Shopping cart

โค้งสุดท้าย! ซื้อ SSF/RMF กองไหนดี ลดหย่อนภาษี 68

สารบัญ

เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายปี การวางแผนภาษีถือเป็นภารกิจสำคัญสำหรับผู้มีเงินได้ทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน การพิจารณาว่าจะซื้อกองทุน SSF/RMF กองไหนดี เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี 68 จึงกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยประหยัดภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างโอกาสในการออมและการลงทุนเพื่ออนาคตไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่เปิดโอกาสให้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน SSF ได้ การทำความเข้าใจเงื่อนไขและเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายของตนเองจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

สรุปประเด็นสำคัญสำหรับการวางแผนภาษีปี 2568

  • ปี 2568 คือโอกาสสุดท้าย: นักลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อกองทุน SSF ได้เป็นปีสุดท้าย ควรพิจารณาใช้สิทธิให้เต็มที่หากมีเป้าหมายการออมระยะกลาง
  • เงื่อนไขที่แตกต่าง: SSF มีเงื่อนไขการถือครอง 10 ปีเต็ม โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ในขณะที่ RMF ถูกออกแบบมาเพื่อการเกษียณ จึงต้องลงทุนต่อเนื่องและถือครองจนอายุครบตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
  • เป้าหมายเป็นตัวกำหนด: การเลือกระหว่าง SSF และ RMF ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคล หากต้องการความยืดหยุ่นและเป็นการออมระยะ 10 ปี SSF อาจตอบโจทย์ แต่หากมุ่งมั่นวางแผนเพื่อวัยเกษียณอย่างจริงจัง RMF คือคำตอบ
  • เพดานการลดหย่อน: SSF สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ส่วน RMF สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
  • การวางแผนอย่างรอบคอบ: ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรประเมินสถานะทางการเงิน ความสามารถในการรับความเสี่ยง และเป้าหมายระยะยาว เพื่อเลือกกองทุนและสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด

ทำความเข้าใจ SSF และ RMF: เครื่องมือลดหย่อนภาษีที่ต้องรู้

ทำความเข้าใจ SSF และ RMF: เครื่องมือลดหย่อนภาษีที่ต้องรู้

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นวางแผนภาษี การทำความเข้าใจลักษณะและเงื่อนไขของกองทุนลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทเป็นสิ่งแรกที่ควรทำ กองทุน SSF และ RMF แม้จะมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมและให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเหมือนกัน แต่ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการวางแผนการเงินในระยะยาว

กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF – Super Savings Fund)

กองทุน SSF หรือ กองทุนรวมเพื่อการออม ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้น โดยภาครัฐได้มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ กองทุนประเภทนี้มีความยืดหยุ่นสูงกว่า RMF ในแง่ของเงื่อนไขการลงทุน

จุดเด่นและเงื่อนไขสำคัญของ SSF:

  • สิทธิประโยชน์ทางภาษี: เงินลงทุนใน SSF สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาทต่อปีภาษี
  • ระยะเวลาการถือครอง: ผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปีเต็ม นับแบบวันชนวันจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน จึงจะสามารถขายคืนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขและไม่สูญเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี
  • ความยืดหยุ่นในการลงทุน: SSF ไม่มีข้อกำหนดเรื่องเงินลงทุนขั้นต่ำ และที่สำคัญคือ ไม่บังคับให้ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ผู้ลงทุนสามารถเลือกซื้อเฉพาะปีที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
  • โอกาสสุดท้ายในปี 2568: สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ สิทธิในการนำเงินลงทุนใน SSF มาหักลดหย่อนภาษีนั้น เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2563 และจะสิ้นสุดลงในปี 2567 ซึ่งหมายความว่า การลงทุนที่เกิดขึ้นภายในปี 2568 จะเป็นปีสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธินี้ได้ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากกองทุนนี้

ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว SSF จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินระยะกลางถึงยาว (10 ปี) ต้องการลดหย่อนภาษี แต่ไม่ต้องการมีภาระผูกพันที่ต้องลงทุนทุกปี และสามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้ตามนโยบายของแต่ละกองทุน

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF – Retirement Mutual Fund)

กองทุน RMF เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ถูกออกแบบมาอย่างจำเพาะเจาะจงเพื่อเป้าหมายการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ภาครัฐให้การสนับสนุนผ่านสิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการออมระยะยาวอย่างมีวินัยและต่อเนื่อง จนกว่าผู้ลงทุนจะเกษียณอายุ

จุดเด่นและเงื่อนไขสำคัญของ RMF:

  • สิทธิประโยชน์ทางภาษี: สามารถนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กบข., กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี
  • เงื่อนไขการลงทุนที่เข้มงวด: RMF มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปคือต้องซื้อหน่วยลงทุนทุกปี และสามารถเว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้ ยังไม่มีกำหนดยอดซื้อขั้นต่ำในแต่ละปี (ขึ้นอยู่กับ บลจ.)
  • ระยะเวลาการถือครอง: ผู้ลงทุนจะต้องถือครองหน่วยลงทุน RMF ต่อเนื่องจนกระทั่งมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องมีระยะเวลาลงทุนใน RMF มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุน) จึงจะสามารถขายคืนได้โดยไม่ผิดเงื่อนไข

RMF เหมาะสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายการเกษียณที่ชัดเจน มีวินัยในการออมสูง สามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง SSF และ RMF

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบคุณสมบัติหลักของกองทุนทั้งสองประเภทแบบจุดต่อจุดจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่ากองทุนใดที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความต้องการของตนเองมากที่สุด

ตารางเปรียบเทียบสรุปเงื่อนไขและลักษณะสำคัญของกองทุน SSF และ RMF สำหรับการวางแผนภาษีปี 2568
หัวข้อเปรียบเทียบ SSF (Super Savings Fund) RMF (Retirement Mutual Fund)
วัตถุประสงค์หลัก ส่งเสริมการออมระยะยาว (10 ปีขึ้นไป) ส่งเสริมการออมเพื่อวัยเกษียณ
เงื่อนไขการลงทุน ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ไม่มีขั้นต่ำ ต้องลงทุนต่อเนื่อง (เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน)
ระยะเวลาถือครอง ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 10 ปี (นับแบบวันชนวัน) ต้องถือครองจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
วงเงินลดหย่อนภาษี สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท สูงสุด 30% ของเงินได้ (เมื่อรวมกับกองทุนเกษียณอื่นต้องไม่เกิน 500,000 บาท)
ปีที่ใช้สิทธิลดหย่อนได้ ปี 2563 – 2568 (ปี 2568 เป็นปีสุดท้าย) ยังคงใช้สิทธิได้ต่อเนื่องตามประกาศของกรมสรรพากร
ความเหมาะสม ผู้ที่ต้องการออมเงิน 10 ปี, ลดหย่อนภาษี, และไม่ต้องการผูกมัดลงทุนทุกปี ผู้ที่วางแผนเกษียณอย่างจริงจัง, มีวินัยในการออม, และต้องการลงทุนระยะยาว

กลยุทธ์การลงทุนโค้งสุดท้ายเพื่อสิทธิประโยชน์สูงสุด

เมื่อเข้าใจความแตกต่างของกองทุนทั้งสองประเภทแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละบุคคลในช่วงเวลาที่เหลือก่อนสิ้นปีภาษี 2568

แนวทางสำหรับผู้เริ่มต้นวางแผนภาษี

สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีมาก่อน ปี 2568 ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเริ่มต้น โดยมีข้อแนะนำดังนี้:

  1. พิจารณา SSF เป็นอันดับแรก: เนื่องจากเป็นปีสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิได้ จึงควรคำนวณวงเงินที่สามารถลงทุนใน SSF ได้สูงสุด (30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท) และพิจารณาลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์นี้ไว้ก่อน
  2. ตรวจสอบวงเงินลดหย่อนที่เหลือ: หลังจากคำนวณสิทธิของ SSF แล้ว หากยังมีโควต้าลดหย่อนในส่วนของ 30% ของเงินได้เหลืออยู่ และมีเป้าหมายการเกษียณที่ชัดเจน อาจพิจารณาลงทุนใน RMF เพิ่มเติมเพื่อใช้สิทธิให้เต็มเพดานสูงสุด
  3. เริ่มต้นจากจำนวนน้อย: หากยังไม่แน่ใจเรื่องสภาพคล่อง สามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยจำนวนเงินที่ไม่มากเกินไป เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการและสร้างวินัยการลงทุนก่อน

แนวทางสำหรับผู้ที่ลงทุน RMF อยู่แล้ว

สำหรับผู้ที่ลงทุนใน RMF เป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว สามารถใช้โอกาสในปี 2568 นี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลดหย่อนภาษีได้อีก:

การเติม SSF เข้าไปในพอร์ตการลงทุนปี 2568 ถือเป็นการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี “โบนัส” ที่มีให้เป็นปีสุดท้าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มเงินออมและลดภาระภาษีได้อย่างเห็นผล

  1. รักษาเงื่อนไข RMF: อันดับแรกคือต้องลงทุนใน RMF ตามเงื่อนไขเพื่อรักษาสถานะและสิทธิประโยชน์ทางภาษีเดิมเอาไว้
  2. พิจารณาลงทุนใน SSF เพิ่มเติม: ตรวจสอบวงเงินลดหย่อนภาษีที่ยังเหลืออยู่ แล้วพิจารณาซื้อ SSF เพิ่มเติมให้เต็มเพดาน 200,000 บาท (โดยต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้เมื่อรวมกับ RMF และกองทุนเกษียณอื่นๆ) เพื่อใช้ประโยชน์จากสิทธิที่กำลังจะหมดไป

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจ

ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน

เป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน

ถามตัวเองให้ชัดเจนว่าเป้าหมายของการลงทุนครั้งนี้คืออะไร หากเป็นเป้าหมายระยะกลาง เช่น เก็บเงินเพื่อการศึกษาบุตรในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือวางแผนดาวน์บ้าน SSF อาจเป็นคำตอบ แต่หากเป็นเป้าหมายเพื่อวัยเกษียณที่อยู่อีกยาวไกล RMF จะมีความเหมาะสมมากกว่า

ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ทั้ง SSF และ RMF มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตราสารหนี้ ไปจนถึงความเสี่ยงสูงอย่างกองทุนหุ้น ผู้ลงทุนควรทำแบบประเมินความเสี่ยง (Suitability Test) เพื่อเลือกระดับความเสี่ยงของกองทุนที่สอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความผันผวนของตนเอง

วินัยและสภาพคล่องทางการเงิน

การลงทุนในกองทุนเหล่านี้เป็นการนำเงินไปลงทุนในระยะยาว ซึ่งหมายถึงการสูญเสียสภาพคล่องของเงินก้อนนั้นไปชั่วคราว จึงควรแน่ใจว่าได้กันเงินสำรองฉุกเฉินไว้เพียงพอแล้ว และสำหรับ RMF ต้องมั่นใจว่าสามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่องตามเงื่อนไขเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดเงื่อนไขในอนาคต

ภาพรวมรายการลดหย่อนภาษีอื่นๆ ในปี 2568

นอกจากการลงทุนใน SSF และ RMF แล้ว ผู้เสียภาษียังมีสิทธิลดหย่อนรายการอื่นๆ ที่สามารถนำมาคำนวณร่วมกันเพื่อวางแผนภาษีได้อย่างครบถ้วน รายการลดหย่อนพื้นฐานที่เกี่ยวข้องมีดังนี้:

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท (สำหรับผู้มีเงินได้ทุกคน)
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส: 60,000 บาท (ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีเงินได้)
  • กองทุน ESG: การลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund) อาจได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม แต่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขและวงเงินลดหย่อนตามประกาศของกรมสรรพากรสำหรับปีภาษีนั้นๆ อีกครั้ง

การทำความเข้าใจรายการลดหย่อนทั้งหมดจะช่วยให้สามารถคำนวณฐานภาษีและวางแผนการลงทุนใน SSF/RMF ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

บทสรุปและแนวทางการดำเนินการ

ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 การตัดสินใจเลือกซื้อกองทุน SSF/RMF เพื่อลดหย่อนภาษี ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือนและผู้มีเงินได้ทุกคน ปีนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นโอกาสสุดท้ายในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากกองทุน SSF ซึ่งเป็นเครื่องมือการออมระยะกลางที่ยืดหยุ่นและน่าสนใจ ขณะที่ RMF ยังคงเป็นทางเลือกหลักสำหรับการวางแผนเกษียณระยะยาวที่มั่นคงและยั่งยืน

การเลือกกองทุนที่เหมาะสมที่สุดไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับการประเมินเป้าหมายทางการเงิน ระยะเวลาที่ต้องการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และวินัยทางการเงินของแต่ละบุคคล การพิจารณาซื้อ SSF ให้เต็มสิทธิในปีสุดท้ายนี้เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรมองข้ามความสำคัญของการออมเพื่อการเกษียณผ่าน RMF อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น การศึกษาข้อมูลของแต่ละกองทุนอย่างละเอียด ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหากจำเป็น และตัดสินใจดำเนินการก่อนสิ้นปีภาษี คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดเงินในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานความมั่นคงทางการเงินสำหรับอนาคตอีกด้วย

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930