เคาะแล้ว! งบ Soft Power 5.1 พันล้าน ปั้น 11 อุตสาหกรรม
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติได้มีมติสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ โดยมีการอนุมัติหลักการกรอบงบประมาณเบื้องต้น ซึ่งหลายฝ่ายต่างจับตามองการ เคาะแล้ว! งบ Soft Power 5.1 พันล้าน ปั้น 11 อุตสาหกรรม เพื่อใช้เป็นกลไกหลักในการผลักดันสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีโลก งบประมาณก้อนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศในมิติใหม่
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติอนุมัติงบประมาณรวม 5,164 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อน 11 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
- ตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ 4 ล้านล้านบาทต่อปี และสร้างงานกว่า 20 ล้านตำแหน่ง
- อุตสาหกรรมที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เฟสติวัล (1,009 ล้านบาท), อาหาร (1,000 ล้านบาท) และการท่องเที่ยว (711 ล้านบาท)
- มีการวางยุทธศาสตร์ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมถึงโครงการพัฒนาทักษะระดับครัวเรือนอย่าง “1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์” (OFOS)
- กระบวนการจัดสรรงบยังต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุดใหญ่และคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการจริง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมและความซ้ำซ้อนของงบประมาณ
ภาพรวมยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) กลายเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยมุ่งหวังที่จะใช้พลังทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างอิทธิพลเชิงบวกในระดับสากล การตัดสินใจ เคาะแล้ว! งบ Soft Power 5.1 พันล้าน ปั้น 11 อุตสาหกรรม ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นรูปธรรม นโยบายนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การส่งเสริมวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม แต่ครอบคลุมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สมัยใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
ความสำคัญของยุทธศาสตร์นี้อยู่ที่การมองเห็นศักยภาพของสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) ของไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ศิลปะ ภาพยนตร์ ดนตรี หรือแฟชั่น และนำมาพัฒนาต่อยอดอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างแบรนด์ประเทศไทยให้แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก การลงทุนครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการใช้งบประมาณเพื่อจัดกิจกรรมหรือโครงการระยะสั้น แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และภาพลักษณ์ของประเทศโดยรวม ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงคือผู้ประกอบการ ศิลปิน นักสร้างสรรค์ และแรงงานใน 11 สาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนทั้งในด้านเงินทุน การพัฒนาทักษะ และการเปิดตลาดใหม่ๆ
เจาะลึกงบประมาณและเป้าหมายหลัก
งบประมาณจำนวน 5,164 ล้านบาทที่ได้รับการอนุมัติในหลักการนี้ ถือเป็นเม็ดเงินเริ่มต้นสำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนา 11 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพสูง ให้สามารถแข่งขันและสร้างรายได้ในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายทางเศรษฐกิจและสังคม
เบื้องหลังงบประมาณก้อนใหญ่นี้คือเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจนจากการดำเนินนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการในระยะยาว
เป้าหมายหลักของยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ คือการสร้างรายได้เข้าประเทศให้ได้ถึง 4 ล้านล้านบาทต่อปี และก่อให้เกิดการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์กว่า 20 ล้านตำแหน่ง
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรแบบดั้งเดิม การสร้างงานจำนวนมหาศาลยังเป็นการตอบโจทย์ปัญหาด้านสังคมและลดความเหลื่อมล้ำ โดยเปิดโอกาสให้ผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพสามารถเข้าถึงแหล่งรายได้ใหม่ๆ จากทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง
กลไกการบริหารจัดการ
เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ได้มีการจัดตั้งกลไกการบริหารจัดการที่ชัดเจน โดยมี “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำหน้าที่กำหนดทิศทางนโยบายและกำกับดูแลภาพรวม การอนุมัติงบประมาณ 5.1 พันล้านบาทนี้เป็นเพียงขั้นตอนแรก โดยหลังจากนี้ แต่ละคณะอนุกรรมการใน 11 สาขาอุตสาหกรรมจะต้องจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ทำการตรวจทานอีกครั้ง ก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้าย กระบวนการดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกโครงการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม
การจัดสรรงบประมาณสู่ 11 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์

หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายนี้ คือการกระจายงบประมาณไปยัง 11 อุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเหมาะสมตามศักยภาพและความจำเป็นเร่งด่วน การจัดสรรงบประมาณสะท้อนให้เห็นถึงลำดับความสำคัญและทิศทางที่รัฐบาลต้องการจะผลักดันในระยะแรก
| อุตสาหกรรมเป้าหมาย | งบประมาณ (ล้านบาท) | โครงการ/แนวทางสำคัญ |
|---|---|---|
| เฟสติวัล | 1,009 | ส่งเสริมและยกระดับเทศกาลต่างๆ ทั่วประเทศให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ |
| อาหาร | 1,000 | โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 เชฟอาหารไทย, เชฟชุมชน, และเชฟชาแนล |
| ท่องเที่ยว | 711 | พัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างสรรค์ |
| ภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ | 545 | สนับสนุนการผลิตและส่งเสริมการตลาดในต่างประเทศ |
| กีฬา | 500 | เน้นการผลักดันมวยไทยและกีฬาพื้นบ้านสู่สากล |
| ศิลปะ | 380 | โครงการหอศิลป์รัชดาภิเษก, สภาศิลปะแห่งประเทศไทย, กองทุนศิลปะร่วมสมัย |
| เกม | 374 | สนับสนุนการพัฒนาเกมโดยนักพัฒนาไทยและพัฒนาหลักสูตรบุคลากร |
| ออกแบบ | 310 | ส่งเสริมนวัตกรรมและการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย |
| แฟชั่น | 268 | ผลักดันดีไซเนอร์ไทยและแบรนด์แฟชั่นไทยสู่เวทีโลก |
| ดนตรี | 144 | สนับสนุนศิลปินและการผลิตผลงานเพลงเพื่อการส่งออก |
| หนังสือ | 69 | ส่งเสริมการแปลและจัดจำหน่ายวรรณกรรมไทยในต่างประเทศ |
วิเคราะห์รายละเอียดโครงการในแต่ละสาขาอุตสาหกรรม
การจัดสรรงบประมาณที่แตกต่างกันไปในแต่ละสาขาสะท้อนถึงยุทธศาสตร์และโครงการนำร่องที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นดังนี้
กลุ่มอาหาร เฟสติวัล และการท่องเที่ยว
สามอุตสาหกรรมนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณรวมกันกว่า 2,700 ล้านบาท หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของงบทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมองว่ากลุ่มอุตสาหกรรมนี้เป็น “เรือธง” ที่มีศักยภาพสูงสุดในการสร้างรายได้และดึงดูดชาวต่างชาติในระยะสั้นถึงกลาง
อาหาร (1,000 ล้านบาท): ด้วยชื่อเสียงของอาหารไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก งบประมาณส่วนนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรตั้งแต่ระดับชุมชนผ่านโครงการ “1 หมู่บ้าน 1 เชฟอาหารไทย” และ “เชฟชุมชน” เพื่อยกระดับมาตรฐานและสร้างเรื่องราวให้กับอาหารท้องถิ่น ขณะที่ “เชฟชาแนล” จะเป็นแพลตฟอร์มในการสื่อสารและโปรโมตอาหารไทยในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์ไปสู่ผู้ชมทั่วโลก
เฟสติวัล (1,009 ล้านบาท): งบประมาณสูงสุดถูกจัดสรรให้กับสาขานี้ เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น “หมุดหมายแห่งเทศกาลระดับโลก” โดยจะมีการสนับสนุนและยกระดับเทศกาลประเพณีที่มีอยู่ เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง รวมถึงสร้างสรรค์เทศกาลใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ศิลปะ และภาพยนตร์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงและสร้างกระแสการเดินทางมายังประเทศไทยตลอดทั้งปี
ท่องเที่ยว (711 ล้านบาท): งบประมาณส่วนนี้จะทำงานเชื่อมโยงกับเฟสติวัลและอาหาร เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ลึกซึ้งและน่าจดจำยิ่งขึ้น โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวชุมชน และการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง
กลุ่มศิลปะ ออกแบบ และแฟชั่น
กลุ่มนี้เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการผ่านความคิดสร้างสรรค์และสุนทรียภาพ งบประมาณรวมกว่า 958 ล้านบาท จะใช้เพื่อวางรากฐานและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโต
ศิลปะ (380 ล้านบาท): โครงการที่น่าสนใจคือการจัดตั้ง “หอศิลป์บนถนนรัชดาภิเษก” เพื่อเป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยขนาดใหญ่ พร้อมกับการผลักดันให้เกิด “สภาศิลปะแห่งประเทศไทย” และ “กองทุนสนับสนุนศิลปะร่วมสมัย” เพื่อเป็นกลไกในการสนับสนุนศิลปินและภัณฑารักษ์อย่างเป็นระบบ
ออกแบบ (310 ล้านบาท) และ แฟชั่น (268 ล้านบาท): งบประมาณในสองส่วนนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนานักออกแบบรุ่นใหม่ การส่งเสริมการใช้วัสดุท้องถิ่นมาสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์ และการสร้างแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักในเวทีแฟชั่นระดับโลก เช่น การสนับสนุนการเข้าร่วมงานแฟชั่นวีคในต่างประเทศ และการจัดงานแสดงสินค้าด้านการออกแบบในประเทศ
กลุ่มคอนเทนต์: ภาพยนตร์ ดนตรี เกม และหนังสือ
อุตสาหกรรมคอนเทนต์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรมและแนวคิดไปสู่ผู้คนในวงกว้างทั่วโลก งบประมาณรวม 1,132 ล้านบาท จะถูกใช้เพื่อสนับสนุนการผลิตและส่งออกคอนเทนต์ไทย
ภาพยนตร์/ละครซีรีส์ (545 ล้านบาท): งบก้อนใหญ่ในกลุ่มนี้จะใช้เพื่อสนับสนุนผู้สร้างภาพยนตร์และซีรีส์ไทย ตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาบทไปจนถึงการตลาดในต่างประเทศ เพื่อสร้างผลงานคุณภาพที่สามารถแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งและเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติได้
เกม (374 ล้านบาท): อุตสาหกรรมเกมเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว งบประมาณจะเน้นไปที่การสนับสนุนสตูดิโอพัฒนาเกมของไทยให้สร้างสรรค์เกมที่มีเนื้อหาและอัตลักษณ์ความเป็นไทย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรเพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะสูงป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม
ดนตรี (144 ล้านบาท) และ หนังสือ (69 ล้านบาท): แม้จะมีงบประมาณน้อยที่สุด แต่ก็มีความสำคัญในการส่งเสริมศิลปินเพลงแนว T-Pop ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล และสนับสนุนการแปลวรรณกรรมไทยให้เป็นภาษาต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้นักอ่านทั่วโลกได้สัมผัสกับเรื่องราวและมุมมองแบบไทย
กลุ่มกีฬา
กีฬา (500 ล้านบาท): งบประมาณส่วนนี้จะมุ่งเน้นไปที่ “มวยไทย” เป็นหลัก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้มวยไทยเป็นที่รู้จักและฝึกฝนกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในฐานะกีฬาการต่อสู้ แต่ในฐานะศิลปะป้องกันตัวและเครื่องมือในการออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านโรงเรียนสอนมวยไทย สินค้าที่ระลึก และการถ่ายทอดการแข่งขัน
ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนจากฐานราก
นอกจากการจัดสรรงบประมาณไปยังอุตสาหกรรมเป้าหมายแล้ว ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ยังให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งตั้งแต่ระดับบุคคลและชุมชน เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืน
แนวคิดการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ สู่ปลายน้ำ
ยุทธศาสตร์นี้ถูกออกแบบมาให้ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์:
- ต้นน้ำ (Upstream): คือการพัฒนาศักยภาพและทักษะของบุคลากร ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด ตัวอย่างคือโครงการพัฒนาทักษะเชฟ หรือการพัฒนาหลักสูตรสำหรับนักพัฒนาเกม
- กลางน้ำ (Midstream): คือการสนับสนุนกระบวนการผลิตและสร้างสรรค์ผลงาน เช่น การให้ทุนสร้างภาพยนตร์ การสนับสนุนดีไซเนอร์ในการผลิตคอลเลกชันใหม่ๆ หรือการจัดตั้งกองทุนศิลปะ
- ปลายน้ำ (Downstream): คือการส่งเสริมการตลาดและการเผยแพร่ผลงานสู่ตลาดโลก เช่น การสนับสนุนการเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ การโปรโมตเทศกาลในประเทศไทย หรือการผลักดันอาหารไทยผ่านช่องทางดิจิทัล
แนวคิดนี้ช่วยให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างครบวงจร ไม่ได้เน้นเพียงแค่การสร้างผลงาน แต่ยังคำนึงถึงการสร้างคนและการหาตลาดควบคู่กันไป
โครงการ 1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS)
โครงการ One Family One Soft Power (OFOS) เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์เรือธงที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับฐานราก โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนอย่างน้อยหนึ่งคนในทุกครัวเรือนได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การออกแบบ การเขียนโปรแกรม หรือศิลปะการต่อสู้ โครงการนี้จะช่วยขยายฐานบุคลากรในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้กว้างขวางขึ้น และเป็นการปลูกฝังแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้หยั่งรากลึกในสังคมไทย
ประเด็นและข้อพิจารณาต่อโครงการ
แม้ว่าโครงการนี้จะมีความตั้งใจที่ดีและมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ก็ยังคงมีประเด็นท้าทายและเสียงวิจารณ์ที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไป บางฝ่ายได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของงบประมาณ โดยแสดงความกังวลว่าอาจเกิดการใช้งบประมาณที่ซ้ำซ้อนกับภารกิจของกระทรวงอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว หรืออาจมีการจัดสรรงบประมาณที่มากเกินความจำเป็นในบางโครงการ ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการชุดใหญ่และคณะรัฐมนตรีที่จะต้องตรวจสอบรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การวัดผลความสำเร็จของโครงการก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากผลลัพธ์ของซอฟต์พาวเวอร์บางอย่างไม่สามารถวัดเป็นตัวเงินได้ในทันที แต่เป็นผลกระทบเชิงคุณภาพในระยะยาว เช่น ภาพลักษณ์ของประเทศ หรือความนิยมในวัฒนธรรมไทย
สรุปและทิศทางอนาคตของ Soft Power ไทย
การอนุมัติงบประมาณ 5,164 ล้านบาทเพื่อขับเคลื่อน 11 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการผลักดันนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทยอย่างจริงจังและเป็นระบบ นี่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่มุ่งหวังจะเปลี่ยนสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ประเมินค่าไม่ได้ให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างรายได้ 4 ล้านล้านบาทและสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม การเดินทางของซอฟต์พาวเวอร์ไทยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น และยังคงมีบทพิสูจน์อีกมากรออยู่ข้างหน้า การติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการจากภาคประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การลงทุนครั้งนี้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

