Shopping cart

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2) ระบาดหนัก เตือนกลุ่มเสี่ยง

สารบัญ

สถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นประเด็นด้านสาธารณสุขที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่มีรายงานการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ชนิดย่อย H3N2 ซึ่งมีความรุนแรงและสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว สร้างความกังวลต่อประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ H3N2

  • การระบาดในปี 2568: ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2) เป็นสายพันธุ์หลักที่พบการระบาดสูงขึ้นในปี 2568 มีความสามารถในการแพร่กระจายได้ง่ายและรวดเร็ว
  • ความรุนแรงของโรค: เชื้อ H3N2 ก่อให้เกิดอาการป่วยในระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเสี่ยง
  • กลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง: มีประชากร 7 กลุ่มหลักที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตหากติดเชื้อ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
  • การป้องกันด้วยวัคซีน: การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยวัคซีนสำหรับปี 2568 ได้รับการพัฒนาให้ครอบคลุมเชื้อสายพันธุ์ A (H3N2)
  • การสังเกตอาการ: อาการโดยทั่วไปจะปรากฏหลังได้รับเชื้อ 1–3 วัน ประกอบด้วยไข้สูง ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ซึ่งจำเป็นต้องแยกจากโรคหวัดทั่วไป

สถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2) ในปี 2568

จากข้อมูลเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค พบว่าสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2) ระบาดหนัก เตือนกลุ่มเสี่ยงให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในปี 2568 แนวโน้มผู้ป่วยมีจำนวนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า การระบาดของสายพันธุ์นี้ก่อให้เกิดความท้าทายต่อระบบสาธารณสุข เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมได้บ่อยครั้ง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันที่เคยมีอาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

ความสำคัญของการเฝ้าระวังในปีนี้อยู่ที่ความรุนแรงของเชื้อที่สูงกว่าสายพันธุ์อื่นบางชนิด ทำให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง มีโอกาสเกิดภาวะปอดอักเสบและระบบหายใจล้มเหลวได้ง่ายขึ้น หน่วยงานสาธารณสุขจึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการป้องกันตนเอง การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และการเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต

ทำความรู้จักเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2

ทำความรู้จักเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ H3N2

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ แบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก คือ A, B และ C โดยชนิด A เป็นชนิดที่พบการระบาดรุนแรงและกว้างขวางที่สุดในมนุษย์และสัตว์หลายชนิด สำหรับสายพันธุ์ A (H3N2) เป็นชนิดย่อยของไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A ที่มีการระบาดในมนุษย์มาอย่างยาวนาน และยังคงเป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามองอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะเฉพาะของเชื้อ H3N2

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2) มีลักษณะเด่นคือความสามารถในการกลายพันธุ์หรือเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมบนผิวของไวรัสได้ง่าย ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์จดจำและป้องกันเชื้อได้ยากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการระบาดเป็นวงกว้างได้ในแต่ละปี และเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีการปรับปรุงสูตรของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปีเพื่อให้สอดคล้องกับสายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ เชื้อ H3N2 มักมีความสัมพันธ์กับอาการป่วยที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น เช่น H1N1 ในบางฤดูกาล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก

ช่องทางการแพร่กระจายของเชื้อ

การแพร่กระจายของเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2 เกิดขึ้นได้หลายช่องทาง โดยช่องทางหลักคือผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม หรือพูดคุยของผู้ติดเชื้อ ซึ่งสามารถลอยอยู่ในอากาศและเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของผู้อื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้โดยตรง นอกจากนี้ การแพร่เชื้อยังสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการสัมผัสทางอ้อม

  • การติดต่อจากคนสู่คน (Human-to-human transmission): เป็นช่องทางหลักของการระบาด ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ ไปจนถึงประมาณ 5–7 วันหลังเริ่มมีอาการ
  • การสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อน (Contact transmission): เชื้อไวรัสสามารถอยู่บนพื้นผิววัตถุต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได โทรศัพท์ ได้นานหลายชั่วโมง หากสัมผัสพื้นผิวเหล่านี้แล้วนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก หรือปาก ก็สามารถติดเชื้อได้
  • การติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic transmission): แม้จะพบได้ไม่บ่อยเท่าการติดต่อระหว่างคนสู่คน แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สามารถพบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสุกรและสัตว์ปีก การสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อโดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสมอาจเป็นแหล่งที่มาของการติดเชื้อในมนุษย์ได้เช่นกัน

อาการและการดำเนินโรค

การติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2) จะทำให้เกิดอาการป่วยเฉียบพลัน ซึ่งมักจะแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1 ถึง 3 วัน ความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอายุ สุขภาพโดยรวม และประวัติการได้รับวัคซีน

อาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต

อาการของไข้หวัดใหญ่ H3N2 มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป อาการที่พบบ่อยและเป็นลักษณะเด่น ได้แก่:

  • ไข้สูงเฉียบพลัน: มักมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง: เป็นอาการที่เด่นชัดมาก ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลัง แขน และขา
  • ปวดศีรษะ: อาการปวดศีรษะมักมีความรุนแรงและอาจปวดบริเวณกระบอกตาร่วมด้วย
  • อาการทางระบบทางเดินหายใจ: ไอแห้งๆ เจ็บคอ มีน้ำมูกไหล หรือคัดจมูก
  • อ่อนเพลีย: ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียและไม่สดชื่นอย่างมาก อาจต้องนอนพักเป็นเวลาหลายวัน

ในเด็กเล็ก อาการอาจแตกต่างออกไป โดยอาจมีอาการซึม เบื่ออาหาร อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย ซึ่งผู้ปกครองควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากไข้หวัดใหญ่ได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อ H3N2 อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ปอดอักเสบหรือปอดบวม (Pneumonia): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและอันตรายที่สุด อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสโดยตรง หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
  • หลอดลมอักเสบ (Bronchitis): การอักเสบของหลอดลม ทำให้มีอาการไอและมีเสมหะรุนแรง
  • การติดเชื้อในหูและไซนัส: พบได้บ่อยในเด็ก
  • ทำให้อาการของโรคเรื้อรังแย่ลง: เช่น ผู้ป่วยโรคหอบหืดอาจมีอาการกำเริบอย่างรุนแรง หรือผู้ป่วยโรคหัวใจอาจเกิดภาวะหัวใจวายได้
  • ภาวะสมองอักเสบ (Encephalitis) หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยแต่มีความรุนแรงสูงมาก

การตระหนักถึงอาการและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการน่าสงสัย โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

กลุ่มเสี่ยงสูง 7 กลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

กรมควบคุมโรคได้ระบุประชากร 7 กลุ่มหลักที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ H3N2 กลุ่มเหล่านี้ควรได้รับการดูแลและป้องกันเป็นพิเศษ รวมถึงพิจารณาเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด

ตารางสรุปกลุ่มเสี่ยงสูง 7 กลุ่ม และเหตุผลความเสี่ยงต่อไข้หวัดใหญ่ H3N2
กลุ่มเสี่ยง รายละเอียดและเหตุผลความเสี่ยง
1. สตรีตั้งครรภ์และหลังคลอด การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจ และปอดในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยรุนแรง รวมถึงหญิงที่เพิ่งคลอดบุตรไม่เกิน 2 สัปดาห์
2. เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวมและภาวะขาดน้ำ
3. ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ระบบภูมิคุ้มกันที่เสื่อมถอยตามวัย ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ไม่ดีเท่าเดิม และมักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย
4. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคหัวใจ, ไตวาย, เบาหวาน, หลอดเลือดสมอง และผู้ป่วยมะเร็งที่รับเคมีบำบัด การติดเชื้อจะทำให้อาการของโรคเดิมกำเริบ
5. ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 35 ขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบหายใจที่รุนแรงกว่าคนทั่วไป
6. ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหรือสเตียรอยด์เป็นประจำ ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. ผู้พิการทางสมองและโรคอื่นๆ ผู้พิการทางสติปัญญาที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้ หรือผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งจัดเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูง

ความสำคัญของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2568

การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับมือกับการระบาดของสายพันธุ์ H3N2 วัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี 2568 ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงสูตรเพื่อให้สามารถป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่คาดการณ์ว่าจะระบาดในปีนั้น ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ A (H3N2) ด้วย

ประโยชน์หลักของการฉีดวัคซีนไม่ใช่เพียงการป้องกันการติดเชื้อ แต่เป็นการลดความรุนแรงของโรคหากติดเชื้อขึ้นมา ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัยสูง สามารถฉีดได้ในประชากรกลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่ รวมถึงสตรีมีครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร ซึ่งภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นในมารดาสามารถส่งผ่านไปยังทารกได้อีกด้วย ดังนั้น การส่งเสริมให้ประชากรกลุ่มเสี่ยงทั้ง 7 กลุ่มเข้ารับการฉีดวัคซีนจึงเป็นมาตรการสาธารณสุขที่มีความสำคัญเร่งด่วน

แนวทางการป้องกันและดูแลตนเอง

นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว การปฏิบัติตนตามหลักสุขอนามัยที่ดีเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและแพร่กระจายของเชื้อไข้หวัดใหญ่

การป้องกันส่วนบุคคล

  • ล้างมือบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 70% โดยเฉพาะหลังการไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของในที่สาธารณะ
  • สวมหน้ากากอนามัย: การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชนแออัด หรือเมื่อต้องดูแลผู้ป่วย จะช่วยป้องกันการรับและแพร่กระจายเชื้อผ่านทางละอองฝอยได้
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: พยายามไม่นำมือที่ยังไม่ได้ล้างมาสัมผัสบริเวณตา จมูก และปาก เพราะเป็นช่องทางที่เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
  • รักษาระยะห่างทางสังคม: เว้นระยะห่างจากผู้ที่มีอาการป่วย เช่น ไอ หรือจาม
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

การดูแลเมื่อมีอาการป่วย

หากเริ่มมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • หยุดเรียนหรือหยุดงาน: ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้านเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
  • พบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย: หากอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งอาจรวมถึงการให้ยาต้านไวรัส
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอและพักผ่อนมากๆ: เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • ปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม: ควรใช้กระดาษทิชชูหรือข้อพับแขนด้านใน เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อ

บทสรุปและคำแนะนำ

การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (H3N2) ในปี 2568 เป็นสถานการณ์ที่ต้องให้ความสำคัญและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่มีศักยภาพในการก่อโรครุนแรง โดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของโรค อาการ ช่องทางการแพร่กระจาย และแนวทางการป้องกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน

มาตรการป้องกันที่ดีที่สุดคือการเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี ซึ่งสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ ควบคู่ไปกับการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด หากมีอาการป่วยที่เข้าได้กับโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การร่วมมือกันปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขจะช่วยควบคุมการระบาดและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยรวมได้

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031