Shopping cart

ไข้เลือดออกระบาดหนัก! 7 อาการต้องสงสัย รีบพบแพทย์ด่วน

สารบัญ

สถานการณ์ไข้เลือดออกระบาดหนัก! 7 อาการต้องสงสัย รีบพบแพทย์ด่วน ถือเป็นประเด็นด้านสาธารณสุขที่สำคัญอย่างยิ่งในปี 2568 เนื่องจากเป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญาณเตือนของโรคจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน

สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก

  • โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อไวรัสเดงกีที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค และกำลังมีการระบาดอย่างหนักในปี 2568 ตามการแจ้งเตือนของกรมควบคุมโรค
  • อาการเบื้องต้นอาจคล้ายไข้หวัด แต่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่าง เช่น ไข้สูงลอยที่ไม่ลดลง ปวดกระบอกตาอย่างรุนแรง และมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง
  • การสังเกต 7 อาการต้องสงสัยเป็นกุญแจสำคัญในการเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
  • ระยะวิกฤตของโรค (ประมาณวันที่ 3-7 หลังเริ่มมีไข้) เป็นช่วงที่อันตรายที่สุด อาจเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • การป้องกันที่ดีที่สุดคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด

สถานการณ์ไข้เลือดออก 2568: ภัยเงียบที่ต้องเฝ้าระวัง

สถานการณ์ไข้เลือดออก 2568: ภัยเงียบที่ต้องเฝ้าระวัง

โรคไข้เลือดออกเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยมียุงลายเป็นพาหะหลักในการแพร่เชื้อไวรัสเดงกี ในปี 2568 กรมควบคุมโรคได้ออกมาแจ้งเตือนถึงแนวโน้มการระบาดที่รุนแรงขึ้นกว่าปีก่อน ๆ ปัจจัยหลายอย่างอาจส่งผลต่อการเพิ่มจำนวนผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของยุงลาย หรือการเคลื่อนย้ายของประชากรที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น ความน่ากังวลของโรคนี้อยู่ที่อาการในระยะแรกมักจะคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดทั่วไป ทำให้หลายคนอาจชะล่าใจและดูแลตนเองเบื้องต้นด้วยการรับประทานยาลดไข้ ซึ่งอาจบดบังอาการที่แท้จริงและนำไปสู่การรักษาที่ล่าช้า

ดังนั้น การตระหนักรู้ถึงความแตกต่างของอาการจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทุกคนควรให้ความสนใจและเฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยของตนเองและคนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการระบาดสูง การทราบข้อมูลเกี่ยวกับ 7 สัญญาณเตือนภัยของโรคไข้เลือดออกจะช่วยให้สามารถตัดสินใจไปพบแพทย์ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคนี้

เจาะลึก 7 สัญญาณเตือนภัยไข้เลือดออกที่ต้องสังเกต

การแยกโรคไข้เลือดออกจากอาการไข้ทั่วไปจำเป็นต้องอาศัยการสังเกตอาการอย่างละเอียด เนื่องจากอาการบางอย่างมีความจำเพาะและเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจน หากพบอาการเหล่านี้ร่วมกันตั้งแต่ 2-3 ข้อขึ้นไป ควรตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกและรีบปรึกษาแพทย์ทันที

1. ไข้สูงลอยอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะเด่นที่สุดของไข้เลือดออกคือ ไข้สูงลอย (Continuous High Fever) ซึ่งหมายถึงการมีไข้สูงเฉียบพลันที่อุณหภูมิ 39-40 องศาเซลเซียส และไข้มักจะคงที่อยู่ในระดับสูงตลอดทั้งวัน แตกต่างจากไข้หวัดทั่วไปที่ไข้มักจะขึ้น ๆ ลง ๆ และตอบสนองต่อยาลดไข้กลุ่มพาราเซตามอลได้ดี ในผู้ป่วยไข้เลือดออก แม้จะรับประทานยาลดไข้แล้ว อุณหภูมิร่างกายอาจลดลงเพียงเล็กน้อยและชั่วคราว ก่อนจะกลับสูงขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว อาการไข้สูงลอยนี้มักจะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 2-7 วัน

2. ปวดศีรษะและปวดกระบอกตารุนแรง

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและขมับ ร่วมกับอาการปวดกระบอกตาที่เด่นชัด (Retro-orbital Pain) ซึ่งเป็นความรู้สึกปวดลึก ๆ บริเวณด้านหลังของลูกตา อาการปวดจะรุนแรงขึ้นเมื่อมีการกรอกตาหรือเคลื่อนไหวลูกตา อาการนี้เป็นหนึ่งในลักษณะเฉพาะที่ช่วยให้แยกไข้เลือดออกจากโรคอื่น ๆ ได้

3. คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร

อาการทางระบบทางเดินอาหารเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยไข้เลือดออก โดยผู้ป่วยมักจะรู้สึกคลื่นไส้ตลอดเวลา อาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย ซึ่งทำให้นำไปสู่ภาวะขาดน้ำได้ง่าย นอกจากนี้ อาการเบื่ออาหาร (Anorexia) ก็เป็นอาการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีแรง การรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้น้อยลงนี้ส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายโดยรวมและอาจทำให้ฟื้นตัวได้ช้าลง

4. ปวดเมื่อยตามร่างกาย กล้ามเนื้อ และกระดูก

ไข้เลือดออกมักถูกขนานนามว่า “ไข้กระดูกแตก” (Breakbone Fever) เนื่องจากผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และกระดูกอย่างรุนแรงทั่วร่างกาย อาการปวดนี้อาจทำให้รู้สึกทุรนทุราย ไม่สบายตัว จนไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เป็นอาการที่สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยอย่างมาก

5. พบผื่นแดงหรือจ้ำเลือดตามผิวหนัง

ในช่วงแรกของไข้ ผู้ป่วยอาจมีอาการหน้าแดง (Flushing) คล้ายคนเมาสุรา ต่อมาอาจเริ่มมีผื่นแดงลักษณะคล้ายหัดขึ้นตามลำตัว แขน และขา ลักษณะที่จำเพาะกว่าคือการพบจุดเลือดออกเล็ก ๆ (Petechiae) ตามผิวหนัง ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดฝอยเปราะแตก สามารถสังเกตได้ง่ายบริเวณแขน ขา ลำตัว หรือในจุดที่โดนกดทับ การทดสอบที่เรียกว่า Tourniquet Test โดยแพทย์อาจช่วยยืนยันความเปราะบางของเส้นเลือดนี้ได้

6. มีภาวะเลือดออกผิดปกติ

นอกเหนือจากจ้ำเลือดตามผิวหนัง ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกผิดปกติในบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น เลือดกำเดาไหล หรือ เลือดออกตามไรฟันขณะแปรงฟัน ในผู้หญิงอาจพบว่าประจำเดือนมามากกว่าปกติหรือมาผิดรอบ ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจมีการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำคล้ำคล้ายยางมะตอย ซึ่งเป็นสัญญาณของเลือดออกในทางเดินอาหารและต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน

7. ปวดท้องอย่างรุนแรงและมีอาการอ่อนเพลีย

อาการปวดท้องเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะวิกฤต ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ หรืออาจรู้สึกกดเจ็บบริเวณลิ้นปี่ อาการปวดท้องนี้อาจสัมพันธ์กับการรั่วของพลาสมาออกจากหลอดเลือดและการทำงานของตับที่ผิดปกติ ร่วมกับอาการอ่อนเพลียอย่างมาก ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย หรือซึมลง ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าอาจกำลังเข้าสู่ภาวะช็อก

เปรียบเทียบอาการไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ และโรคทั่วไป

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบอาการของโรคไข้เลือดออกกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ ที่พบบ่อยจะช่วยให้สามารถประเมินสถานการณ์เบื้องต้นได้ดีขึ้น

ตารางเปรียบเทียบอาการเบื้องต้นระหว่างโรคไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดทั่วไป
อาการ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดทั่วไป
ลักษณะไข้ ไข้สูงลอย 39-40°C ต่อเนื่อง ไข้สูงเฉียบพลัน อาจมีหนาวสั่น ไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้
ปวดศีรษะ รุนแรงมาก โดยเฉพาะปวดกระบอกตา ปวดรุนแรง ปวดเล็กน้อย
ปวดกล้ามเนื้อ รุนแรงมาก ปวดกระดูก รุนแรงทั่วร่างกาย ปวดเมื่อยเล็กน้อย
อาการทางเดินหายใจ ไม่เด่นชัด อาจมีไอเล็กน้อย เด่นชัด เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก เด่นชัด เช่น จาม คัดจมูก มีน้ำมูก
ผื่น/จุดเลือดออก พบได้บ่อย มีจ้ำเลือด ไม่พบ ไม่พบ
ภาวะเลือดออก อาจพบเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ไม่พบ ไม่พบ

ระยะวิกฤตของไข้เลือดออก: ช่วงอันตรายที่ต้องจับตา

ช่วงที่อันตรายที่สุดของโรคไข้เลือดออกคือ ระยะวิกฤต (Critical Phase) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นประมาณ 3-7 วันหลังจากเริ่มมีไข้ หรือในช่วงที่ไข้เริ่มลดลงพอดี ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจผิดว่าอาการกำลังดีขึ้น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดที่สุด

ในระยะวิกฤต จะเกิดภาวะสารน้ำหรือพลาสมาในเลือดรั่วออกจากหลอดเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เลือดมีความเข้มข้นสูงขึ้น และอาจนำไปสู่ภาวะช็อก (Dengue Shock Syndrome) ได้ สัญญาณเตือนของภาวะช็อก ได้แก่ มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาและเร็ว ความดันโลหิตต่ำ ปัสสาวะออกน้อยลง ผู้ป่วยอาจมีอาการซึมลง กระสับกระส่าย หรือหมดสติ หากพบอาการเหล่านี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เพราะเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง

การดูแลผู้ป่วยในระยะนี้จึงต้องเน้นการสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียด การวัดสัญญาณชีพอย่างสม่ำเสมอ และการให้สารน้ำทางหลอดเลือดอย่างเหมาะสมภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะช็อกที่รุนแรง

กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังอาการรุนแรงเป็นพิเศษ

แม้ว่าโรคไข้เลือดออกจะสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลและเฝ้าระวังเป็นพิเศษเมื่อมีการติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่:

  • เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี: เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ และอาจไม่สามารถบอกอาการของตนเองได้ชัดเจน ทำให้การวินิจฉัยล่าช้า
  • ผู้สูงอายุ: มักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย และร่างกายมีความสามารถในการฟื้นตัวต่ำกว่า
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, หรือโรคไต ซึ่งอาจทำให้อาการของโรคไข้เลือดออกซับซ้อนและรุนแรงขึ้น
  • ผู้ที่มีภาวะอ้วน: มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อาการของโรคไข้เลือดออกรุนแรงขึ้นได้

ทำความเข้าใจเชื้อไวรัสเดงกี: สาเหตุของโรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (Serotypes) ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 การติดเชื้อสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต แต่จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

จุดที่น่ากังวลคือ การติดเชื้อครั้งที่สองด้วยสายพันธุ์ที่แตกต่างจากครั้งแรก (Secondary Infection) มักจะมีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงและพัฒนาไปเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรง (Dengue Hemorrhagic Fever) หรือภาวะช็อก (Dengue Shock Syndrome) ได้สูงกว่าการติดเชื้อครั้งแรก ปรากฏการณ์นี้เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับกลไกที่เรียกว่า Antibody-Dependent Enhancement (ADE) ซึ่งทำให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายขึ้นและเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัดจึงเป็นสิ่งสำคัญเสมอแม้ว่าจะเคยเป็นไข้เลือดออกแล้วก็ตาม

การวินิจฉัยและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

นอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อสังเกตอาการทั้ง 7 ข้อดังกล่าวแล้ว แพทย์จะทำการวินิจฉัยยืนยันโดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินความรุนแรงของโรคและติดตามการรักษา การตรวจเลือดโดยทั่วไปจะพบความผิดปกติที่สำคัญ ได้แก่:

  • เกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia): เป็นลักษณะที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยไข้เลือดออก โดยระดับเกล็ดเลือดจะเริ่มลดลงตั้งแต่วันที่ 3-4 ของไข้ และจะต่ำที่สุดในช่วงระยะวิกฤต ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงของภาวะเลือดออก
  • เม็ดเลือดขาวต่ำ (Leukopenia): จำนวนเม็ดเลือดขาวโดยรวมมักจะลดลง
  • ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงสูงขึ้น (Hemoconcentration): ค่าฮีมาโตคริต (Hematocrit) ที่สูงขึ้นกว่าค่าพื้นฐานของผู้ป่วยมากกว่า 20% เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของการรั่วของพลาสมาออกจากหลอดเลือด และเป็นสัญญาณเตือนของภาวะช็อก

นอกจากนี้ อาจมีการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสโดยตรง (เช่น NS1 Antigen) หรือตรวจหาสารภูมิต้านทาน (Antibody) เพื่อยืนยันการติดเชื้อ การติดตามผลเลือดอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการให้สารน้ำและดูแลผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม

แนวทางการป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ดีที่สุด

เนื่องจากโรคไข้เลือดออกยังไม่มียารักษาที่จำเพาะเจาะจง การรักษาจึงเป็นการดูแลตามอาการแบบประคับประคอง ดังนั้น วิธีป้องกันไข้เลือดออก ที่ดีที่สุดคือการควบคุมพาหะนำโรค นั่นคือยุงลาย และการป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีตามหลัก “5ป. ปราบยุงลาย” ของกระทรวงสาธารณสุข:

  1. ปิด: ปิดภาชนะเก็บน้ำให้มิดชิด เพื่อป้องกันยุงลายลงไปวางไข่
  2. เปลี่ยน: เปลี่ยนน้ำในภาชนะเล็ก ๆ เช่น แจกัน จานรองกระถางต้นไม้ ทุก ๆ 7 วัน เพื่อตัดวงจรชีวิตของลูกน้ำ
  3. ปล่อย: ปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูง ในอ่างบัวหรือภาชนะเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถปิดได้
  4. ปรับปรุง: ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมรอบบ้านให้โปร่งโล่ง สะอาด ไม่มีมุมอับชื้น และกำจัดขยะหรือเศษภาชนะที่อาจเป็นแหล่งน้ำขังได้
  5. ปฏิบัติ: ปฏิบัติเป็นนิสัยจนเป็นกิจวัตร และป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัด เช่น การนอนในมุ้ง การใช้ยาจุดกันยุง การทายากันยุงที่มีส่วนผสมของ DEET หรือ Icaridin และการสวมใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวเมื่อต้องอยู่ในบริเวณที่มียุงชุกชุม

สรุปและข้อควรปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก

สถานการณ์ไข้เลือดออกระบาดหนัก! 7 อาการต้องสงสัย รีบพบแพทย์ด่วน เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญและเฝ้าระวังอย่างจริงจัง การจดจำและสังเกตอาการเตือนทั้ง 7 ประการ ได้แก่ ไข้สูงลอย ปวดศีรษะและกระบอกตา คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นหรือจุดเลือดออก มีภาวะเลือดออกผิดปกติ และปวดท้องรุนแรง เป็นเกราะป้องกันด่านแรกที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที

หากมีไข้สูงเกิน 2 วันและมีอาการน่าสงสัยข้อใดข้อหนึ่งร่วมด้วย โดยเฉพาะในเด็กและกลุ่มเสี่ยง ควรตัดสินใจไปพบแพทย์ทันทีโดยไม่ลังเล และหลีกเลี่ยงการซื้อยาลดไข้กลุ่มแอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) มารับประทานเองเด็ดขาด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออกได้ การตื่นตัวและดำเนินการอย่างรวดเร็วคือหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับภัยเงียบจากโรคไข้เลือดออกและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031