รัฐเคาะ! ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ ชู 5F ปั้นเศรษฐกิจไทย
- ประเด็นสำคัญของยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
- ภาพรวมและทิศทางใหม่ของเศรษฐกิจไทย
- นิยามและความหมายของ “ซอฟต์พาวเวอร์” ในบริบทปัจจุบัน
- เจาะลึกกลยุทธ์ 5F: หัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
- กลไกการขับเคลื่อน: โครงสร้างองค์กรและงบประมาณ
- เป้าหมายและผลกระทบที่คาดหวัง
- ความท้าทายและโอกาสในอนาคต
- บทสรุป: ทิศทางอนาคตของเศรษฐกิจไทยกับซอฟต์พาวเวอร์
ประเด็นสำคัญของยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
- การอนุมัติยุทธศาสตร์ชาติ: คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติอย่างเป็นทางการ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
- กลยุทธ์ 5F เป็นหัวใจหลัก: นโยบายมุ่งเน้นการส่งเสริม 5 อุตสาหกรรมหลักที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ อาหาร (Food), ภาพยนตร์และสื่อ (Film), แฟชั่น (Fashion), ศิลปะการต่อสู้ (Fighting), และเทศกาล (Festival)
- เป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน: ตั้งเป้าสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 4 ล้านล้านบาทต่อปี และสร้างงานให้แก่ประชาชนกว่า 20 ล้านตำแหน่ง ผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 11 สาขา
- การจัดตั้งองค์กรและงบประมาณ: มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” และเตรียมจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจอย่าง THACCA พร้อมทุ่มงบประมาณปี 2569 ราว 7,000 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
- การบูรณาการทุกภาคส่วน: ยุทธศาสตร์นี้เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และส่งเสริมการลงทุนอย่างครบวงจร
ภาพรวมและทิศทางใหม่ของเศรษฐกิจไทย
ล่าสุดเป็นที่แน่ชัดแล้วเมื่อ รัฐเคาะ! ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ ชู 5F ปั้นเศรษฐกิจไทย อย่างเป็นทางการ ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ นโยบายนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผนงานระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก โดยเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ให้กลายเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ การผลักดันยุทธศาสตร์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการมองหาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ นอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างความมั่งคั่งและกระจายรายได้สู่ประชาชนอย่างยั่งยืน
ความสำคัญของยุทธศาสตร์นี้อยู่ที่การเปลี่ยนมุมมองจากการ “ขาย” สินค้าและบริการ ไปสู่การ “สร้างอิทธิพล” ผ่านวัฒนธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ความต้องการสินค้าและบริการของไทยโดยสมัครใจจากนานาชาติ การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงเป็นที่น่าจับตามองสำหรับผู้ประกอบการ นักสร้างสรรค์ และประชาชนทั่วไป เพราะนโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตอาหารรายย่อยไปจนถึงสตูดิโอผลิตภาพยนตร์ขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของประเทศไทย และสร้างแบรนด์ “ประเทศไทย” ให้แข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
นิยามและความหมายของ “ซอฟต์พาวเวอร์” ในบริบทปัจจุบัน
พลังแห่งการโน้มน้าวใจที่ไม่ใช่การบังคับ
ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) คือความสามารถในการสร้างอิทธิพลหรือการโน้มน้าวใจผู้อื่นให้ปฏิบัติตามหรือคล้อยตามความต้องการ โดยไม่ใช้กำลังบังคับ (Hard Power) เช่น อำนาจทางการทหารหรืออำนาจทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการใช้ “พลังดึงดูด” ที่เกิดจากเสน่ห์ของวัฒนธรรม, ค่านิยมทางการเมือง, และนโยบายต่างประเทศที่น่าชื่นชมแทน ในบริบทของประเทศไทย ซอฟต์พาวเวอร์คือการนำสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น อาหารไทย, มวยไทย, ศิลปะ, ภาพยนตร์ และประเพณีต่างๆ มานำเสนออย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ และทำให้ผู้คนทั่วโลกรู้สึกชื่นชม ผูกพัน และต้องการเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ความเป็นไทยมากขึ้น
ซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่แค่การส่งออกวัฒนธรรม แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้ความคิดสร้างสรรค์และวัฒนธรรมสามารถเติบโตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน
เหตุผลที่ซอฟต์พาวเวอร์กลายเป็นวาระแห่งชาติ
การที่รัฐบาลผลักดันยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ให้เป็นวาระแห่งชาติเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยสำคัญ ประการแรก โลกยุคใหม่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลข่าวสารและเศรษฐกิจดิจิทัล การสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรมสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ทำให้การลงทุนในซอฟต์พาวเวอร์มีประสิทธิภาพสูง ประการที่สอง ซอฟต์พาวเวอร์เป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการของไทยในตลาดโลกที่การแข่งขันรุนแรง แทนที่จะแข่งขันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว การสร้างเรื่องราวและความผูกพันทางวัฒนธรรมจะทำให้สินค้าไทยมีคุณค่าในใจผู้บริโภคมากขึ้น ประการสุดท้าย นี่คือแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและครอบคลุม เพราะอุตสาหกรรมสร้างสรรค์กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศและเกี่ยวข้องกับผู้คนหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกวัตถุดิบไปจนถึงนักออกแบบและศิลปิน การส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์จึงเท่ากับการสร้างงานและกระจายรายได้สู่ชุมชนโดยตรง
เจาะลึกกลยุทธ์ 5F: หัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
กลยุทธ์ 5F คือแกนหลักของยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยเป็นการคัดเลือก 5 อุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพสูงสุดและเป็นที่รู้จักในระดับสากลอยู่แล้ว มาต่อยอดและพัฒนาอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและชัดเจนที่สุด
F = Food (อาหาร): จากครัวไทยสู่ครัวโลก
อาหารไทยเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงพลังที่สุดของประเทศและเป็นที่ยอมรับทั่วโลกอยู่แล้ว ยุทธศาสตร์นี้จะมุ่งเน้นการยกระดับอาหารไทยไปอีกขั้น ตั้งแต่การส่งเสริมวัตถุดิบท้องถิ่นที่มีคุณภาพ, การพัฒนาเชฟรุ่นใหม่ให้มีทักษะและความคิดสร้างสรรค์, การสนับสนุนร้านอาหารไทยในต่างประเทศให้รักษามาตรฐาน, ไปจนถึงการโปรโมตอาหารไทยผ่านสื่อและเทศกาลอาหารระดับโลก เป้าหมายไม่ใช่เพียงแค่การทำให้คนรู้จัก “ต้มยำกุ้ง” หรือ “ผัดไทย” แต่คือการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอาหารทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำ (เกษตรกร) กลางน้ำ (ผู้แปรรูปและเชฟ) ไปจนถึงปลายน้ำ (ร้านอาหารและการส่งออก)
F = Film (ภาพยนตร์ และคอนเทนต์): เล่าเรื่องไทยให้โลกฟัง
อุตสาหกรรมภาพยนตร์และสื่อสร้างสรรค์มีศักยภาพในการเผยแพร่วัฒนธรรมและสร้างภาพลักษณ์ประเทศได้อย่างมหาศาล นโยบายจะมุ่งส่งเสริมการผลิตภาพยนตร์, ซีรีส์, และแอนิเมชันที่มีคุณภาพระดับสากล โดยการสนับสนุนด้านเงินทุน, การพัฒนาทักษะบุคลากร (ผู้กำกับ, นักเขียนบท,ทีมงานโปรดักชัน), และการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อดึงดูดกองถ่ายทำจากต่างประเทศให้เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ (Location Incentive) มากขึ้น การผลักดันในส่วนนี้จะช่วยสร้างงานในวงการสร้างสรรค์ และยังเป็นการสอดแทรกวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว และวิถีชีวิตแบบไทยๆ ไปสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกได้อย่างเป็นธรรมชาติ
F = Fashion (แฟชั่น): ผสมผสานอัตลักษณ์ไทยสู่สากล
อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมีจุดเด่นที่การผสมผสานระหว่างหัตถศิลป์ดั้งเดิมกับดีไซน์ร่วมสมัย ยุทธศาสตร์จะเน้นการผลักดันผ้าไทยและงานฝีมือท้องถิ่น เช่น ผ้าขาวม้า ผ้าไหม ไปสู่เวทีแฟชั่นโลก โดยการสนับสนุนนักออกแบบไทยให้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นสากลแต่ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นไทย, การสร้างแบรนด์แฟชั่นไทยให้เป็นที่รู้จัก, และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งในและต่างประเทศ เช่น การเข้าร่วมงานแฟชั่นวีคระดับโลก เป้าหมายคือการทำให้ “Made in Thailand” เป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และมีเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ
F = Fighting (ศิลปะการต่อสู้): มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า
“มวยไทย” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะศิลปะการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์และทรงประสิทธิภาพ การส่งเสริมในส่วนนี้จะครอบคลุมตั้งแต่การยกระดับมาตรฐานค่ายมวย, การพัฒนาหลักสูตรการสอนสำหรับชาวต่างชาติ, การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) โดยดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาเรียนมวยไทยในประเทศ, ไปจนถึงการสนับสนุนนักมวยไทยให้ก้าวสู่เวทีการแข่งขันระดับโลก การผลักดันมวยไทยไม่เพียงแต่สร้างรายได้ แต่ยังเป็นการส่งต่อคุณค่าของความมีวินัย, ความเคารพ และความแข็งแกร่งของจิตใจแบบไทยอีกด้วย
F = Festival (เทศกาล): แม่เหล็กดึงดูดการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม
ประเทศไทยมีเทศกาลและประเพณีที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น สงกรานต์, ลอยกระทง ยุทธศาสตร์นี้จะมุ่งยกระดับเทศกาลเหล่านี้ให้เป็นกิจกรรมระดับโลก (World-Class Event) ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังจะมีการสนับสนุนการสร้างสรรค์เทศกาลใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ เช่น เทศกาลดนตรี, เทศกาลภาพยนตร์, และเทศกาลศิลปะ เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรมที่หลากหลายและน่าตื่นเต้นตลอดเวลา
แกนหลัก (F-Pillar) | คำอธิบายและเป้าหมาย | อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง |
---|---|---|
Food (อาหาร) | ยกระดับอาหารไทยสู่สากล สร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร | เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ, การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, ร้านอาหาร |
Film (ภาพยนตร์) | ส่งเสริมการผลิตคอนเทนต์คุณภาพและดึงดูดกองถ่ายต่างชาติ | ภาพยนตร์, สื่อดิจิทัล, แอนิเมชันและเกม, การออกแบบ |
Fashion (แฟชั่น) | ผลักดันผ้าไทยและงานออกแบบที่มีอัตลักษณ์สู่ตลาดโลก | การออกแบบ, หัตถกรรมและงานฝีมือ, การท่องเที่ยว |
Fighting (ศิลปะการต่อสู้) | สร้างมาตรฐานและส่งเสริมมวยไทยในฐานะการท่องเที่ยวเชิงกีฬา | กีฬา, การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การศึกษา |
Festival (เทศกาล) | ยกระดับเทศกาลประเพณีและสร้างสรรค์อีเวนต์ใหม่ๆ ระดับโลก | การท่องเที่ยว, ดนตรี, ศิลปะการแสดง, การจัดอีเวนต์ |
กลไกการขับเคลื่อน: โครงสร้างองค์กรและงบประมาณ
เพื่อให้ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลได้วางโครงสร้างการทำงานและจัดสรรงบประมาณไว้อย่างชัดเจน
บทบาทของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
หัวใจสำคัญของกลไกการขับเคลื่อนคือ “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดทิศทางนโยบายภาพรวม, ประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน, อนุมัติแผนงานและโครงการ, รวมถึงพิจารณาแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การมีคณะกรรมการระดับชาติช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็วและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างบูรณาการ
THACCA: องค์กรหัวหอกในการผลักดันนโยบาย
นอกเหนือจากคณะกรรมการฯ แล้ว รัฐบาลยังมีแผนจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจ คือ Thailand Creative Content Agency (THACCA) เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานปฏิบัติการหลักในการผลักดันยุทธศาสตร์ให้เกิดผลจริง THACCA จะเป็นองค์กรที่มีความคล่องตัวสูง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการสนับสนุนผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ทั้งในด้านการให้ทุน, การจัดอบรมพัฒนาทักษะ (Upskill/Reskill), การจับคู่ธุรกิจ, และการส่งเสริมการตลาดในต่างประเทศ เปรียบเสมือนเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ “One Stop Service” สำหรับวงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย
การจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ความมุ่งมั่นของรัฐบาลสะท้อนผ่านการจัดสรรงบประมาณที่ชัดเจน โดยในเบื้องต้นได้มีการเตรียมงบประมาณสำหรับปี 2569 ไว้ราว 7,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสนับสนุนโครงการต่างๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ งบประมาณดังกล่าวจะถูกจัดสรรอย่างครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ (การพัฒนาวัตถุดิบและบุคลากร), กลางน้ำ (การสนับสนุนการผลิตและสร้างสรรค์ผลงาน), ไปจนถึงปลายน้ำ (การตลาดและส่งเสริมการส่งออก) การลงทุนอย่างต่อเนื่องนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ยุทธศาสตร์สามารถดำเนินไปได้อย่างไม่สะดุดและสร้างผลกระทบในระยะยาว
เป้าหมายและผลกระทบที่คาดหวัง
ยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายเชิงสัญลักษณ์ แต่มาพร้อมกับเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและตัวชี้วัดที่ชัดเจนทั้งในมิติของเศรษฐกิจและสังคม
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ: 4 ล้านล้านบาทและ 20 ล้านตำแหน่งงาน
เป้าหมายสูงสุดของยุทธศาสตร์นี้คือการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ให้ได้ถึง 4 ล้านล้านบาทต่อปี ตัวเลขนี้ครอบคลุมรายได้จากการส่งออกสินค้าวัฒนธรรม, รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น, และมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายในการสร้างงานใหม่และยกระดับทักษะแรงงานให้รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้ถึง 20 ล้านตำแหน่ง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการว่างงานและเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือนทั่วประเทศ
การยกระดับ 11 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์
แม้จะชู 5F เป็นหัวหอก แต่ยุทธศาสตร์นี้ครอบคลุมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภาพรวมทั้งหมด 11 สาขา ซึ่งนอกจาก 5F แล้ว ยังรวมถึงสาขาอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยว, ดนตรี, หนังสือ, เกม, ศิลปะ, และการออกแบบ อุตสาหกรรมเหล่านี้จะได้รับอานิสงส์จากการผลักดันนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ไปด้วยกัน การพัฒนาแบบองค์รวมนี้จะช่วยสร้างระบบนิเวศของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมสามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้ เช่น อุตสาหกรรมภาพยนตร์ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมแฟชั่นช่วยส่งเสริมงานหัตถศิลป์ เป็นต้น
ความท้าทายและโอกาสในอนาคต
แม้ว่ายุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์จะเต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญ ความท้าทายสำคัญคือการทำให้ “นโยบาย” กลายเป็น “การปฏิบัติ” ที่เกิดผลจริงในระดับพื้นที่ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและความต่อเนื่องของนโยบาย การวัดผลความสำเร็จของซอฟต์พาวเวอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยาก ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องมีการพัฒนาดัชนีชี้วัดที่เหมาะสม นอกจากนี้ การแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรงจากประเทศอื่นๆ ที่ใช้กลยุทธ์ซอฟต์พาวเวอร์เช่นกัน ทำให้ประเทศไทยต้องสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เปิดกว้างนั้นมีมหาศาล กระแสโลกปัจจุบันที่ผู้คนให้ความสำคัญกับประสบการณ์และเรื่องราวทางวัฒนธรรมมากขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกที่เอื้อต่อการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของไทย เทคโนโลยีดิจิทัลยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้วัฒนธรรมไทยสามารถเผยแพร่ไปสู่ผู้ชมทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ หากสามารถดำเนินยุทธศาสตร์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องยนต์ตัวสำคัญที่นำพาเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน สร้างความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของชาติ และยกระดับสถานะของประเทศไทยในเวทีโลกได้อย่างแท้จริง