ไข้หวัดใหญ่ 68 ระบาดหนัก! เช็คอาการ-กลุ่มเสี่ยง-วิธีป้องกัน
สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่ากังวล การทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็น ไข้หวัดใหญ่ 68 ระบาดหนัก! เช็คอาการ-กลุ่มเสี่ยง-วิธีป้องกัน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสุขภาพและลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในวงกว้าง ข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขชี้ให้เห็นถึงจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคอย่างจริงจัง
ประเด็นสำคัญที่ต้องทราบ
- สถานการณ์ระบาดปี 2568 รุนแรงกว่าปีก่อนหน้า โดยมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงต้นปี และพบการระบาดของสายพันธุ์ A เป็นหลัก
- อาการของไข้หวัดใหญ่มีความรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดาอย่างชัดเจน เช่น ไข้สูงฉับพลัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรุนแรง และอ่อนเพลียมาก
- กลุ่มเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีโรคเรื้อรัง มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตได้ จึงควรได้รับวัคซีนเป็นอันดับแรก
- การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เช่น การล้างมือบ่อยๆ และสวมหน้ากากอนามัย
โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ในปี 2568 นี้ กรมควบคุมโรคได้ออกมาแจ้งเตือนถึงแนวโน้มการระบาดที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องถึงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชื้อไวรัสสามารถเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดี การตระหนักรู้ถึงอาการที่แตกต่างจากไข้หวัดทั่วไป การระบุกลุ่มเสี่ยงที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และการนำมาตรการป้องกันไปปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมการระบาดและลดผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ
ภาพรวมสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ปี 2568
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจเกี่ยวกับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยช่วงต้นปี 2568 โดยในช่วง 14 สัปดาห์แรกของปี มีรายงานผู้ป่วยสะสมสูงถึง 280,000 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่สำคัญคือ มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 35 ราย สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของโรคระบาดในครั้งนี้ โดยสายพันธุ์ที่พบเป็นสาเหตุหลักของการระบาดคือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามักก่อให้เกิดอาการรุนแรงและสามารถแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้
สถานการณ์ดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการระบาดครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 ซึ่งเผชิญกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 26 ปี มีผู้ป่วยสะสมมากกว่า 9.5 ล้านคน ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขตกอยู่ในภาวะตึงเครียดและมีผู้เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนจำนวนมาก ปรากฏการณ์นี้เป็นเครื่องยืนยันว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 เป็นภาวะคุกคามทางสุขภาพที่ต้องเฝ้าระวังในระดับสากล
การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยอย่างรวดเร็วเป็นสัญญาณเตือนว่าทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ 2568 อย่างจริงจัง เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทั้งปัจเจกบุคคลและระบบสาธารณสุขโดยรวม
อาการของไข้หวัดใหญ่: สังเกตอย่างไรให้รู้ทัน
การแยกแยะอาการของไข้หวัดใหญ่ออกจากไข้หวัดธรรมดาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถประเมินความรุนแรงและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที อาการไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและมีความรุนแรงกว่ามาก โดยอาการที่พบบ่อยและเป็นลักษณะเด่น ได้แก่
- ไข้สูงฉับพลัน: อุณหภูมิร่างกายมักสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส และอาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง: เป็นอาการที่เด่นชัดที่สุดของไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดลึกไปตามกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลัง แขน และขา
- อ่อนเพลียอย่างมาก: รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรง จนไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ปวดศีรษะ: มักมีอาการปวดศีรษะรุนแรง
- อาการทางระบบทางเดินหายใจ: เช่น ไอแห้ง เจ็บคอ มีน้ำมูก หรือคัดจมูก
โดยทั่วไป อาการเหล่านี้จะดีขึ้นภายใน 5-7 วัน แต่ในบางราย อาการไอและอ่อนเพลียอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์
เปรียบเทียบอาการ: ไข้หวัดใหญ่ vs ไข้หวัดธรรมดา
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบอาการระหว่างสองโรคนี้จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยเบื้องต้นได้ดีขึ้น
ลักษณะอาการ | ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) | ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) |
---|---|---|
การเริ่มมีอาการ | เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉับพลัน | ค่อยเป็นค่อยไป |
ไข้ | มักมีไข้สูง (38-40°C) เป็นเวลา 3-4 วัน | มีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ |
ปวดเมื่อยตามตัว | พบบ่อยและมีอาการรุนแรง | พบได้น้อยและมีอาการเล็กน้อย |
หนาวสั่น | พบบ่อย | พบได้ไม่บ่อย |
ความอ่อนเพลีย | รุนแรงมาก อาจนาน 2-3 สัปดาห์ | เล็กน้อย |
อาการคัดจมูก/น้ำมูก | พบได้บางครั้ง | เป็นอาการเด่นที่พบได้บ่อย |
อาการเจ็บคอ | พบได้บางครั้ง | พบบ่อย |
ปวดศีรษะ | พบบ่อยและมีอาการรุนแรง | พบได้ไม่บ่อย |
สัญญาณอันตรายและภาวะแทรกซ้อน
แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากไข้หวัดใหญ่ได้เอง แต่ในบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ ปอดอักเสบ (Pneumonia), หลอดลมอักเสบ (Bronchitis), การติดเชื้อในโพรงไซนัสและหู, และอาจทำให้อาการของโรคเรื้อรังเดิม เช่น โรคหอบหืด หรือโรคหัวใจ กำเริบขึ้นได้
ดังนั้น หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที:
- หายใจลำบาก หายใจถี่ หรือเจ็บแน่นหน้าอก
- ริมฝีปากหรือใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
- มีอาการสับสนมึนงง หรือซึมลงอย่างรวดเร็ว
- ไข้สูงไม่ลดลง แม้รับประทานยาลดไข้แล้ว
- ในเด็ก อาจมีอาการซึม ไม่ยอมดื่มน้ำหรือนม และหายใจผิดปกติ
- อาการไข้ลดลงแล้วกลับมาเป็นซ้ำ พร้อมกับอาการไอที่รุนแรงขึ้น
กลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง
บุคคลบางกลุ่มมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่แข็งแรงเท่าที่ควร กรมควบคุมโรคจึงได้ระบุกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการดูแลและเฝ้าระวังเป็นพิเศษ รวมถึงแนะนำให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่โดยเร็วที่สุด ได้แก่:
- เด็กเล็ก: โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่
- ผู้สูงอายุ: ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เพราะภูมิคุ้มกันเริ่มเสื่อมถอยตามวัย
- หญิงตั้งครรภ์: การตั้งครรภ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจ และปอด ทำให้มีความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงเพิ่มขึ้น
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง: เช่น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), โรคหอบหืด, โรคไต, และโรคตับ
- ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV, ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด, หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย: ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางต่อการติดเชื้อ
- ผู้ที่มีภาวะอ้วน: โดยมีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป
- ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้: ซึ่งอาจมีความยากลำบากในการดูแลสุขอนามัยและการไอเพื่อขับเสมหะ
สำหรับกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ รัฐบาลได้จัดให้มีบริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรี ณ หน่วยบริการสาธารณสุขของรัฐทั่วประเทศ โดยสามารถเข้ารับบริการได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568
แนวทางการป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สามารถทำได้หลายวิธี โดยเป็นการผสมผสานระหว่างการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ
การฉีดวัคซีน: เกราะป้องกันที่สำคัญที่สุด
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันที่ทันต่อสายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ
แม้ว่าวัคซีนจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่ประโยชน์หลักของมันคือการลดโอกาสในการป่วยหนัก, ลดความจำเป็นในการนอนโรงพยาบาล, และลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยงสูงที่ได้กล่าวไปข้างต้น
สุขอนามัยส่วนบุคคล: พื้นฐานของการป้องกันโรค
นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว การปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดีในชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี แนวทางปฏิบัติที่แนะนำมีดังนี้:
- ล้างมือบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 70% โดยเฉพาะหลังการไอ จาม หรือสัมผัสพื้นผิวสาธารณะ
- สวมหน้ากากอนามัย: สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องเข้าไปในสถานที่แออัด หรือเมื่อมีอาการป่วยทางระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: พยายามไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณตา จมูก และปาก เพราะเป็นช่องทางที่เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้
- รักษาระยะห่าง: หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการป่วย และรักษาระยะห่างจากผู้อื่นในที่สาธารณะ
- ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม: ใช้กระดาษทิชชูปิดปากและจมูก แล้วทิ้งลงในถังขยะที่ปิดมิดชิดทันที หากไม่มีทิชชู ให้ไอหรือจามใส่ข้อพับแขนแทนการใช้ฝ่ามือ
- ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น: หลีกเลี่ยงการใช้แก้วน้ำ ช้อนส้อม หรือผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
บทสรุป: การรับมือไข้หวัดใหญ่ 2568 อย่างถูกวิธี
สถานการณ์ ไข้หวัดใหญ่ 68 ระบาดหนัก! เช็คอาการ-กลุ่มเสี่ยง-วิธีป้องกัน เป็นประเด็นด้านสาธารณสุขที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนในปี 2568 นี้ ด้วยจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น การรับมืออย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ทั้งในเรื่องของอาการที่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดา, การตระหนักถึงกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง, และการนำมาตรการป้องกันไปใช้อย่างจริงจัง
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการลดความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับบริการโดยเร็ว ควบคู่ไปกับการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เช่น การล้างมือบ่อยๆ การสวมหน้ากากอนามัย และการรักษาระยะห่างทางสังคม การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันตนเอง แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในการช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดและปกป้องผู้ที่เปราะบางที่สุดในชุมชนให้ปลอดภัยจากโรคไข้หวัดใหญ่