Shopping cart

ระวัง! 4 โรคฮิตปลายฝนต้นหนาว รู้ทันก่อนป่วย

สารบัญ

ช่วงรอยต่อระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก และกลายเป็นช่วงที่เชื้อโรคต่างๆ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้ดี การทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้จะเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับ ระวัง! 4 โรคฮิตปลายฝนต้นหนาว รู้ทันก่อนป่วย เพื่อให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ช่วงปลายฝนต้นหนาวมีสภาพอากาศแปรปรวน อุณหภูมิและความชื้นที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • โรคติดต่อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่และปอดบวม มีการระบาดสูงในช่วงนี้ เนื่องจากการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอากาศทำได้ง่าย
  • โรคไข้เลือดออกยังคงเป็นความเสี่ยง แม้จะเข้าสู่ช่วงปลายฤดูฝน แต่แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายยังคงมีอยู่ทั่วไป
  • การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล การรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรค
  • การสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้

ทำความเข้าใจช่วงรอยต่อของฤดู: ทำไมร่างกายถึงป่วยง่าย?

ช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ในตอนกลางวันอากาศอาจยังร้อนอบอ้าว แต่ในตอนกลางคืนและช่วงเช้าตรู่อุณหภูมิจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ความผันผวนของอุณหภูมินี้ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน

เมื่อร่างกายสัมผัสกับอากาศที่เย็นและแห้ง หลอดเลือดในเยื่อบุโพรงจมูกจะหดตัวลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นน้อยลง ส่งผลให้การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคมีประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้ ความชื้นในอากาศที่ลดต่ำลงยังทำให้ละอองฝอยที่มีเชื้อโรคแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น เพิ่มโอกาสในการสูดดมเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วยได้บ่อยในช่วงเปลี่ยนฤดู โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว

ระวัง! 4 โรคฮิตปลายฝนต้นหนาว ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ

การทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่พบบ่อยในช่วงนี้ จะช่วยให้สามารถสังเกตอาการและป้องกันได้อย่างถูกวิธี นี่คือ 4 โรคสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

1. โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ซึ่งมีการระบาดเป็นฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงอากาศเย็นและชื้น การติดเชื้อนี้มีความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดธรรมดาและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้

สาเหตุและการติดต่อ

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ติดต่อผ่านทางละอองฝอยในอากาศที่เกิดจากการไอ จาม หรือพูดคุยของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสพื้นผิวหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อโรค แล้วนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า จมูก หรือปาก เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายและเริ่มแบ่งตัวในระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการป่วยตามมา

อาการที่สังเกตได้

อาการของไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้:

  • ไข้สูง หนาวสั่น (อุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป)
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อทั่วร่างกาย
  • อ่อนเพลียอย่างมาก รู้สึกไม่มีแรง
  • ไอแห้ง เจ็บคอ และอาจมีน้ำมูกใส

กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวัง

แม้ไข้หวัดใหญ่จะเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มบุคคลต่อไปนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวม ได้แก่:

  • เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
  • ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • สตรีมีครรภ์
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

การป้องกันและรักษา

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เนื่องจากเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ ควบคู่ไปกับการรักษาสุขอนามัย เช่น ล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัยในที่ชุมชน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หากมีอาการป่วย ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรไปพบแพทย์เพื่อพิจารณารับยาต้านไวรัส

2. โรคปอดบวม (Pneumonia)

โรคปอดบวม หรือ ปอดอักเสบ เป็นการอักเสบของเนื้อปอดและถุงลม ทำให้มีสารน้ำหรือหนองเข้าไปแทนที่อากาศในถุงลม ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนทำได้ไม่ดีพอ เป็นภาวะที่อันตรายและอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาจากไข้หวัดใหญ่ได้

สาเหตุและการติดต่อ

สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อนิวโมคอคคัส (Streptococcus pneumoniae) และเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza) หรือไวรัส RSV เชื้อเหล่านี้สามารถแพร่กระจายผ่านทางอากาศเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ หรือเกิดจากการสำลักน้ำลายหรืออาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนลงสู่ปอด

อาการที่สังเกตได้

อาการของโรคปอดบวมมักจะรุนแรงและมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากไข้หวัด ได้แก่:

  • ไข้สูง หนาวสั่นรุนแรง
  • ไอมีเสมหะสีเหลือง เขียว หรือมีเลือดปน
  • เจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึกๆ หรือไอ
  • หายใจหอบเหนื่อย หายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก
  • ในผู้สูงอายุอาจมีอาการซึม สับสน หรืออุณหภูมิกายต่ำกว่าปกติ

ความแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดา

สิ่งสำคัญคือการแยกโรคปอดบวมออกจากไข้หวัดทั่วไป ไข้หวัดมักมีอาการเด่นที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม แต่ปอดบวมจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ทำให้มีอาการหายใจหอบเหนื่อยและเจ็บหน้าอกเป็นอาการสำคัญ

ตารางเปรียบเทียบอาการของโรคไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ และปอดบวม
อาการ ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม
ไข้ ไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ ไข้สูงฉับพลัน ไข้สูง หนาวสั่น
ปวดศีรษะ เล็กน้อย รุนแรง อาจมีอาการปวด
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เล็กน้อย รุนแรงและทั่วร่างกาย อ่อนเพลีย แต่อาการปวดกล้ามเนื้อไม่เด่นชัด
อาการทางเดินหายใจ คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม ไอแห้ง เจ็บคอ ไอมีเสมหะข้น หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก
ความรุนแรง น้อย หายได้เองในไม่กี่วัน ปานกลางถึงรุนแรง อาจมีภาวะแทรกซ้อน รุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษา

การป้องกันและรักษา

การป้องกันโรคปอดบวมทำได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัส (วัคซีน IPD) และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ รวมถึงการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จะใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา หากเกิดจากเชื้อไวรัส จะเป็นการรักษาตามอาการ และอาจให้ยาต้านไวรัสในบางกรณี ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้ออกซิเจนและสารน้ำทางหลอดเลือด

3. โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever)

แม้จะเข้าสู่ช่วงปลายฝน แต่ความชื้นที่ยังคงมีอยู่ทำให้แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายยังไม่หมดไป โรคไข้เลือดออกจึงยังคงเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะ

สาเหตุและการติดต่อ

โรคไข้เลือดออกติดต่อจากคนสู่คนโดยมียุงลายตัวเมียเป็นพาหะ เมื่อยุงกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกีในกระแสเลือด เชื้อจะเข้าไปฟักตัวในยุง และเมื่อยุงตัวนั้นไปกัดคนอื่น ก็จะปล่อยเชื้อเข้าสู่ร่างกายคนนั้น ทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา ยุงลายมักออกหากินในเวลากลางวันและชอบวางไข่ในแหล่งน้ำนิ่งสะอาด เช่น ภาชนะเก็บน้ำ จานรองกระถางต้นไม้

อาการในระยะต่างๆ

โรคไข้เลือดออกแบ่งอาการออกเป็น 3 ระยะ:

  1. ระยะไข้สูง (2-7 วัน): ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอย่างฉับพลัน (39-40 องศาเซลเซียส) เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง
  2. ระยะวิกฤต (24-48 ชั่วโมง): เป็นระยะที่อันตรายที่สุด ไข้จะเริ่มลดลง แต่อาจมีภาวะช็อกจากการรั่วของพลาสมาหรือสารน้ำออกจากหลอดเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ และอาจมีเลือดออกรุนแรง เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด
  3. ระยะฟื้นตัว: หากผู้ป่วยผ่านระยะวิกฤตมาได้ อาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้น ความอยากอาหารกลับมา ปัสสาวะออกมากขึ้น และอาจมีผื่นแดงคันตามร่างกาย

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับไข้เลือดออก

มีความเชื่อว่าหากเป็นไข้เลือดออกครั้งหนึ่งแล้วจะไม่เป็นอีก ซึ่งไม่เป็นความจริง เชื้อไวรัสเดงกีมี 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อครั้งแรกจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นๆ เท่านั้น แต่ยังสามารถติดเชื้อสายพันธุ์อื่นได้ และการติดเชื้อครั้งที่สองมักมีอาการรุนแรงกว่าครั้งแรก

การสังเกตอาการในระยะวิกฤตของไข้เลือดออกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากผู้ป่วยมีอาการซึมลง ปวดท้องรุนแรง อาเจียนต่อเนื่อง หรือมีเลือดออกผิดปกติ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เพราะการรักษาที่ทันท่วงทีสามารถช่วยชีวิตได้

การป้องกันและรักษา

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยการปิดฝาภาชนะเก็บน้ำ เปลี่ยนน้ำในแจกันทุกสัปดาห์ และกำจัดขยะที่มีน้ำขังรอบบ้าน รวมถึงป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัดโดยการทายากันยุงและนอนในมุ้ง ปัจจุบันยังไม่มียารักษาไข้เลือดออกโดยตรง การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก) และให้สารน้ำทดแทนให้เพียงพอ

4. โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Diarrhea)

ในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่มีน้ำท่วมขัง อาจเกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรคในแหล่งน้ำและอาหารได้ง่าย ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเดินอาหาร โดยเฉพาะโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน

สาเหตุและการติดต่อ

เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย (เช่น เชื้อ E. coli, Salmonella) ไวรัส (เช่น Rotavirus, Norovirus) หรือโปรโตซัว เชื้อโรคเหล่านี้มักปนเปื้อนมากับอาหารที่ปรุงไม่สุก อาหารที่ทำทิ้งไว้ค้างคืน หรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด

อาการและสัญญาณอันตราย

อาการหลักคือการถ่ายเหลวเป็นน้ำ 3 ครั้งขึ้นไปใน 24 ชั่วโมง หรือถ่ายเป็นมูกเลือด 1 ครั้งขึ้นไป อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และมีไข้ สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำรุนแรงและต้องรีบพบแพทย์ ได้แก่:

  • อ่อนเพลียมาก ซึมลง หรือหมดสติ
  • ปากแห้ง ตาลึกโบ๋ กระหายน้ำอย่างรุนแรง
  • ปัสสาวะน้อยลงหรือไม่มีปัสสาวะเลย
  • ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ

การป้องกันและรักษา

หลักการป้องกันคือ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ การรักษาที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันและแก้ไขภาวะขาดน้ำ โดยการดื่มสารละลายเกลือแร่ (ORS) บ่อยๆ หากไม่มี สามารถผสมเองได้โดยใช้น้ำตาล 6 ช้อนชา และเกลือ 1 ช้อนชา ผสมในน้ำต้มสุก 1 ลิตร ควรหลีกเลี่ยงยาหยุดถ่ายเอง เพราะอาจทำให้เชื้อโรคอยู่ในร่างกายนานขึ้น หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีสัญญาณอันตราย ควรรีบไปพบแพทย์

แนวทางการดูแลสุขภาพเชิงรุกเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

แนวทางการดูแลสุขภาพเชิงรุกเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

การป้องกันโรคในช่วงเปลี่ยนฤดูที่ดีที่สุดคือการสร้างเกราะป้องกันให้ร่างกายแข็งแรงจากภายใน เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและเสริมสร้างความแข็งแรง
  • จัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ควรหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสม เช่น การทำสมาธิ หรือทำงานอดิเรก
  • รักษาร่างกายให้อบอุ่น: สวมใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเช้าและกลางคืน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียความร้อนเร็วเกินไป

โภชนาการที่เหมาะสม

อาหารมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควรเน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดังนี้:

  • วิตามินซี: พบมากในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม ฝรั่ง และผักใบเขียว ช่วยในการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
  • สังกะสี: มีอยู่ในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และธัญพืช เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน
  • ผักและผลไม้หลากสี: อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของเชื้อโรค
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของเยื่อบุทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นด่านแรกในการป้องกันเชื้อโรค

การฉีดวัคซีนป้องกันโรค

การฉีดวัคซีนเป็นวิธีป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ควรฉีดเป็นประจำทุกปี และวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม (IPD) สำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็กและผู้สูงอายุ เพื่อลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยรุนแรงและภาวะแทรกซ้อน

สัญญาณเตือนที่ควรไปพบแพทย์ทันที

แม้จะดูแลตัวเองดีเพียงใด การเจ็บป่วยก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ หากมีอาการเหล่านี้ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้และควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด:

  • ไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส นานเกิน 2-3 วัน
  • หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หรือเจ็บหน้าอกขณะหายใจ
  • อาการไม่ดีขึ้นหลังจากดูแลตนเอง 3-5 วัน หรืออาการแย่ลง
  • มีอาการของภาวะขาดน้ำรุนแรง เช่น อ่อนเพลียมาก ซึม ปัสสาวะออกน้อย
  • ในเด็กเล็ก: หากมีอาการซึม ไม่กิน ไม่เล่น หรือชัก ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

บทสรุป: เตรียมพร้อมรับมือช่วงเปลี่ยนฤดู

ช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาท้าทายสำหรับสุขภาพ การตระหนักถึงความเสี่ยงและมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ 4 โรคฮิตปลายฝนต้นหนาว ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ไข้เลือดออก และโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน จะช่วยให้สามารถป้องกันและรับมือได้อย่างถูกต้อง การดูแลสุขภาพเชิงรุกผ่านการพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย โภชนาการที่เหมาะสม และการฉีดวัคซีนที่จำเป็น ถือเป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านช่วงเปลี่ยนฤดูนี้ไปได้อย่างแข็งแรงและปลอดภัย

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930