นายกฯ ไทยขึ้นเวที UN! สรุปประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตา
การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN General Assembly หรือ UNGA) ถือเป็นเวทีสำคัญที่ผู้นำจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อหารือถึงประเด็นท้าทายระดับสากล การที่ นายกฯ ไทยขึ้นเวที UN! สรุปประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตา จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งในการแสดงวิสัยทัศน์และจุดยืนของประเทศต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะในการประชุม UNGA ครั้งที่ 80 ที่กำลังจะมาถึงในปี 2568 ซึ่งเป็นโอกาสในการนำเสนอนโยบายที่เชื่อมโยงแผนพัฒนาระดับชาติเข้ากับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก
ภาพรวมและนัยสำคัญของการประชุม
- การเชื่อมโยงนโยบายชาติสู่สากล: การนำเสนอความสอดคล้องระหว่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
- การรับมือวิกฤติโลกร่วมกัน: การเน้นย้ำถึงความจำเป็นของความร่วมมือแบบพหุภาคี เพื่อจัดการกับปัญหาเร่งด่วน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน และความเหลื่อมล้ำทางสังคม
- การส่งเสริมบทบาทไทยในเวทีโลก: การแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ผ่านการสมัครเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC)
- การสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ: การกล่าวถ้อยแถลงของผู้นำเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและพันธมิตรระหว่างประเทศ สะท้อนถึงเสถียรภาพและทิศทางการพัฒนาของประเทศในอนาคต
การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือ UNGA เป็นหนึ่งในองค์กรหลัก 6 แห่งของสหประชาชาติ และเป็นเวทีเดียวที่ประเทศสมาชิกทั้ง 193 ประเทศมีสิทธิออกเสียงเท่าเทียมกัน การประชุมนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นพื้นที่กลางสำหรับผู้นำโลกในการอภิปรายและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ตั้งแต่ประเด็นสันติภาพและความมั่นคง ไปจนถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนและสิทธิมนุษยชน
สำหรับประเทศไทย การเข้าร่วมประชุมและกล่าวถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ไม่ใช่เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประเทศสมาชิก แต่ยังเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ในการสื่อสารทิศทางนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ต่อประชาคมโลก การปรากฏตัวบนเวทีนี้ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และบทบาทของไทยในฐานะหุ้นส่วนที่แข็งขันและมีความรับผิดชอบต่อประเด็นปัญหาระดับโลก การกล่าวถ้อยแถลงที่ผ่านมาของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในการประชุม UNGA ครั้งที่ 78 ได้วางรากฐานและส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงแนวทางที่ประเทศไทยจะดำเนินต่อไป ซึ่งคาดว่าจะถูกสานต่อและขยายผลในการประชุม UNGA 80 ในปี 2568
ถ้อยแถลงของผู้นำไทยบนเวที UN ไม่ได้เป็นเพียงสุนทรพจน์ แต่คือการประกาศคำมั่นสัญญาและความมุ่งมั่นของประเทศในการร่วมขับเคลื่อนวาระการพัฒนาระดับโลกให้บรรลุผลสำเร็จ
การที่ผู้นำประเทศเลือกที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมด้วยตนเอง ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความสำคัญที่รัฐบาลมอบให้กับความร่วมมือแบบพหุภาคี ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวจากโรคระบาด วิกฤติเศรษฐกิจโลก หรือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง
นายกฯ ไทยขึ้นเวที UN! สรุปประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตา ในมิติต่างๆ

ประเด็นสำคัญที่นายกรัฐมนตรีไทยหยิบยกขึ้นมากล่าวบนเวทีสหประชาชาติสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุม ทั้งการพัฒนาภายในประเทศและการมีส่วนร่วมในระดับนานาชาติ โดยมีหัวใจหลักคือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลักที่ทั่วโลกให้ความสนใจ
การบูรณาการเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
หัวข้อสำคัญที่สุดประการหนึ่งคือความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ทั้ง 17 ข้อ มาเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนประเทศ โดยมีการเชื่อมโยงอย่างเป็นรูปธรรมกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) การบูรณาการนี้เป็นการยืนยันว่าทิศทางการพัฒนาของไทยสอดคล้องกับวาระการพัฒนา 2030 ของสหประชาชาติ
การดำเนินการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการประกาศนโยบาย แต่ยังรวมถึงการปรับแผนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริงภายในปี 2030 โดยเน้นย้ำใน 3 มิติสำคัญ:
- การลดความเหลื่อมล้ำ: มุ่งเน้นการกระจายโอกาสและการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียม ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและลดช่องว่างระหว่างคนในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับ SDG 1 (No Poverty) และ SDG 10 (Reduced Inequalities)
- การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสุขภาพที่ดี: ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้มีคุณภาพและครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งตอบโจทย์ SDG 3 (Good Health and Well-being)
- การดูแลสิ่งแวดล้อม: แสดงเจตนารมณ์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของ SDG 13 (Climate Action) และเป้าหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วิกฤติสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ประเทศไทยในฐานะประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งจากปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการเข้าร่วมการประชุม Climate Ambition Summit ซึ่งเป็นเวทีสำหรับประเทศที่มีความมุ่งมั่นอย่างสูงในการแก้ไขปัญหานี้
ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนทั่วโลกต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อจัดการกับวิกฤตินี้ ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายที่ท้าทายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Emissions) ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในด้านเทคโนโลยี การลงทุน และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว การเน้นย้ำประเด็นนี้บนเวที UN จึงเป็นการเรียกร้องให้เกิดการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมจากทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วที่มีศักยภาพสูงกว่า
สิทธิมนุษยชนและบทบาทในเวทีโลก
อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของการเยือนสหรัฐฯ ในครั้งนี้ คือการรณรงค์หาเสียงเพื่อที่นั่งใน คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council: HRC) วาระปี 2025-2027 การสมัครเข้าเป็นสมาชิก HRC สะท้อนถึงความปรารถนาของไทยที่จะมีบทบาทนำในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในระดับสากล
เพื่อสนับสนุนการหาเสียงดังกล่าว รัฐบาลได้นำเสนอนโยบายภายในประเทศที่สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากล เช่น การเสริมสร้างหลักนิติธรรม (Rule of Law) การเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ และการส่งเสริมความยุติธรรมและความเสมอภาคในสังคม การได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก HRC ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐานและกลไกด้านสิทธิมนุษยชนของโลกอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการเข้าร่วมการประชุมและหารือทวิภาคีหลายครั้งเพื่อสร้างการสนับสนุนจากนานาชาติ
| ประเด็นนโยบายหลัก | เป้าหมายภายในประเทศ | เป้าหมาย SDGs ที่เกี่ยวข้อง |
|---|---|---|
| เศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ | ยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความยากจน และสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาส | SDG 1 (No Poverty), SDG 8 (Decent Work and Economic Growth), SDG 10 (Reduced Inequalities) |
| สิทธิมนุษยชนและสุขภาพ | ลงทุนในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเสริมสร้างหลักนิติธรรมและความยุติธรรม | SDG 3 (Good Health and Well-being), SDG 16 (Peace, Justice and Strong Institutions) |
| สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ | ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และร่วมมือกับนานาชาติเพื่อรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ | SDG 7 (Affordable and Clean Energy), SDG 13 (Climate Action), SDG 15 (Life on Land) |
| ธรรมาภิบาลและความร่วมมือ | สร้างความโปร่งใสในภาครัฐ และส่งเสริมความร่วมมือแบบพหุภาคีเพื่อสันติภาพและการพัฒนา | SDG 16 (Peace, Justice and Strong Institutions), SDG 17 (Partnerships for the Goals) |
วิสัยทัศน์ด้านนโยบายภายในประเทศที่เชื่อมโยงกับเวทีสากล
นอกจากการประกาศเจตนารมณ์ในประเด็นระดับโลกแล้ว ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรียังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาระบบภายในประเทศ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีแผนการที่เป็นรูปธรรมเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และนโยบายเหล่านี้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่ประชาคมโลกให้การยอมรับ
การยกระดับคุณภาพชีวิตและหลักประกันสุขภาพ
หนึ่งในพันธสัญญาที่สำคัญคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคน รัฐบาลได้เน้นย้ำถึงการเพิ่มการลงทุนเพื่อพัฒนา หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage) ให้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับทุกคนในสังคม โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นนโยบายด้านสาธารณสุข แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชน การนำเสนอนโยบายนี้บนเวทีโลกเป็นการตอกย้ำว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน
การสร้างความเข้มแข็งให้หลักนิติธรรมและความโปร่งใส
ความเชื่อมั่นจากทั้งในและต่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุน รัฐบาลจึงได้ประกาศความมุ่งมั่นในการสร้างความเข้มแข็งให้หลักนิติธรรม (Rule of Law) ซึ่งหมายถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ควบคู่ไปกับการเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานของรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ มาตรการเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรม การประกาศเป้าหมายนี้ในเวทีสหประชาชาติเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกไปยังนักลงทุนและพันธมิตรระหว่างประเทศว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นประเทศที่มีธรรมาภิบาลที่ดีและน่าลงทุน
ก้าวต่อไปของประเทศไทยบนเวทีสหประชาชาติ
โดยสรุป การที่ นายกฯ ไทยขึ้นเวที UN! สรุปประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตา ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงทิศทางใหม่ของประเทศไทยในการผสานนโยบายภายในประเทศเข้ากับเป้าหมายการพัฒนาระดับสากลอย่างแยกไม่ออก การนำเสนอวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน, การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการแสดงบทบาทนำและสร้างสรรค์บนเวทีโลก
การเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติไม่ได้เป็นเพียงแค่การกล่าวถ้อยแถลง แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ, สังคม, และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว สำหรับการประชุม UNGA80 ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 และการประชุม UN ในอนาคต ประชาคมโลกต่างจับตามองว่าประเทศไทยจะสามารถผลักดันวาระเหล่านี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างไร การติดตามความคืบหน้าและบทบาทของไทยในเวทีโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อทำความเข้าใจทิศทางการพัฒนาของประเทศและความสัมพันธ์กับประชาคมระหว่างประเทศต่อไป

