ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ส่องงบ-โครงการเด่นปี 2569 มีอะไรบ้าง?
- ประเด็นสำคัญ: ภาพรวมงบประมาณและโครงการซอฟต์พาวเวอร์ 2569
- ภาพรวมนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไทย: ทิศทางและเป้าหมายในปี 2569
- เจาะลึกงบประมาณซอฟต์พาวเวอร์ปี 2569: จัดสรรอย่างไร ใช้อะไรบ้าง?
- ส่องโครงการเด่นและประเภทกิจกรรมที่ได้รับงบประมาณสูงสุด
- กลไกการขับเคลื่อนใหม่: เอกชนนำ รัฐบาลสนับสนุน
- บทสรุปและทิศทางอนาคตของซอฟต์พาวเวอร์ไทย
การขับเคลื่อนนโยบาย ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ส่องงบ-โครงการเด่นปี 2569 มีอะไรบ้าง? กำลังเป็นที่จับตามองอย่างกว้างขวาง เมื่อภาครัฐได้แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในการผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมความคืบหน้าล่าสุดของการจัดสรรงบประมาณปี 2569 พร้อมทั้งวิเคราะห์โครงการสำคัญภายใต้การดำเนินงานขององค์กรขับเคลื่อนหลักอย่าง THACCA เพื่อให้เห็นทิศทางและศักยภาพของ 11 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเป็นหัวหอกในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมต่อไป
ประเด็นสำคัญ: ภาพรวมงบประมาณและโครงการซอฟต์พาวเวอร์ 2569
- กรอบงบประมาณมหาศาล: รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณปี 2569 สำหรับการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์เป็นจำนวนเงินรวมกว่า 3,900 ถึง 5,100 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ราว 35-54 โครงการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการผลักดันนโยบายนี้
- อุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์เป็นเรือธง: สาขาภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด โดยมีโครงการเด่นคือการสนับสนุนการผลิตด้วยงบประมาณกว่า 545.2 ล้านบาท เพื่อสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูงที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
- เน้นกิจกรรมและอีเวนต์สร้างการรับรู้: งบประมาณกว่า 1,244 ล้านบาท ถูกจัดสรรให้กับกิจกรรมประเภทอีเวนต์ เช่น เทศกาล การแข่งขัน และงานแสดงสินค้า เพื่อสร้างกระแสและดึงดูดความสนใจจากทั้งในและต่างประเทศ
- เปลี่ยนกลไกขับเคลื่อนสู่เอกชนนำ: มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน โดยให้ภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้นำในการเสนอและดำเนินโครงการ ในขณะที่ภาครัฐทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัว
ภาพรวมนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไทย: ทิศทางและเป้าหมายในปี 2569
นโยบาย Soft Power ได้กลายเป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้อิทธิพลทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น ดนตรี หรือศิลปะการต่อสู้ มาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในระดับสากล สำหรับปีงบประมาณ 2569 ถือเป็นปีที่มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นรูปธรรมและมีทิศทางที่ชัดเจนมากที่สุดปีหนึ่ง สะท้อนผ่านการตั้งแผนงานยุทธศาสตร์เฉพาะกิจและการอนุมัติกรอบงบประมาณจำนวนมากเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างเต็มกำลัง
ความสำคัญของซอฟต์พาวเวอร์ต่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) คือระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยสินทรัพย์ทางปัญญา วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ ซอฟต์พาวเวอร์จึงเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจรูปแบบนี้ การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายนี้จึงไม่ใช่แค่การส่งเสริมวัฒนธรรม แต่คือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่สามารถสร้างรายได้และโอกาสมหาศาล การส่งออกวัฒนธรรมผ่านสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์หรือซีรีส์ ไม่เพียงแต่สร้างรายได้โดยตรงจากการจำหน่ายลิขสิทธิ์ แต่ยังกระตุ้นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น การท่องเที่ยว การส่งออกอาหาร และสินค้าแฟชั่น ซึ่งเป็นการสร้างผลกระทบแบบทวีคูณ (Multiplier Effect) ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
บทบาทของคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมีเอกภาพและประสิทธิภาพ คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรกลางในการกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ อนุมัติแผนงานและงบประมาณ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้การตัดสินใจและการวางนโยบายสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของตลาดและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด การอนุมัติหลักการงบประมาณกว่า 5,164 ล้านบาทสำหรับ 54 โครงการในปี 2569 คือหนึ่งในผลงานที่ชัดเจนที่สุดซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทเชิงรุกในการผลักดันวาระซอฟต์พาวเวอร์ให้เกิดขึ้นจริง
เจาะลึกงบประมาณซอฟต์พาวเวอร์ปี 2569: จัดสรรอย่างไร ใช้อะไรบ้าง?

การจัดสรรงบประมาณปี 2569 ถือเป็นเครื่องชี้วัดที่สำคัญที่สุดที่สะท้อนให้เห็นถึงลำดับความสำคัญและทิศทางของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไทย โดยมีการวางแผนอย่างเป็นระบบผ่านแผนงานยุทธศาสตร์และโครงการที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างทั่วถึง
กรอบงบประมาณรวมและจำนวนโครงการ
ข้อมูลจากร่างงบประมาณปี 2569 ได้ระบุถึงการจัดตั้ง “แผนงานยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์” ซึ่งประกอบด้วย 32 โครงการหลัก และอีก 3 โครงการที่เกี่ยวข้อง รวมเป็น 35 โครงการ โดยมีกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 3,983 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในการประชุมของคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้มีการเห็นชอบในหลักการสำหรับแผนงานที่ใหญ่ขึ้น ครอบคลุมถึง 54 โครงการใน 11 สาขาอุตสาหกรรม ด้วยวงเงินรวมประมาณ 5,164 ล้านบาท
ความแตกต่างของตัวเลขทั้งสองชุดนี้สะท้อนถึงกระบวนการพิจารณาและอนุมัติงบประมาณ ซึ่งแผนงานที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ จะต้องถูกนำเสนอต่อสำนักงบประมาณและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเพื่อพิจารณาในลำดับถัดไป แต่กรอบงบประมาณที่สูงขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเดิมในการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์อย่างเต็มรูปแบบ
การกระจายงบประมาณสู่ 11 อุตสาหกรรมเป้าหมาย
งบประมาณที่จัดสรรจะถูกกระจายไปยัง 11 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งประกอบด้วยสาขาต่างๆ ที่มีศักยภาพสูง เช่น:
- ภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์
- อาหาร
- แฟชั่น
- ท่องเที่ยว
- เกม
- ดนตรี
- หนังสือ
- ศิลปะ
- การออกแบบ
- กีฬา (โดยเฉพาะมวยไทย)
- เทศกาลและอีเวนต์
เป้าหมายหลักของการกระจายงบประมาณในลักษณะนี้ คือการยกระดับทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Upskill & Reskill), ส่งเสริมการผลิตผลงานที่มีคุณภาพระดับสากล, และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจในแต่ละสาขา เพื่อให้ทุกอุตสาหกรรมสามารถเติบโตไปพร้อมกันและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่องโครงการเด่นและประเภทกิจกรรมที่ได้รับงบประมาณสูงสุด
เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของงบประมาณ จะเห็นได้ว่ามีการให้น้ำหนักกับกิจกรรมบางประเภทเป็นพิเศษ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการสร้างผลกระทบในวงกว้างและรวดเร็ว
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์: ผู้นำการขับเคลื่อน
อุตสาหกรรมคอนเทนต์ภาพและเสียงได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญ โดยโครงการที่โดดเด่นที่สุดคือ “โครงการสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์” ซึ่งได้รับงบประมาณสูงถึง 545.2 ล้านบาท เหตุผลที่อุตสาหกรรมนี้ได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรกเนื่องจากเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วโลกได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด การสร้างสรรค์ผลงานที่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติเพียงเรื่องเดียว สามารถสร้างแรงกระเพื่อมมหาศาล ทั้งในแง่ของการสร้างการรับรู้ต่อวัฒนธรรมไทย, การดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางตามรอย, และการสร้างความต้องการในสินค้าและบริการอื่นๆ ที่ปรากฏในสื่อนั้นๆ งบประมาณส่วนนี้จะถูกใช้เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาบทไปจนถึงการผลิตและการตลาดในต่างประเทศ
พลังของอีเวนต์และเทศกาล: สร้างการรับรู้และดึงดูดเม็ดเงิน
กิจกรรมประเภทอีเวนต์ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายนี้ โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณรวมสูงถึง 1,244 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 23.92% ของงบประมาณรวมที่ผ่านความเห็นชอบในหลักการ งบประมาณส่วนนี้ครอบคลุมกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่งานแถลงข่าวเพื่อสร้างการรับรู้, การจัดเทศกาลระดับนานาชาติ (เช่น เทศกาลภาพยนตร์, เทศกาลดนตรี, เทศกาลอาหาร), การจัดการแข่งขัน (เช่น การแข่งขันมวยไทย, การแข่งขันออกแบบ), ไปจนถึงงานแสดงสินค้า (Trade Show) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้พบปะกับผู้ซื้อจากต่างประเทศ กิจกรรมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่คึกคัก, ดึงดูดนักท่องเที่ยวและสื่อมวลชน, และเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยสู่สายตาชาวโลก
การสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานและการประกวด
งบประมาณอีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือการจัดสรรเงินประมาณ 504 ล้านบาท เพื่อใช้ในการผลิตชิ้นงานต้นแบบและจัดการประกวดในสาขาต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ และค้นหาบุคลากรที่มีความสามารถเข้าสู่วงการ การสนับสนุนนี้จะเน้นไปที่การสร้างผลิตภัณฑ์ซอฟต์พาวเวอร์ที่จับต้องได้ เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์แฟชั่น, การพัฒนาเกมต้นแบบ, หรือการสร้างสรรค์เมนูอาหารใหม่ๆ ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่ในหมวดนี้ยังคงมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละครและซีรีส์ ตามมาด้วยการท่องเที่ยว, แฟชั่น, เกม และอาหาร ตามลำดับ การจัดประกวดนอกจากจะเป็นการเฟ้นหาผู้มีความสามารถแล้ว ยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยสร้างกระแสและความน่าสนใจให้กับอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี
| ประเภทกิจกรรม | งบประมาณโดยประมาณ (ล้านบาท) | อุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก |
|---|---|---|
| การจัดอีเวนต์และเทศกาล | 1,244 | ทุกสาขา โดยเฉพาะท่องเที่ยว, อาหาร, กีฬา, เทศกาล |
| สนับสนุนการผลิตภาพยนตร์/ละคร/ซีรีส์ | 545.2 | ภาพยนตร์, ละคร และซีรีส์ |
| การผลิตชิ้นงานและการประกวด | 504 | ภาพยนตร์, ท่องเที่ยว, แฟชั่น, เกม, อาหาร |
| โครงการอื่นๆ (เช่น พัฒนาทักษะ, วิจัย) | ~3,000 | ครอบคลุมทุก 11 อุตสาหกรรม |
กลไกการขับเคลื่อนใหม่: เอกชนนำ รัฐบาลสนับสนุน
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ปี 2569 คือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากการที่ภาครัฐเป็นผู้ริเริ่มและดำเนินการเองทั้งหมด มาสู่โมเดล “เอกชนนำ รัฐบาลสนับสนุน” ซึ่งคาดว่าจะช่วยปลดล็อกศักยภาพของอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการจัดสรรงบประมาณ
ในอดีต การของบประมาณสำหรับโครงการภาครัฐมักเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและล่าช้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ต้องการความรวดเร็วและยืดหยุ่นสูง แนวทางใหม่นี้ได้เปลี่ยนให้คณะกรรมการและอนุกรรมการในแต่ละสาขา ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการตัวจริงในอุตสาหกรรมนั้นๆ เป็นผู้พิจารณาและกลั่นกรองโครงการจากภาคเอกชนโดยตรง วิธีการนี้ช่วยให้โครงการที่ได้รับการสนับสนุนเป็นโครงการที่มีศักยภาพสูงและตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นโครงการที่เกิดจากมุมมองของภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว
“การเปลี่ยนรูปแบบให้เอกชนเป็นผู้นำ และรัฐบาลทำหน้าที่สนับสนุนผ่านคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ประโยชน์ของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
โมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership) ในรูปแบบใหม่นี้มีข้อดีหลายประการ ประการแรกคือ ความเร็วและความคล่องตัว ภาคเอกชนสามารถปรับตัวตามกระแสของตลาดโลกได้รวดเร็วกว่าภาครัฐ ประการที่สองคือ ความเชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมย่อมมีความเข้าใจในธุรกิจของตนเองดีที่สุด การให้พวกเขามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางจึงเป็นการใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด และประการสุดท้ายคือ การลดความเสี่ยง ภาครัฐสามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนในโครงการที่ไม่มีศักยภาพ โดยอาศัยความสามารถในการประเมินของภาคเอกชนเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจ ทำให้การใช้งบประมาณภาษีของประชาชนเป็นไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
บทสรุปและทิศทางอนาคตของซอฟต์พาวเวอร์ไทย
โดยสรุป การจัดสรรงบประมาณและแผนงานสำหรับ ซอฟต์พาวเวอร์ไทยในปี 2569 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและทิศทางที่ชัดเจนของภาครัฐในการยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ด้วยงบประมาณรวมกว่า 3,900-5,100 ล้านบาท ที่มุ่งเน้นไปยัง 11 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมหลักที่มีผลกระทบสูง เช่น การสนับสนุนการผลิตคอนเทนต์ การจัดอีเวนต์ระดับนานาชาติ และการส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
การปรับเปลี่ยนกลไกการทำงานมาสู่รูปแบบที่เอกชนเป็นผู้นำและรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทำให้โครงการต่างๆ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกได้อย่างทันท่วงที ทิศทางในอนาคตจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการนำงบประมาณและแผนงานเหล่านี้ไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างแข็งขันจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการ ศิลปิน และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อร่วมกันผลักดันให้สินทรัพย์ทางวัฒนธรรมของไทยกลายเป็นพลังทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนบนเวทีโลกต่อไป ผู้ที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ควรติดตามความคืบหน้าและเตรียมพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อย่างเต็มที่

