Shopping cart

15 ก.ย. วันศิลป์ พีระศรี รำลึกบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย

สารบัญ

วันที่ 15 กันยายนของทุกปี คือวันสำคัญของวงการศิลปะไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “วันศิลป์ พีระศรี” วันนี้จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ชาวอิตาลีผู้มีหัวใจเป็นไทย และได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของประเทศ การมาถึงของท่านได้เปลี่ยนแปลงและยกระดับวงการศิลปะไทยให้ก้าวสู่ความเป็นสากลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

  • วันแห่งการรำลึก: วันที่ 15 กันยายน คือวันคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งถูกกำหนดให้เป็น “วันศิลป์ พีระศรี” เพื่อเชิดชูเกียรติและรำลึกถึงคุณูปการที่ท่านมีต่อประเทศไทย
  • ผู้ก่อตั้งสถาบันศิลปะชั้นนำ: ท่านเป็นผู้ก่อตั้งและวางรากฐานมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาด้านศิลปะที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และผลิตบุคลากรทางศิลปะที่มีคุณภาพมาอย่างยาวนาน
  • บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่: ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้นำองค์ความรู้ทางศิลปะตะวันตกมาประยุกต์ใช้และผสมผสานกับวัฒนธรรมไทยอย่างลงตัว สร้างแนวทางใหม่ให้กับศิลปะไทยจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
  • มรดกทางปัญญาและผลงาน: ผลงานประติมากรรมและคำสอนของท่านยังคงเป็นแรงบันดาลใจและเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับวงการศิลปะร่วมสมัยของไทยจนถึงปัจจุบัน

ในหน้าประวัติศาสตร์ศิลปะไทย การมาถึงของวันที่ 15 ก.ย. วันศิลป์ พีระศรี รำลึกบิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ไทย ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านและการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด วันดังกล่าวไม่เพียงเป็นวันคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (เดิมชื่อ คอร์ราโด เฟโรชี) แต่ยังเป็นวันที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นหลังได้หวนรำลึกถึงมรดกทางความคิดและผลงานที่ท่านได้มอบไว้ให้กับแผ่นดินไทย คุณูปการของท่านครอบคลุมทั้งในด้านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรม การวางรากฐานการศึกษาศิลปะอย่างเป็นระบบ และการอุทิศตนในฐานะครูผู้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินไทยจำนวนนับไม่ถ้วน

ความสำคัญของวันศิลป์ พีระศรี

“วันศิลป์ พีระศรี” ถูกกำหนดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่วันคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ในวันที่ 15 กันยายนของทุกปี ความสำคัญของวันนี้หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์ศิลปะไทยสมัยใหม่ เพราะเป็นการระลึกถึงบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการปฏิรูปและพัฒนางานศิลปะของชาติให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ การจัดงานรำลึกในวันนี้จึงเปรียบเสมือนการแสดงความกตัญญูต่อ “ครู” ผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นการย้ำเตือนถึงคุณค่าของศิลปะที่ท่านได้พยายามปลูกฝังไว้ในสังคมไทย

บุคคลที่ได้รับการยกย่องคือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี หรือชื่อเดิม คอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) ประติมากรชาวอิตาลีผู้เดินทางมารับราชการในสยามและได้อุทิศทั้งชีวิตเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับวงการศิลปะไทย ท่านไม่เพียงแต่นำความรู้และเทคนิคการสร้างสรรค์งานศิลปะแบบตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ แต่ยังมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวัฒนธรรมและจิตวิญญาณความเป็นไทย ทำให้สามารถผสมผสานสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน จนเกิดเป็นอัตลักษณ์ของศิลปะสมัยใหม่ของไทยที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ

ประวัติและเส้นทางจากฟลอเรนซ์สู่สยาม

ประวัติและเส้นทางจากฟลอเรนซ์สู่สยาม

เส้นทางชีวิตของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี คือเรื่องราวของการเดินทางข้ามทวีปที่ไม่ได้เปลี่ยนเพียงชีวิตของคนคนหนึ่ง แต่ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางศิลปะของทั้งประเทศ จากนครฟลอเรนซ์ ศูนย์กลางแห่งศิลปะเรอเนซองส์ สู่กรุงสยามที่กำลังเปิดรับความรู้จากโลกตะวันตก

ชีวิตช่วงต้นในอิตาลี

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) ณ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เมืองที่เปรียบเสมือนจิตวิญญาณของศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) การเติบโตขึ้นท่ามกลางผลงานศิลปะชิ้นเอกของโลกจากศิลปินระดับตำนานอย่าง เลโอนาร์โด ดา วินชี และ มิเกลันเจโล ได้หล่อหลอมให้เขามีความรักและความผูกพันกับศิลปะอย่างลึกซึ้ง เขาได้เข้าศึกษาที่ราชวิทยาลัยศิลปะแห่งฟลอเรนซ์ (The Royal Academy of Art of Florence) และสำเร็จการศึกษาด้วยความสามารถอันโดดเด่นในสาขาประติมากรรม ทำให้ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์และความเชี่ยวชาญที่เป็นที่ยอมรับในแวดวงศิลปะของอิตาลี

การเดินทางสู่แผ่นดินไทย

ในช่วงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 รัฐบาลสยามมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะตะวันตกเพื่อเข้ามารับราชการในกรมศิลปากร โดยเฉพาะในสาขาการปั้นและหล่อโลหะ รัฐบาลอิตาลีจึงได้เสนอชื่อของศาสตราจารย์คอร์ราโด เฟโรชี ซึ่งมีคุณสมบัติและความสามารถตรงตามความต้องการ ท่านจึงได้เดินทางมายังสยามประเทศในปี พ.ศ. 2466 และเริ่มต้นชีวิตการทำงานในฐานะช่างปั้นประจำกรมศิลปากร

การมาถึงของท่านไม่ใช่เพียงการมารับตำแหน่งตามสัญญา แต่เป็นการเริ่มต้นภารกิจครั้งสำคัญที่ท่านได้อุทิศทั้งชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อวางรากฐานและยกระดับงานศิลปะของไทย ท่านได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นไทยและได้รับชื่อไทยอันเป็นมงคลว่า “ศิลป์ พีระศรี” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เป็นศรีแห่งศิลปะ” อันสะท้อนถึงบทบาทและตัวตนของท่านได้อย่างสมบูรณ์

บทบาทในการวางรากฐานศิลปะสมัยใหม่ของไทย

คุณูปการที่สำคัญที่สุดของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี คือการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและวางรากฐานให้กับวงการศิลปะไทยให้ก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ ท่านได้นำหลักการและทฤษฎีศิลปะแบบสากลเข้ามาเผยแพร่ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ศิลปินไทยสร้างสรรค์ผลงานที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และความเป็นไทย

การผสมผสานศิลปะตะวันตกและเอกลักษณ์ไทย

ก่อนการมาถึงของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปะไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นงานในลักษณะประเพณีนิยม (Traditional Art) ที่เน้นเรื่องราวทางศาสนาและคติความเชื่อเป็นหลัก ศาสตราจารย์ศิลป์ได้นำเสนอแนวคิดศิลปะสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงความคิด ความรู้สึก และมุมมองส่วนตัวของศิลปิน ท่านได้สอนหลักการพื้นฐานทางศิลปะตะวันตก เช่น กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy), ทัศนียภาพ (Perspective), และการจัดองค์ประกอบศิลป์ (Composition) ซึ่งเป็นความรู้ใหม่สำหรับช่างศิลป์ไทยในยุคนั้น

อย่างไรก็ตาม ท่านไม่ได้ต้องการให้ศิลปินไทยละทิ้งรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตนเอง แต่กลับสนับสนุนให้มีการนำองค์ความรู้ใหม่เหล่านี้มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงความเป็นไทยในรูปแบบที่ทันสมัยและเป็นสากลมากขึ้น การผสมผสานนี้ได้ก่อให้เกิดแนวทางศิลปะร่วมสมัยของไทย ที่ซึ่งเทคนิคแบบตะวันตกถูกนำมาใช้เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและจิตวิญญาณแบบไทยได้อย่างมีพลังและน่าสนใจ

การก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร

นอกจากการสร้างสรรค์ผลงานแล้ว ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างบุคลากรทางศิลปะที่มีคุณภาพ ท่านจึงได้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันการศึกษาด้านศิลปะขึ้น โดยเริ่มต้นจากโรงเรียนประณีตศิลปกรรมในสังกัดกรมศิลปากร และต่อมาได้พัฒนาและยกฐานะขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยศิลปากร” ในปี พ.ศ. 2486 โดยมีท่านดำรงตำแหน่งคณบดีคนแรกของคณะจิตรกรรมและประติมากรรม

มหาวิทยาลัยศิลปากรได้กลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และบ่มเพาะศิลปินรุ่นใหม่ของประเทศ ท่านได้วางหลักสูตรการเรียนการสอนที่ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในศิลปะอย่างรอบด้านและสามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างเต็มศักยภาพ ท่านเป็นครูที่อุทิศตนเพื่อลูกศิษย์อย่างแท้จริง มุ่งมั่นถ่ายทอดวิชาความรู้และปลูกฝังจิตวิญญาณของความเป็นศิลปินให้กับนักศึกษา จนทำให้มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นสถาบันศิลปะชั้นนำของประเทศและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติมาจนถึงทุกวันนี้

สรุปเส้นทางและคุณูปการสำคัญ

เพื่อให้เห็นภาพรวมของบทบาทและผลกระทบที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มีต่อวงการศิลปะไทย สามารถสรุปเหตุการณ์และคุณูปการสำคัญตามช่วงเวลาได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางสรุปช่วงเวลาและคุณูปการสำคัญของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ต่อวงการศิลปะไทย
ช่วงเวลา เหตุการณ์สำคัญ ความสำคัญและผลกระทบ
พ.ศ. 2435 ถือกำเนิดในนาม คอร์ราโด เฟโรชี ณ เมืองฟลอเรนซ์ อิตาลี การเติบโตในสภาพแวดล้อมทางศิลปะระดับโลก หล่อหลอมให้มีความรู้ความสามารถด้านศิลปะอย่างลึกซึ้ง
พ.ศ. 2466 เดินทางมารับราชการในสยาม ที่กรมศิลปากร จุดเริ่มต้นของการปฏิรูปวงการศิลปะไทย โดยนำความรู้และเทคนิคจากตะวันตกเข้ามาเผยแพร่
พ.ศ. 2477 ก่อตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรม วางรากฐานสถาบันการศึกษาศิลปะอย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
พ.ศ. 2486 ยกฐานะโรงเรียนฯ เป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร สร้างสถาบันอุดมศึกษาด้านศิลปะแห่งแรกของไทย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตศิลปินและนักวิชาการศิลปะที่สำคัญ
พ.ศ. 2487 ได้รับสัญชาติไทยและชื่อ “ศิลป์ พีระศรี” แสดงถึงความผูกพันและการอุทิศตนอย่างเต็มตัวเพื่อประเทศไทยและวงการศิลปะไทย
ตลอดชีวิตการทำงาน สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมและให้การศึกษา สร้างมรดกทางวัตถุที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และมรดกทางปัญญาที่สืบทอดผ่านลูกศิษย์จำนวนมาก

มรดกที่ไม่มีวันเลือนหาย

แม้ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี จะถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว แต่มรดกที่ท่านทิ้งไว้ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด ทั้งในรูปแบบของผลงานศิลปะที่จับต้องได้และปรัชญาความคิดที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลัง

ผลงานศิลปกรรมอันทรงคุณค่า

ผลงานประติมากรรมจำนวนมากที่ท่านสร้างสรรค์ขึ้นไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะเพื่อความงาม แต่ยังทำหน้าที่เป็นสื่อบันทึกประวัติศาสตร์และปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ อนุสาวรีย์สำคัญหลายแห่งในประเทศไทยล้วนเป็นผลงานการออกแบบและปั้นของท่าน ซึ่งผลงานเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมและเป็นสัญลักษณ์ที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผลงานของท่านเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงวิวัฒนาการของศิลปะไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน และเป็นมรดกทางวัตถุที่ทรงคุณค่าของชาติ

ปรัชญา “ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว”

หนึ่งในวาทะอมตะของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่มักถูกกล่าวถึงอยู่เสมอคือ “ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว” (Ars longa, vita brevis) ซึ่งสะท้อนถึงปรัชญาการทำงานและความเชื่อมั่นในคุณค่าของศิลปะอย่างลึกซึ้ง

ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว

คำกล่าวนี้มีความหมายว่า แม้ชีวิตของมนุษย์จะมีจำกัดและต้องสิ้นสุดลงในวันใดวันหนึ่ง แต่ผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยจิตวิญญาณและความทุ่มเทจะยังคงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน เป็นมรดกที่ส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปรัชญานี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการทำงานของท่าน แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ศิลปินทุกคนตระหนักถึงความรับผิดชอบในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าและยั่งยืน เพื่อจรรโลงสังคมและสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามต่อไป

วันศิลป์ พีระศรี: วันแห่งการรำลึกและสืบสาน

โดยสรุปแล้ว การกำหนดให้วันที่ 15 กันยายนของทุกปีเป็น “วันศิลป์ พีระศรี” มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรำลึกถึงคุณูปการของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้เป็นทั้งศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ครูผู้อุทิศตน และผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานศิลปะสมัยใหม่ให้กับประเทศไทย ท่านได้นำพาแวดวงศิลปะไทยให้ก้าวข้ามจากขนบเดิมสู่ความเป็นสากล ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากตะวันตกเข้ากับเอกลักษณ์ความเป็นไทย และที่สำคัญที่สุดคือการก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพสำหรับอนาคต

ดังนั้น การรำลึกถึงศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ในวันนี้ จึงไม่ใช่เป็นเพียงการระลึกถึงบุคคลท่านหนึ่ง แต่คือการตระหนักถึงคุณค่าของศิลปะ รากฐานทางวัฒนธรรมที่ท่านได้สร้างไว้ และการสืบสานเจตนารมณ์ในการพัฒนาวงการศิลปะไทยให้ก้าวหน้าและเติบโตอย่างมั่นคงต่อไป มรดกที่ท่านมอบไว้ยังคงเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแสงสว่างนำทางให้กับศิลปินและผู้รักในศิลปะทุกคนสืบไป

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031