ่อนแอลงและทำงานได้ไม่เต็มที่
5. ความเครียดสะสม: ศัตรูที่มองไม่เห็นของระบบหัวใจและหลอดเลือด
ความเครียดเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนมากมองข้ามและคิดว่าเป็นเพียงสภาวะทางจิตใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเครียดเรื้อรังส่งผลกระทบทางกายภาพต่อหัวใจอย่างมหาศาล
คำจำกัดความ: ความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) คือสภาวะที่ร่างกายต้องเผชิญกับแรงกดดันทางอารมณ์หรือจิตใจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งแตกต่างจากความเครียดเฉียบพลันที่เกิดขึ้นและหายไปในระยะเวลาสั้นๆ
กลไกการเกิดโรค: เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด จะมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา ซึ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน หากสภาวะนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวก็ไม่เป็นอันตราย แต่หากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ความดันโลหิตสูงค้าง และอาจทำให้ผนังหลอดเลือดเกิดการอักเสบและเสียหายได้ นอกจากนี้ ความเครียดยังมักนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่นๆ เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์เพื่อปลอบใจ (Comfort Eating) การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น และการนอนไม่หลับ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมความเสี่ยงต่อโรคหัวใจให้สูงขึ้นไปอีก
วันหัวใจโลก 2568: โอกาสในการสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ
วันหัวใจโลกในปี 2568 และทุกๆ ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญที่หน่วยงานด้านสาธารณสุข โรงพยาบาล และองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศ จะร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพหัวใจ กิจกรรมเหล่านี้มักประกอบด้วยการจัดเสวนาให้ความรู้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การบริการตรวจคัดกรองความเสี่ยงเบื้องต้น เช่น การวัดความดันโลหิต การตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ข้อมูลจากสมาพันธ์หัวใจโลกระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดสามารถป้องกันได้ถึงร้อยละ 80 เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่สำคัญ เช่น การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการเลิกสูบบุหรี่ ควบคู่ไปกับการเข้าถึงการดูแลรักษาที่เหมาะสม
ดังนั้น วันหัวใจโลกจึงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้ทุกคนหันกลับมาทบทวนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเอง และเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพหัวใจที่แข็งแรงในระยะยาว
ตารางสรุปแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อหัวใจที่แข็งแรง
เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบพฤติกรรมเสี่ยง ผลกระทบ และแนวทางการปรับเปลี่ยน จะช่วยให้สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่ายขึ้น
พฤติกรรมเสี่ยง | ผลกระทบโดยตรงต่อหัวใจ | แนวทางการปรับเปลี่ยน |
---|---|---|
1. บริโภคอาหารไขมันสูง | เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ทำให้เกิดการสะสมของพลาคในหลอดเลือด นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดตีบตัน | ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ติดมัน ของทอด แกงกะทิ และเบเกอรี่ เลือกรับประทานไขมันดีจากปลา ถั่ว และน้ำมันมะกอก |
2. น้ำหนักเกิน/ภาวะอ้วน | เป็นต้นเหตุของความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดผิดปกติ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเร่งให้หลอดเลือดเสื่อม | ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสมดุล |
3. การสูบบุหรี่ | ทำลายผนังหลอดเลือดโดยตรง ทำให้ความดันสูงขึ้น หัวใจทำงานหนักขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน | ตั้งเป้าหมายในการเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากต้องการความช่วยเหลือ |
4. ขาดการออกกำลังกาย | ทำให้หัวใจอ่อนแอ ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่ดี และควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ (น้ำหนัก, ความดัน) ได้ยากขึ้น | เพิ่มกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวัน เช่น เดินขึ้นบันได เดินให้มากขึ้น และตั้งเป้าออกกำลังกาย 150 นาที/สัปดาห์ |
5. ความเครียดสะสม | กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนความเครียด ทำให้หัวใจเต้นเร็วและความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง | หาวิธีจัดการความเครียดที่เหมาะสม เช่น การทำสมาธิ งานอดิเรกที่ชอบ การพูดคุยกับคนใกล้ชิด หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ |
บทสรุป: การลงทุนเพื่อสุขภาพหัวใจคือการลงทุนเพื่ออนาคต
วันหัวใจโลกเป็นมากกว่าแค่วันเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นเครื่องเตือนใจที่มีประสิทธิภาพให้เราหันมาใส่ใจอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกาย พฤติกรรมเสี่ยงทั้ง 5 ประการที่ได้กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหาร การควบคุมน้ำหนัก การหลีกเลี่ยงสารเสพติด การเคลื่อนไหวร่างกาย และการจัดการอารมณ์ ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่ทุกคนสามารถปรับเปลี่ยนและควบคุมได้ การตระหนักรู้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในกิจวัตรประจำวันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง
การดูแลสุขภาพหัวใจไม่ใช่ภาระ แต่คือการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว การเริ่มต้นลงมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอก็สามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองความเสี่ยงต่างๆ เช่น ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และเข้าสู่กระบวนการดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนสายเกินแก้