Shopping cart

ไข้หวัดใหญ่ระบาด! 4 สายพันธุ์น่ากลัว-ฉีดวัคซีนฟรีที่ไหน?

สารบัญ

สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลกและในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวที่เอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส การทำความเข้าใจสายพันธุ์ที่ระบาดและมาตรการป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

สรุปสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ที่ต้องจับตา

  • สายพันธุ์ที่ระบาดในปี 2568: องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้คาดการณ์สายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่น่าจะระบาดในภูมิภาคซีกโลกใต้ประจำปี 2568 ประกอบด้วยสายพันธุ์ A สองชนิด และสายพันธุ์ B สองชนิด ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการผลิตวัคซีน
  • ความสำคัญของวัคซีน: การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • บริการฉีดวัคซีนฟรี: หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกรมควบคุมโรคและกรุงเทพมหานคร ได้จัดเตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีสำหรับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและควบคุมการระบาดในวงกว้าง
  • ช่วงเวลาที่เหมาะสม: การเข้ารับวัคซีนก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูระบาดหลัก (ปลายฝนต้นหนาว) จะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันท่วงที เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ดียิ่งขึ้น

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวของทุกปี สถานการณ์ ไข้หวัดใหญ่ระบาด! 4 สายพันธุ์น่ากลัว-ฉีดวัคซีนฟรีที่ไหน? กลายเป็นประเด็นสำคัญด้านสาธารณสุขที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความชื้นสูงเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ง่ายขึ้น การเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสายพันธุ์ที่ระบาด รวมถึงการเข้าถึงมาตรการป้องกันอย่างการฉีดวัคซีน จึงเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง เพื่อลดผลกระทบจากการระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในวงกว้าง

ทำความเข้าใจสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ระบาดปี 2568

ทำความเข้าใจสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ระบาดปี 2568

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ย่อยอยู่เสมอ ทำให้เกิดการระบาดเป็นฤดูกาลในแต่ละปี สำหรับปี พ.ศ. 2568 หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงกรมควบคุมโรคของประเทศไทย ได้ติดตามและเฝ้าระวังการระบาดอย่างใกล้ชิด โดยอ้างอิงข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อคาดการณ์สายพันธุ์หลักที่จะเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเตรียมมาตรการรับมือที่เหมาะสม

4 สายพันธุ์หลักที่ต้องเฝ้าระวัง

ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกสำหรับภูมิภาคซีกโลกใต้ในปี 2568 วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ถูกพัฒนาให้ครอบคลุม 4 สายพันธุ์หลักที่มีแนวโน้มจะระบาดมากที่สุด ซึ่งประกอบไปด้วยไวรัส 2 ตระกูลใหญ่ คือ สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B ดังนี้

  1. สายพันธุ์ A (H1N1) Victoria: เป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A ที่เคยเป็นสาเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลกในปี 2009 ยังคงมีการหมุนเวียนและก่อโรคอย่างต่อเนื่อง การมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นี้จึงยังคงมีความสำคัญ
  2. สายพันธุ์ A (H3N2) Croatia: อีกหนึ่งสายพันธุ์ย่อยของไวรัสชนิด A ที่มักก่อให้เกิดอาการรุนแรงในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของไวรัสกลุ่มนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้ต้องมีการปรับปรุงวัคซีนให้ทันต่อสถานการณ์เสมอ
  3. สายพันธุ์ B (Victoria) Austria: เป็นหนึ่งในสองเชื้อสายหลักของไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด B ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้เช่นเดียวกับสายพันธุ์ A และเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยในเด็กวัยเรียน
  4. สายพันธุ์ B (Yamagata) Phuket: เป็นเชื้อสายที่สองของไวรัสชนิด B แม้ในบางปีอาจพบการระบาดน้อยกว่า แต่การป้องกันด้วยวัคซีนที่ครอบคลุมยังคงจำเป็นเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อให้ได้มากที่สุด

ลักษณะทางระบาดวิทยาของแต่ละสายพันธุ์

ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H1N1 และ H3N2) เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีศักยภาพในการก่อให้เกิดการระบาดในวงกว้าง (Epidemic) และการระบาดใหญ่ทั่วโลก (Pandemic) เนื่องจากความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ในทางกลับกัน ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (Victoria และ Yamagata) มักก่อให้เกิดการระบาดในระดับภูมิภาคหรือท้องถิ่น และมีอัตราการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่ช้ากว่า อย่างไรก็ตาม เชื้อสายพันธุ์ B ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน การเฝ้าระวังทั้ง 4 สายพันธุ์จึงเป็นมาตรฐานสากลในการควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ในปัจจุบัน

อาการและการวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่

การแยกโรคไข้หวัดใหญ่ออกจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดธรรมดา มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลรักษาที่ถูกต้องและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง

สัญญาณเตือนและอาการที่พบบ่อย

อาการไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา ผู้ป่วยมักสามารถระบุช่วงเวลาที่เริ่มป่วยได้ชัดเจน อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ไข้สูงฉับพลัน: อุณหภูมิร่างกายมักสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง: เป็นอาการเด่นชัดที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียมาก ไม่สามารถทำกิจกรรมปกติได้
  • ปวดศีรษะ: มักมีอาการปวดบริเวณหน้าผากและเบ้าตา
  • ไอแห้งและเจ็บคอ: อาการไอมักเป็นลักษณะไอแห้ง ไม่มีเสมหะในช่วงแรก และอาจรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
  • อ่อนเพลีย: ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก และอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าร่างกายจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ

ในเด็กเล็ก อาการอาจแตกต่างออกไป เช่น ซึม ไม่ยอมดื่มนมหรือรับประทานอาหาร หรือมีอาการชักเพราะไข้สูง หากพบอาการรุนแรง เช่น หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์ทันที

ความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดา

แม้จะมีอาการบางอย่างคล้ายคลึงกัน แต่ความรุนแรงและลักษณะอาการของไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถสรุปเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบอาการระหว่างไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดา เพื่อช่วยในการสังเกตอาการเบื้องต้น
อาการ ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold)
การเริ่มมีอาการ เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน รวดเร็ว ค่อยเป็นค่อยไป
ไข้ ไข้สูง (38-40°C) พบได้บ่อย มีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้
ปวดศีรษะ รุนแรงและพบได้บ่อย พบน้อย หรือปวดไม่รุนแรง
ปวดเมื่อยตามตัว รุนแรงและเป็นอาการเด่น ปวดเมื่อยเล็กน้อย
อ่อนเพลีย อ่อนเพลียมาก อาจนาน 2-3 สัปดาห์ อ่อนเพลียเล็กน้อย
อาการคัดจมูก/น้ำมูกไหล อาจมีบ้าง แต่ไม่ใช่อาการหลัก เป็นอาการเด่นและพบได้บ่อย
ไอ/เจ็บคอ มักเป็นไอแห้ง และเจ็บคอมาก ไอมีเสมหะ และระคายเคืองคอ
ภาวะแทรกซ้อน อาจเกิดภาวะรุนแรง เช่น ปอดบวม, หลอดลมอักเสบ พบน้อยมาก เช่น ไซนัสอักเสบ

มาตรการป้องกัน: วัคซีนคือคำตอบสำคัญ

ในปัจจุบัน วิธีการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับในระดับสากลคือการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเชื้อไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา การฉีดวัคซีนเปรียบเสมือนการเตรียมความพร้อมให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายรู้จักและสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้น ๆ ได้

ประสิทธิภาพของวัคซีน 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent Vaccine)

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคือ “วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์” (Quadrivalent Influenza Vaccine) ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้ง 4 สายพันธุ์ที่คาดการณ์โดยองค์การอนามัยโลก ได้แก่ สายพันธุ์ A/H1N1, A/H3N2 และสายพันธุ์ B สองเชื้อสาย (Victoria และ Yamagata) การฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้การป้องกันที่ครอบคลุมมากกว่าวัคซีนชนิด 3 สายพันธุ์ในอดีต ประสิทธิภาพของวัคซีนอาจแตกต่างกันไปในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับความใกล้เคียงของสายพันธุ์ในวัคซีนกับสายพันธุ์ที่ระบาดจริง แต่โดยทั่วไปแล้ว วัคซีนสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ 40-60% และที่สำคัญคือ สามารถลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการรับวัคซีน

เพื่อให้ร่างกายมีเวลาสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเต็มที่ก่อนเข้าสู่ช่วงระบาดหลัก แนะนำให้เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ล่วงหน้าประมาณ 2-4 สัปดาห์ สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีช่วงการระบาดหลัก 2 ช่วง คือ

  • ช่วงฤดูฝน (พฤษภาคม – ตุลาคม): เป็นช่วงระบาดใหญ่ของปี ควรเริ่มฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
  • ช่วงฤดูหนาว (มกราคม – มีนาคม): อาจมีการระบาดระลอกเล็ก ๆ เกิดขึ้นได้

ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฉีดวัคซีนคือระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมของทุกปี เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันครอบคลุมตลอดช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงสุด

ความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีความปลอดภัยสูงและผ่านการรับรองจากหน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลก ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 1-2 วัน ได้แก่:

  • อาการเฉพาะที่: ปวด บวม หรือแดง บริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกาย
  • อาการทั่วไป: อาจมีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะ หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังสร้างภูมิคุ้มกัน

ผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น อาการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) พบได้น้อยมาก โดยทั่วไปแล้ว ประโยชน์ที่ได้จากการฉีดวัคซีนในการป้องกันโรคร้ายแรงมีมากกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างมาก

ข้อมูลการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีทั่วประเทศ

เพื่อเป็นการส่งเสริมการเข้าถึงบริการสุขภาพและควบคุมการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ภาครัฐได้มีนโยบายให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรีแก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงเป็นประจำทุกปี โดยสามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลในสังกัดของรัฐทั่วประเทศ

ใครคือ 7 กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีนฟรีก่อน?

เนื่องจากวัคซีนมีจำนวนจำกัด การให้บริการฟรีจึงมุ่งเน้นไปที่กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ โดยกรุงเทพมหานครและกรมควบคุมโรคได้กำหนด 7 กลุ่มเสี่ยงหลักที่ควรได้รับวัคซีนฟรีก่อน ได้แก่:

  1. หญิงตั้งครรภ์: ที่มีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป เพื่อป้องกันทั้งมารดาและทารก
  2. เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี: ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
  3. ผู้มีโรคเรื้อรัง: เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, หอบหืด, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคไตวาย, ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และโรคเบาหวาน
  4. บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป: หรือกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเริ่มเสื่อมถอย
  5. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้: ซึ่งเสี่ยงต่อการสำลักและเกิดปอดอักเสบได้ง่าย
  6. โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง: รวมถึงผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ
  7. ผู้ที่มีภาวะอ้วน: คือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป

นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขก็เป็นอีกกลุ่มที่มีความสำคัญและมักได้รับการพิจารณาให้ฉีดวัคซีนเป็นลำดับต้น ๆ เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่

สถานที่และกำหนดการให้บริการฉีดวัคซีนฟรี

สำหรับปี 2568 ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีได้ตามสถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน เช่น โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร

  • กำหนดการหลัก: โดยทั่วไป โครงการฉีดวัคซีนฟรีจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด
  • สถานที่: สามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้จากประกาศของกรมควบคุมโรค หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่

สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงแต่ต้องการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ก็สามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลเอกชนและคลินิกชั้นนำทั่วไป โดยมีค่าใช้จ่ายตามที่แต่ละสถานพยาบาลกำหนด

แนวทางการดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยง

นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว การดูแลสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาด

สุขอนามัยที่ดี: เกราะป้องกันพื้นฐาน

  • ล้างมือบ่อย ๆ: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 70% ขึ้นไป โดยเฉพาะหลังการไอ จาม หรือสัมผัสพื้นผิวสาธารณะ
  • สวมหน้ากากอนามัย: เมื่อต้องเข้าไปในพื้นที่แออัด หรือเมื่อมีอาการป่วย เพื่อป้องกันการรับและแพร่กระจายเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: ไม่ใช้มือที่ยังไม่ได้ล้างสัมผัสบริเวณ ตา จมูก ปาก เพราะเป็นช่องทางที่เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายได้
  • รักษาระยะห่างทางสังคม: เว้นระยะห่างจากผู้ที่มีอาการป่วย เช่น ไอ หรือจาม
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ข้อควรปฏิบัติเมื่อเริ่มมีอาการป่วย

หากมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรปฏิบัติตนดังนี้:

  1. หยุดเรียนหรือหยุดงาน: เพื่อพักผ่อนและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น ควรพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านอย่างน้อย 3-5 วัน หรือจนกว่าไข้จะลดลงเป็นปกติแล้ว 24 ชั่วโมง
  2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและป้องกันภาวะขาดน้ำ
  3. พบแพทย์: หากอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือมีไข้สูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการให้ยาต้านไวรัส

บทสรุป: การป้องกันดีกว่าการรักษา

สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 เป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะการระบาดของ 4 สายพันธุ์หลักที่คาดการณ์โดยองค์การอนามัยโลก การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของโรค ความแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดา และมาตรการป้องกัน ถือเป็นความรู้พื้นฐานที่สำคัญในการดูแลสุขภาพช่วงหน้าฝนและหน้าหน

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031