Shopping cart

จับตาประชุมเฟด! ดอกเบี้ยกระทบหุ้น-ค่าเงินบาทอย่างไร

สารบัญ

การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (Fed) เป็นเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผลการตัดสินใจด้านนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ย มีอิทธิพลอย่างสูงต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน รวมถึงประเทศไทย

ประเด็นสำคัญของการประชุมเฟดที่นักลงทุนต้องรู้

  • การตัดสินใจปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ส่งผลโดยตรงต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Capital Flows) ทั่วโลก ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย
  • ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดความแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคธุรกิจส่งออกและนำเข้าของไทย
  • นโยบายการเงินของสหรัฐฯ สามารถส่งแรงกดดันมายังธนาคารแห่งประเทศไทยให้ต้องพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและครัวเรือน
  • ความไม่แน่นอนก่อนและหลังการประชุมเฟดมักสร้างความผันผวนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ตั้งแต่ตลาดหุ้นไปจนถึงตลาดคริปโทเคอร์เรนซี

ทำไมการประชุมเฟดจึงมีความสำคัญต่อนักลงทุนไทย

บทความนี้จะเจาะลึกว่าเหตุใดนักลงทุนจึงควรให้ความสนใจการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 16-17 กันยายน 2568 และจะพาไปสำรวจประเด็นสำคัญว่า จับตาประชุมเฟด! ดอกเบี้ยกระทบหุ้น-ค่าเงินบาทอย่างไร การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การตัดสินใจของเฟดไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่เป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถกำหนดทิศทางผลตอบแทนจากการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนไทยได้โดยตรง

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “เฟด” ถือเป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นกับนโยบายของเฟดจึงมีลักษณะเหมือนการโยนหินลงไปในน้ำ ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมแผ่ขยายออกไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นเศรษฐกิจแบบเปิดและเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกอย่างใกล้ชิด ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นและผู้ที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน การประชุม FOMC จึงเป็นมากกว่าการประชุมของธนาคารกลาง แต่เป็นเหตุการณ์สำคัญที่กำหนดบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก

กลุ่มบุคคลที่ควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล, ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจส่งออก-นำเข้า, ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่มีหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ทุกการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยเฟดสามารถส่งผลกระทบต่อต้นทุน ผลกำไร และมูลค่าสินทรัพย์ของพวกเขาได้ทั้งสิ้น ดังนั้น การติดตามและทำความเข้าใจผลลัพธ์ของการประชุมจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจและการลงทุนที่รอบคอบ

วิเคราะห์ผลกระทบของดอกเบี้ยเฟดต่อตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยมีความอ่อนไหวต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก การตัดสินใจด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยภายนอกที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) โดยสามารถแบ่งผลกระทบออกเป็นสองสถานการณ์หลักดังนี้

กรณีเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Rate Hike)

เมื่อเฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ของสหรัฐฯ เช่น พันธบัตรรัฐบาล มีความน่าดึงดูดใจมากขึ้นในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก ปรากฏการณ์นี้กระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งรวมถึงประเทศไทย เพื่อนำเงินกลับไปลงทุนในตลาดสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นและมีความเสี่ยงต่ำกว่า

ผลที่ตามมาคือ ตลาดหุ้นไทยจะเผชิญกับแรงกดดันจากการเทขายของนักลงทุนต่างชาติ หรือที่เรียกว่า “เงินทุนไหลออก” (Capital Outflow) ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลดลงได้ หุ้นในกลุ่มที่พึ่งพิงเงินทุนต่างชาติหรือมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจโลกมักจะได้รับผลกระทบก่อนเป็นอันดับแรก การขึ้นดอกเบี้ยยังสะท้อนถึงความพยายามในการควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งอาจหมายถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคต และส่งผลกระทบต่ออุปสงค์สินค้าส่งออกจากไทยได้อีกทางหนึ่ง

กรณีเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย (Rate Cut)

ในทางตรงกันข้าม หากเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ลดลง นักลงทุนจึงเริ่มมองหาแหล่งลงทุนอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Search for Yield” ซึ่งมักจะส่งผลดีต่อตลาดเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นไทย

เมื่ออัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ต่ำลง จะเกิด “เงินทุนไหลเข้า” (Capital Inflow) มายังตลาดหุ้นไทยมากขึ้น นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาซื้อสินทรัพย์ในตลาดไทยเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า ส่งผลให้ดัชนี SET มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยมักเป็นสัญญาณว่าเฟดต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเป็นประโยชน์ต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะกลางถึงระยะยาว

การเปลี่ยนแปลงนโยบายดอกเบี้ยของเฟดไม่ได้มีผลเฉพาะภายในประเทศสหรัฐฯ แต่กระทบต่อเสถียรภาพการลงทุนในระดับโลกและสกุลเงินของประเทศต่างๆ รวมถึงเงินบาทด้วย

ทิศทางค่าเงินบาทกับนโยบายดอกเบี้ยของเฟด

ทิศทางค่าเงินบาทกับนโยบายดอกเบี้ยของเฟด

ค่าเงินบาทเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการตัดสินใจของเฟด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อความต้องการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดโลก

เมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ย: เงินดอลลาร์แข็งค่า เงินบาทอ่อนค่า

การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดทำให้การถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนสูงขึ้น จึงเกิดความต้องการซื้อเงินดอลลาร์จากนักลงทุนทั่วโลก ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ และในทางกลับกัน ค่าเงินบาทก็จะอ่อนค่าลง

  • ผลดี: การที่เงินบาทอ่อนค่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการส่งออก เนื่องจากสินค้าไทยจะมีราคาถูกลงในสายตาของผู้ซื้อต่างชาติ ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้น และมีรายรับในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นเมื่อแลกกลับจากดอลลาร์
  • ผลเสีย: ผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจะมีต้นทุนสูงขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจที่มีหนี้สินเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นเมื่อคำนวณเป็นเงินบาท

เมื่อเฟดลดดอกเบี้ย: เงินดอลลาร์อ่อนค่า เงินบาทแข็งค่า

เมื่อเฟดลดอัตราดอกเบี้ย ความน่าดึงดูดใจในการถือเงินดอลลาร์สหรัฐจะลดลง ทำให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์เพื่อไปลงทุนในสกุลเงินอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น

  • ผลดี: ผู้นำเข้าสามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกลง และบริษัทที่มีหนี้สินเป็นสกุลเงินต่างประเทศจะมีภาระหนี้ลดลง
  • ผลเสีย: ผู้ส่งออกจะได้รับผลกระทบทางลบ เนื่องจากสินค้าไทยจะมีราคาแพงขึ้นในตลาดโลก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง และรายรับที่เป็นเงินบาทอาจลดน้อยลง
ตารางสรุปผลกระทบจากการตัดสินใจของเฟดต่อเศรษฐกิจไทย
ปัจจัย กรณีเฟดขึ้นดอกเบี้ย (Rate Hike) กรณีเฟดลดดอกเบี้ย (Rate Cut)
ตลาดหุ้นไทย (SET) มีแนวโน้มปรับตัวลง (จากเงินทุนไหลออก) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น (จากเงินทุนไหลเข้า)
ค่าเงินบาท (THB) อ่อนค่า (เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ) แข็งค่า (เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ)
ผู้ส่งออก ได้รับผลดี (สินค้าถูกลงในตลาดโลก) ได้รับผลกระทบ (สินค้าแพงขึ้น)
ผู้นำเข้า ได้รับผลกระทบ (ต้นทุนนำเข้าสูงขึ้น) ได้รับผลดี (ต้นทุนนำเข้าถูกลง)
ธุรกิจที่มีหนี้ USD ภาระหนี้เพิ่มขึ้น (เมื่อแปลงเป็นบาท) ภาระหนี้ลดลง (เมื่อแปลงเป็นบาท)

สัญญาณเตือนล่วงหน้า: สิ่งที่ตลาดจับตามองก่อนการประชุม

ก่อนการประชุม FOMC ในเดือนกันยายน 2568 ตลาดการเงินทั่วโลกได้แสดงอาการ “รอดู” อย่างชัดเจน ค่าเงินบาทมีความผันผวนและเปิดตลาดในช่วงก่อนการประชุมด้วยการอ่อนค่าเล็กน้อยบริเวณ 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนและความกังวลของนักลงทุน นักวิเคราะห์และผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่กำลังประเมินและคาดการณ์ว่าเฟดอาจมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% (25 basis points) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของเฟดจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ เป็นสำคัญ ดังนั้น ตลาดจึงให้ความสนใจกับตัวเลขสำคัญต่างๆ ที่จะประกาศออกมาก่อนการประชุม เช่น:

  • รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payrolls): ตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งอาจทำให้เฟดชะลอการลดดอกเบี้ย ในขณะที่ตัวเลขที่อ่อนแอจะเพิ่มโอกาสในการลดดอกเบี้ย
  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นปัจจัยสำคัญ หากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง เฟดอาจคงดอกเบี้ยไว้ แต่หากเงินเฟ้อชะลอตัวลง ก็จะเปิดทางให้ลดดอกเบี้ยได้
  • ยอดค้าปลีก (Retail Sales): เป็นมาตรวัดการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตัวเลขที่ต่ำกว่าคาดอาจเป็นสัญญาณให้เฟดพิจารณาลดดอกเบี้ย

ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนล่วงหน้า เนื่องจากนักลงทุนพยายามคาดเดาทิศทางการตัดสินใจของเฟด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาหุ้นและค่าเงินบาทก่อนที่จะมีการประกาศผลการประชุมอย่างเป็นทางการ

ผลกระทบวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสินทรัพย์อื่นๆ

นอกเหนือจากตลาดหุ้นและค่าเงินแล้ว นโยบายดอกเบี้ยของเฟดยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังภาคส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทยและตลาดสินทรัพย์ทางเลือกอีกด้วย

อัตราดอกเบี้ยในประเทศและต้นทุนการกู้ยืม

โดยปกติแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องดำเนินนโยบายการเงินโดยคำนึงถึงทิศทางของเฟด เพื่อรักษาสมดุลของเงินทุนเคลื่อนย้ายและเสถียรภาพของค่าเงินบาท หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง อาจสร้างแรงกดดันให้ ธปท. ต้องพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยตามไปด้วย เพื่อไม่ให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกว้างจนเกินไปและกระตุ้นให้เงินทุนไหลออกมากเกินควร การขึ้นดอกเบี้ยในประเทศจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและสินเชื่อสำหรับประชาชนทั่วไป เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนในประเทศ

ในทางกลับกัน หากเฟดอยู่ในช่วงของการลดดอกเบี้ย ก็จะเปิดพื้นที่ให้ ธปท. สามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย หรือลดดอกเบี้ยในประเทศได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับภาคธุรกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrency)

ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่อ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟดเช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Bitcoin ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เสี่ยง (Risk-on Asset) แต่ในขณะเดียวกัน บางส่วนก็มองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) คล้ายกับทองคำ

ในช่วงที่เฟดใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (ลดดอกเบี้ยและอัดฉีดสภาพคล่อง) สภาพคล่องในระบบที่สูงขึ้นมักจะไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงตลาดคริปโทฯ ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่อเฟดเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว (ขึ้นดอกเบี้ย) เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จะทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนอย่างคริปโทฯ สูงขึ้น นักลงทุนอาจย้ายเงินออกจากตลาดคริปโทฯ ไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงได้ ดังนั้น การประชุมเฟดจึงเป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

นักลงทุนควรเตรียมตัวรับมืออย่างไร

จากข้อมูลทั้งหมด จะเห็นได้ว่าการประชุมเฟดและทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างรอบด้านต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ค่าเงินบาท ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ ไปจนถึงตลาดสินทรัพย์ทางเลือกอย่างคริปโทเคอร์เรนซี ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังจับตาการประชุมในเดือนกันยายน 2568 และคาดการณ์ถึงแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี 2568 และปีถัดไปอย่างใกล้ชิด

สำหรับนักลงทุน การทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้คือขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น การติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และการวิเคราะห์ท่าทีของคณะกรรมการ FOMC จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินสถานการณ์และปรับกลยุทธ์การลงทุนของตนเองได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าผลการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร การวางแผนการลงทุนที่รอบคอบและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมจะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการนำทางพอร์ตโฟลิโอให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ไปได้

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930