กัญชากลับเข้ายาเสพติด! สรุปกฎหมายใหม่-ใครกระทบบ้าง
การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสาธารณสุขครั้งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้นำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดยุคกัญชาเสรีที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และนำไปสู่การควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เป็นหลัก
ภาพรวมการเปลี่ยนแปลงกฎหมายกัญชา
การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ในการนำ กัญชากลับเข้ายาเสพติด! สรุปกฎหมายใหม่-ใครกระทบบ้าง นั้น เป็นผลมาจากร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ช่วงกลางปี พ.ศ. 2568 การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหาและปิดช่องว่างที่เกิดจากการใช้กัญชาผิดวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะการใช้เพื่อสันทนาการที่แพร่หลายนับตั้งแต่การปลดล็อกในปี 2565 กฎหมายใหม่นี้จะ επαναกำหนดสถานะทางกฎหมายของกัญชา โดยเฉพาะส่วนของ “ช่อดอก” และสารสกัดที่มี THC สูง ให้กลับไปอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดอีกครั้ง
- การกลับสู่บัญชียาเสพติดประเภทที่ 5: กัญชา โดยเฉพาะช่อดอกและสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2% จะถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 อีกครั้ง จำกัดการใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น
- ยกเลิกประกาศปลดล็อกปี 2565: กฎหมายใหม่จะยกเลิกประกาศฉบับเดิมที่เคยปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างสิ้นเชิง
- ข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้น: การเพาะปลูก ครอบครอง จำหน่าย และส่งออก จะต้องได้รับใบอนุญาตตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด
- ผลกระทบในวงกว้าง: การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบธุรกิจ ผู้บริโภค ทั้งเพื่อการแพทย์และสันทนาการ รวมถึงภาคเกษตรกรรมที่เกี่ยวข้อง
ทำความเข้าใจกฎหมายกัญชาฉบับใหม่ พ.ศ. 2568

ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ โดยมีสาระสำคัญที่แตกต่างจากประกาศฉบับปี 2565 อย่างชัดเจน การทำความเข้าใจในรายละเอียดของกฎหมายใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปฏิบัติตามข้อบังคับได้อย่างถูกต้อง
การยกเลิกประกาศปลดล็อกกัญชาปี 2565
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงคือการยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ซึ่งเคยเป็นกลไกหลักในการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด การยกเลิกประกาศดังกล่าวหมายความว่า สถานะ “เสรี” ของกัญชาจะสิ้นสุดลง และจะถูกแทนที่ด้วยกรอบการกำกับดูแลฉบับใหม่ที่รัดกุมกว่าเดิม การกระทำใดๆ ที่เคยถูกกฎหมายภายใต้ประกาศฉบับเก่า อาจกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายทันทีที่กฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้
นิยามใหม่: ช่อดอกกัญชาคือสมุนไพรควบคุม
กฎหมายฉบับใหม่ได้กำหนดนิยามที่ชัดเจนและจำเพาะเจาะจงมากขึ้น โดยระบุให้ “ช่อดอกกัญชา” รวมถึงสารสกัดที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol) หรือ THC เกินกว่าร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 และเป็นสมุนไพรควบคุม การกำหนดนิยามเช่นนี้เป็นการพุ่งเป้าไปที่ส่วนของพืชกัญชาที่มีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทสูงที่สุด เพื่อควบคุมการนำไปใช้ในทางสันทนาการ ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของพืช เช่น ใบ ลำต้น ราก ที่มี THC ต่ำ อาจยังคงได้รับการผ่อนปรนในระดับหนึ่งภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
การกลับมาควบคุมกัญชาอย่างเข้มงวดครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อจำกัดการใช้งานให้เหลือเพียงด้านการแพทย์และสาธารณสุขเท่านั้น ปิดช่องว่างการใช้เพื่อสันทนาการที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ข้อกำหนดการขออนุญาตที่เข้มงวด
ภายใต้กฎหมายใหม่ การดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกัญชาจะไม่สามารถทำได้อย่างเสรีอีกต่อไป แต่จะต้องผ่านกระบวนการขออนุญาตตามมาตรา 46 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ ดังนี้:
- การเพาะปลูก: บุคคลหรือนิติบุคคลที่ต้องการเพาะปลูกกัญชา ไม่ว่าจะเพื่อการค้าหรือการวิจัย จะต้องยื่นขอใบอนุญาตจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ
- การวิจัย: สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานวิจัยที่ต้องการศึกษากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ ต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ
- การส่งออก: การส่งออกช่อดอกกัญชาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชาไปยังต่างประเทศ จะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบและได้รับใบอนุญาตส่งออก
- การจำหน่าย: การเปิดร้านจำหน่ายช่อดอกกัญชาจะต้องได้รับใบอนุญาตเฉพาะ ซึ่งมีเงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้ขายที่เข้มงวด
กระบวนการขออนุญาตที่ซับซ้อนและมีเงื่อนไขมากขึ้นนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญของภาครัฐในการคัดกรองและควบคุมผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานของกัญชาให้เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์อย่างแท้จริง
ข้อห้ามและข้อจำกัดที่สำคัญภายใต้กฎหมายใหม่
นอกเหนือจากการกำหนดให้กัญชากลับเป็นยาเสพติดและการวางกรอบการขออนุญาตแล้ว กฎหมายใหม่ยังได้ระบุข้อห้ามและข้อจำกัดต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อควบคุมการเข้าถึงและการบริโภคกัญชาในสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ
| ประเด็น | กฎหมายปี พ.ศ. 2565 (ยุคปลดล็อก) | กฎหมายใหม่ ปี พ.ศ. 2568 |
|---|---|---|
| สถานะทางกฎหมาย | ไม่เป็นยาเสพติด (ยกเว้นสารสกัด THC เกิน 0.2%) | ช่อดอกและสารสกัด THC เกิน 0.2% กลับเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 |
| การใช้เพื่อสันทนาการ | ไม่ควบคุมโดยตรง เกิดช่องว่างทางกฎหมาย | ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน |
| การครอบครองช่อดอก | บุคคลทั่วไปสามารถครอบครองได้ | ผิดกฎหมายหากไม่มีใบอนุญาตหรือใบสั่งแพทย์ |
| การจำหน่าย | ร้านค้าทั่วไปสามารถจำหน่ายได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ | ห้ามจำหน่ายในร้านค้าทั่วไป, ออนไลน์, หรือตู้กดอัตโนมัติ ต้องได้รับใบอนุญาตเฉพาะ |
| การโฆษณา | มีข้อจำกัดบางส่วน แต่ยังพบเห็นได้ทั่วไป | ห้ามโฆษณาในทุกช่องทางโดยเด็ดขาด |
| ผู้ซื้อ | บุคคลทั่วไปอายุ 20 ปีขึ้นไป | ต้องมีใบรับรองแพทย์มายืนยันวัตถุประสงค์การใช้ |
การจำหน่ายและการโฆษณา
กฎหมายใหม่ได้กำหนดข้อห้ามที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจำหน่ายกัญชาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยง่าย โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและประชาชนทั่วไป:
- ห้ามจำหน่ายในร้านค้าทั่วไป: ร้านสะดวกซื้อหรือร้านค้าปลีกทั่วไปจะไม่สามารถจำหน่ายช่อดอกกัญชาได้อีกต่อไป
- ห้ามจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์: การซื้อขายกัญชาผ่านเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน หรือโซเชียลมีเดีย ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
- ห้ามใช้เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine): ช่องทางการจำหน่ายนี้ถูกห้ามโดยเด็ดขาด
- ห้ามโฆษณา: การโฆษณาสรรพคุณของกัญชาเพื่อจูงใจให้เกิดการซื้อขายในทุกรูปแบบถือเป็นสิ่งต้องห้าม
- ห้ามจำหน่ายในสถานที่ต้องห้าม: สถานที่สาธารณะ เช่น วัด, สถานศึกษา, สวนสาธารณะ, หอพัก และศาสนสถาน เป็นพื้นที่ห้ามจำหน่ายกัญชาโดยสิ้นเชิง
ข้อบังคับสำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
เพื่อควบคุมให้การใช้กัญชาเป็นไปเพื่อทางการแพทย์อย่างแท้จริง กฎหมายใหม่ได้วางเงื่อนไขที่เข้มงวดสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ซื้อ ที่ต้องการใช้ช่อดอกกัญชาเพื่อการรักษา จะต้องมี ใบรับรองแพทย์ ที่ระบุความจำเป็นในการใช้มายืนยันต่อผู้ขายทุกครั้ง ในขณะที่ ผู้ขาย จะต้องเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการเท่านั้น เช่น แพทย์, แพทย์แผนไทย, หรือเภสัชกร ซึ่งต้องดำเนินการจำหน่ายในสถานพยาบาลหรือสถานที่ที่ได้รับอนุญาตโดยเฉพาะ ไม่ใช่ร้านค้าทั่วไป
ผลกระทบต่อกลุ่มต่างๆ: ใครต้องปรับตัวอย่างไร?
การกลับมาของกฎหมายควบคุมกัญชาอย่างเข้มงวดส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบุคคลและกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่เคยเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดกัญชาช่วงที่ผ่านมา การทำความเข้าใจผลกระทบและเตรียมการปรับตัวจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
ผู้ประกอบการและธุรกิจกัญชา
สำหรับผู้ประกอบการที่เปิดร้านจำหน่ายกัญชาหรือทำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรุนแรงที่สุด ภายใต้กฎหมายใหม่ ผู้ประกอบการเหล่านี้จะต้องดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตให้ถูกต้องตามเงื่อนไขใหม่ภายในระยะเวลาที่กำหนด (คาดว่าประมาณ 45 วันหลังประกาศมีผลบังคับใช้) เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หากไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือได้รับใบอนุญาต กิจการดังกล่าวจะต้องยุติลงทันที ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียทางการลงทุนอย่างมหาศาล
ประชาชนทั่วไปและผู้ใช้เพื่อสันทนาการ
กลุ่มผู้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการและประชาชนทั่วไปที่เคยครอบครองช่อดอกกัญชาไว้เพื่อใช้ส่วนตัว จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การครอบครองช่อดอกกัญชาโดยไม่มีใบอนุญาตหรือใบสั่งแพทย์จะถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีบทลงโทษตามกฎหมายยาเสพติด ซึ่งอาจรวมถึงโทษจำคุกและปรับ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงกลายเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง และจำเป็นต้องยุติลงเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางกฎหมาย
ผู้ป่วยที่ใช้กัญชาทางการแพทย์
แม้กฎหมายใหม่จะมีความเข้มงวด แต่ยังคงเปิดช่องทางให้สำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใช้กัญชาเพื่อการรักษาพยาบาล โดยผู้ป่วยยังสามารถเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการที่เป็นระบบและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยและมีใบรับรองจากแพทย์เพื่อนำไปใช้ในการซื้อหรือรับกัญชาจากสถานพยาบาลหรือผู้จำหน่ายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าการใช้กัญชาทางการแพทย์จะเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ภาคเกษตรกรรมและสถาบันวิจัย
เกษตรกรที่เพาะปลูกกัญชาและสถาบันวิจัยยังคงสามารถดำเนินกิจกรรมต่อไปได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของใบอนุญาตที่เข้มงวด การเพาะปลูกจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เช่น เพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานทางการแพทย์หรือสถาบันวิจัยที่ได้รับอนุญาต การวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์หรือผลิตภัณฑ์จากกัญชายังคงสามารถทำได้ แต่ต้องยื่นขออนุญาตและดำเนินการตามระเบียบของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
บทสรุป: ทิศทางนโยบายกัญชาของประเทศไทย
การนำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ตามร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2568 ถือเป็นการปิดฉากยุคกัญชาเสรีในประเทศไทย และเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่า ทิศทางของนโยบายกัญชาจะมุ่งเน้นไปที่การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเป็นสำคัญ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากการใช้กัญชาผิดวัตถุประสงค์ และสร้างกรอบการกำกับดูแลที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ประกอบการ, ผู้บริโภค, เกษตรกร ไปจนถึงบุคลากรทางการแพทย์ จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจข้อกฎหมายใหม่โดยละเอียด เพื่อเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้สอดคล้องกับระเบียบใหม่ที่กำลังจะมาถึง การติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องและหลีกเลี่ยงผลกระทบทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

