เตือนภัยไข้หวัดใหญ่! 7 กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนฟรี-เช็คสิทธิ์เลย
- สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ 2568
- สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย ปี 2568
- เจาะลึก 7 กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี
- ขั้นตอนการตรวจสอบสิทธิ์และเข้ารับบริการฉีดวัคซีนฟรี
- มาตรการป้องกันตนเองจากไข้หวัดใหญ่ที่ทุกคนทำได้
- ข้อควรรู้: วัคซีนไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากวัคซีนโควิด-19
- บทสรุป: การป้องกันดีกว่าการรักษา
สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยปี 2568 ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กรมควบคุมโรคจึงได้ออกประกาศ เตือนภัยไข้หวัดใหญ่! 7 กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนฟรี-เช็คสิทธิ์เลย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อันเป็นมาตรการสำคัญในการลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิต
สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ 2568
- สถานการณ์น่ากังวล: ปี 2568 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมแล้วกว่า 99,000 ราย และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บ่งชี้ถึงการระบาดในวงกว้าง
- รัฐบาลสนับสนุนวัคซีนฟรี: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดสรรวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หลายล้านโดส เพื่อให้บริการฉีดฟรีแก่ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงหลักทั่วประเทศ
- กลุ่มเสี่ยงเป้าหมาย: กลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
- ช่องทางการรับบริการ: ผู้มีสิทธิ์สามารถตรวจสอบและจองคิวเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติใกล้บ้าน
- การป้องกันตนเองยังจำเป็น: นอกจากการฉีดวัคซีน การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคล เช่น การสวมหน้ากากอนามัย และการล้างมือบ่อย ๆ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 รายละเอียดของกลุ่มเสี่ยงทั้ง 7 กลุ่ม ขั้นตอนการเข้ารับสิทธิ์ฉีดวัคซีนฟรี และแนวทางการป้องกันตนเอง เพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง สามารถเข้าถึงบริการทางสุขภาพที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงที
สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย ปี 2568
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568 ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่น่าเป็นห่วง โดยมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและสร้างความกังวลในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ สถานการณ์ดังกล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเข้มข้น
กรมควบคุมโรคคาดการณ์ว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่จะมีความรุนแรงสูงสุดในช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องถึงต้นฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ง่าย การรณรงค์ฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงจึงเป็นยุทธศาสตร์หลักในการลดผลกระทบจากการระบาดในครั้งนี้
ภาพรวมตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต
จากข้อมูลล่าสุด พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สะสมทั่วประเทศมากกว่า 99,000 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากช่วงปลายเดือนมกราคมที่มีผู้ป่วยเพียง 7,819 ราย การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการแพร่กระจายของเชื้อที่สูงมาก นอกจากนี้ ยังมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วจำนวน 9 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรค
กลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบสูงสุด
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลตามกลุ่มอายุ พบว่ากลุ่มที่ติดเชื้อมากที่สุดคือ เด็กอายุ 5-9 ปี รองลงมาคือเด็กเล็กอายุ 3-4 ปี ซึ่งสอดคล้องกับการพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) ในโรงเรียนและสถานศึกษาถึง 15 เหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มีอัตราการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตสูงสุดกลับเป็นกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่ำกว่าประชากรทั่วไป
พื้นที่การระบาดที่น่ากังวลเป็นพิเศษ
แม้การระบาดจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ แต่มีบางพื้นที่ที่สถานการณ์น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น นครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ และชัยภูมิ ซึ่งมีรายงานผู้ป่วยสะสมรวมกันเกือบ 7,000 ราย การระบาดในลักษณะภูมิภาคนี้จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังและจัดสรรทรัพยากรด้านสาธารณสุขอย่างเร่งด่วนเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคไม่ให้ขยายวงกว้างไปมากกว่านี้
เจาะลึก 7 กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี
เพื่อเป็นการ เตือนภัยไข้หวัดใหญ่! 7 กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนฟรี-เช็คสิทธิ์เลย กรมควบคุมโรคและ สปสช. ได้กำหนดกลุ่มประชากรเป้าหมายที่มีความเปราะบางต่อโรคและมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหากติดเชื้อ การฉีดวัคซีนในกลุ่มเหล่านี้จึงมีความสำคัญสูงสุดในการป้องกันการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต
กลุ่มเสี่ยง | รายละเอียดและเหตุผลความเสี่ยง |
---|---|
1. หญิงตั้งครรภ์ | อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจ และปอด ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยรุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ |
2. เด็กเล็ก | อายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี เป็นกลุ่มที่ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม |
3. ผู้สูงอายุ | อายุ 65 ปีขึ้นไป ภาวะภูมิคุ้มกันถดถอยตามวัย (Immunosenescence) ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ไม่ดีเท่าเดิม เสี่ยงต่อการเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิต |
4. ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง | ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และมะเร็งที่รับเคมีบำบัด โรคประจำตัวเหล่านี้ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง |
5. ผู้พิการทางสมอง | กลุ่มที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบหายใจได้ง่าย และอาจไม่สามารถสื่อสารอาการป่วยได้ชัดเจน |
6. ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย | เป็นโรคเลือดทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง |
7. ผู้ติดเชื้อเอชไอวี | ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
หญิงตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและระบบภูมิคุ้มกันในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้ร่างกายไวต่อการติดเชื้อและอาจมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป การฉีดวัคซีนไม่เพียงแต่ปกป้องมารดา แต่แอนติบอดีที่สร้างขึ้นยังสามารถส่งผ่านไปยังทารก ช่วยป้องกันการติดเชื้อในช่วงขวบปีแรกของชีวิตได้อีกด้วย
เด็กเล็ก (อายุ 6 เดือน – 2 ปี)
เด็กในวัยนี้มีระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือภาวะสมองอักเสบ การฉีดวัคซีนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคในเด็กกลุ่มนี้
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
เมื่ออายุมากขึ้น ประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันจะลดลงตามธรรมชาติ ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อได้ง่ายและมีอาการรุนแรงเมื่อป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย ซึ่งยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิต
ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, หืด, หัวใจ, หลอดเลือดสมอง, ไตวาย, เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่อาจทำให้อาการของโรคประจำตัวกำเริบและนำไปสู่ภาวะวิกฤตได้ การฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้
ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีข้อจำกัดในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลและอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือการหายใจ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ การฉีดวัคซีนจึงช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยธาลัสซีเมียและผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ทั้งผู้ป่วยธาลัสซีเมียและผู้ติดเชื้อเอชไอวีล้วนมีภาวะที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างเต็มที่ การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงอาจมีอาการรุนแรงและยาวนานกว่าคนปกติ การได้รับวัคซีนจึงเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ
ขั้นตอนการตรวจสอบสิทธิ์และเข้ารับบริการฉีดวัคซีนฟรี
รัฐบาลได้จัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่จำนวนหลายล้านโดส เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้าถึงการป้องกันโรคได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยงสามารถดำเนินการเพื่อรับสิทธิ์ได้ตามขั้นตอน
สิทธิประโยชน์จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรีสำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยง เป็นสิทธิประโยชน์ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สิทธิบัตรทอง” ประชาชนผู้มีสิทธิ์สามารถเข้ารับบริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ณ หน่วยบริการในระบบของ สปสช.
ช่องทางการตรวจสอบสิทธิ์และจองคิว
ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสามารถตรวจสอบสิทธิ์ของตนเองและทำการจองคิวฉีดวัคซีนได้หลายช่องทาง โดยทั่วไปสามารถติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้านที่ตนเองมีสิทธิการรักษาอยู่ บางสถานพยาบาลอาจมีระบบการจองคิวออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของโรงพยาบาลนั้น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวก
สถานที่ให้บริการฉีดวัคซีน
การฉีดวัคซีนฟรีสามารถทำได้ที่สถานพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศ รวมถึงสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. ขอแนะนำให้ติดต่อสอบถามข้อมูลกับสถานพยาบาลที่ต้องการไปรับบริการล่วงหน้า เพื่อยืนยันวัน-เวลาที่เปิดให้บริการและตรวจสอบจำนวนวัคซีนคงเหลือ
มาตรการป้องกันตนเองจากไข้หวัดใหญ่ที่ทุกคนทำได้
นอกเหนือจากการฉีดวัคซีนซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว การปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยส่วนบุคคลก็ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อไข้หวัดใหญ่ ทุกคนสามารถทำได้ดังนี้:
- สวมหน้ากากอนามัย: เมื่ออยู่ในที่สาธารณะที่มีคนแออัด หรือเมื่อต้องดูแลผู้ป่วย การสวมหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานจะช่วยป้องกันการรับเชื้อผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจาม
- ล้างมือบ่อย ๆ: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป โดยเฉพาะหลังสัมผัสสิ่งของในที่สาธารณะและก่อนรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: พยายามไม่ใช้มือที่ยังไม่ได้ล้างสัมผัสบริเวณ ตา จมูก และปาก เพราะเป็นช่องทางที่เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายได้
- รักษาระยะห่างทางสังคม: พยายามอยู่ห่างจากผู้ที่มีอาการป่วย เช่น ไอ หรือจาม อย่างน้อย 1-2 เมตร
- หากมีอาการป่วยควรหยุดพัก: หากเริ่มมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก ควรหยุดเรียนหรือหยุดงานทันที และแยกตัวเองออกจากผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ควรพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
ข้อควรรู้: วัคซีนไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากวัคซีนโควิด-19
เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจว่า วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันโรคโควิด-19 ได้ เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสคนละสายพันธุ์กันโดยสิ้นเชิง โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ในขณะที่โรคโควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ดังนั้น วัคซีนแต่ละชนิดจึงถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่จำเพาะเจาะจงเท่านั้น
สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง การได้รับวัคซีนทั้งสองชนิดตามคำแนะนำของแพทย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่ครอบคลุม ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อร่วม (Co-infection) ซึ่งอาจทำให้อาการป่วยรุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น
บทสรุป: การป้องกันดีกว่าการรักษา
สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 ถือเป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด การที่ภาครัฐโดยกรมควบคุมโรคและ สปสช. ได้จัดทำโครงการฉีดวัคซีนฟรีให้กับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และลดผลกระทบจากโรคในภาพรวม การเข้ารับวัคซีนไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องตนเอง แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่บุคคลที่เปราะบางในครอบครัวและชุมชน
ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ผู้ที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยงตามประกาศ ดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์และเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่โดยเร็วที่สุด ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและปลอดภัยจากโรคไข้หวัดใหญ่ตลอดฤดูกาลระบาดนี้