Shopping cart

สธ. ชี้ ‘เด็กติดจอ’ เสี่ยงพัฒนาการช้า แนะวิธีแก้ก่อนสาย

สารบัญ

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ปัญหา “เด็กติดจอ” ได้ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นวาระสำคัญด้านสาธารณสุข ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขได้สร้างความกังวลให้แก่ผู้ปกครองทั่วประเทศ เมื่อพบว่าการใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปในเด็กเล็กส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการทางสมอง อารมณ์ และสังคมอย่างมีนัยสำคัญ

ภาพรวมสถานการณ์เด็กติดจอและคำเตือนจากกระทรวงสาธารณสุข

  • ความเสี่ยงพัฒนาการล่าช้า: กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกรมอนามัยเปิดเผยข้อมูลวิจัยชี้ชัดว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่ใช้เวลาหน้าจอเกินมาตรฐานมีความเสี่ยงสูงที่จะมีพัฒนาการล่าช้าในหลายมิติ
  • คำแนะนำตามหลักสากล: ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีหลีกเลี่ยงสื่อมีจอทุกชนิดโดยสิ้นเชิง และจำกัดเวลาสำหรับเด็กอายุ 2-5 ปีไว้ที่ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน
  • ผลกระทบครอบคลุมหลายด้าน: ปัญหาจากการติดจอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องสมาธิสั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาด้านอารมณ์ เช่น ความหงุดหงิด ก้าวร้าว และปัญหาด้านพฤติกรรมที่อาจคล้ายคลึงกับภาวะออทิสติก
  • แนวทางแก้ปัญหา: การแก้ไขต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ปกครองในการสร้างกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ส่งเสริมกิจกรรมทดแทน และสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวกภายในครอบครัว เพื่อลดการพึ่งพาหน้าจอ

สธ. ชี้ ‘เด็กติดจอ’ เสี่ยงพัฒนาการช้า แนะวิธีแก้ก่อนสาย กลายเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ในหลายครอบครัว การเข้าถึงสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างง่ายดายได้เปลี่ยนวิถีการเลี้ยงลูกในยุคดิจิทัล ทำให้หน้าจอกลายเป็นเครื่องมือที่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยเลือกใช้เพื่อทำให้เด็กสงบนิ่งหรือเพื่อให้ตนเองมีเวลาส่วนตัว แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่ออนาคตของเด็กเกินกว่าที่คาดคิด รายงานจากกรมอนามัยได้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่สังคมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองต้องตระหนักถึงอันตรายแฝงและหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สื่อดิจิทัลในเด็กเล็กอย่างจริงจัง

สถานการณ์ดังกล่าวนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน การทำความเข้าใจถึงผลกระทบอย่างลึกซึ้งและเรียนรู้แนวทางป้องกันและแก้ไขที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่อ้างอิงจากข้อเท็จจริงและคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถรับมือกับปัญหาเด็กติดจอได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างรากฐานพัฒนาการที่แข็งแกร่งให้แก่บุตรหลานก่อนที่จะสายเกินแก้

ผลกระทบร้ายแรงของ Screen Time ต่อพัฒนาการรอบด้านของเด็ก

การปล่อยให้เด็กเล็กใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากเกินไปเปรียบเสมือนการขัดขวางกระบวนการเรียนรู้ตามธรรมชาติที่ควรจะเกิดขึ้นผ่านการปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัว งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นในหลายมิติ ตั้งแต่โครงสร้างสมองไปจนถึงทักษะทางสังคม

พัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ และสมาธิที่ถดถอย

ในช่วง 5 ปีแรกของชีวิต สมองของเด็กจะพัฒนาอย่างรวดเร็วที่สุด การเรียนรู้ในช่วงวัยนี้เกิดจากการสัมผัส การเคลื่อนไหว และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและสิ่งแวดล้อม แต่การใช้เวลาไปกับการจ้องมองหน้าจอที่เป็นการสื่อสารทางเดียว (Passive Consumption) จะทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้แบบสองทาง (Interactive Learning) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเส้นใยประสาทที่แข็งแรง ผลที่ตามมาคือ:

  • ปัญหาการควบคุมสมาธิ: เนื้อหาในสื่อดิจิทัลมักมีการตัดต่อที่รวดเร็วและใช้สีสันฉูดฉาดเพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งกระตุ้นสมองของเด็กมากเกินไป เมื่อเด็กคุ้นชินกับการกระตุ้นในระดับสูงเช่นนี้ พวกเขาจะรู้สึกว่ากิจกรรมในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น การอ่านหนังสือ หรือการเล่นของเล่น เป็นเรื่องน่าเบื่อและไม่สามารถจดจ่อได้นาน นำไปสู่ภาวะที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้น (ADHD)
  • พัฒนาการทางภาษาล่าช้า: เด็กเรียนรู้ภาษาจากการฟังและโต้ตอบกับผู้เลี้ยงดู การสนทนา การอ่านนิทาน การร้องเพลง ล้วนเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างคลังคำศัพท์และความเข้าใจในโครงสร้างประโยค แต่การดูหน้าจอเพียงลำพังทำให้เด็กขาดโอกาสในการฝึกฝนทักษะการสื่อสารเหล่านี้
  • ทักษะการแก้ปัญหาลดลง: การเล่นอย่างอิสระ เช่น การต่อบล็อกไม้ หรือการเล่นบทบาทสมมติ ช่วยให้เด็กได้ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ การวางแผน และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่การเล่นเกมหรือดูวิดีโอที่มีรูปแบบตายตัวจะจำกัดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก

ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและอารมณ์

การใช้หน้าจอเป็นเวลานานส่งผลกระทบโดยตรงต่อการควบคุมอารมณ์ของเด็กเล็ก เด็กที่ติดจอมักแสดงพฤติกรรมที่น่ากังวลออกมาเมื่อไม่ได้ใช้หรือถูกจำกัดการใช้สื่อเหล่านั้น

การใช้หน้าจอเพื่อทำให้เด็กหยุดร้องไห้หรือสงบนิ่ง อาจดูเหมือนเป็นทางแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ในระยะยาว มันกำลังสอนให้เด็กไม่เรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตนเองอย่างเหมาะสม

  • ความหงุดหงิดและใจร้อน: โลกดิจิทัลที่ทุกอย่างรวดเร็วทันใจ ทำให้เด็กขาดความอดทนรอคอย เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ในชีวิตจริงที่ไม่ได้ดั่งใจ พวกเขามักจะแสดงอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
  • ภาวะเก็บตัวและซึมเศร้า: การใช้เวลาในโลกเสมือนจริงมากเกินไปทำให้เด็กขาดการเชื่อมต่อกับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกโดดเดี่ยวและพัฒนาไปเป็นภาวะซึมเศร้าในเด็กได้
  • ปัญหาการนอน: แสงสีฟ้า (Blue Light) ที่ปล่อยออกมาจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ ทำให้เด็กที่เล่นมือถือก่อนนอนมักมีอาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือตื่นกลางดึก ซึ่งส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง

ปัญหาพฤติกรรมและทักษะทางสังคมที่ลดลง

ทักษะทางสังคมเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ผ่านการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การจ้องมองหน้าจอทำให้เด็กเสียโอกาสสำคัญนี้ไป ผลที่ตามมาคือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและการเข้าสังคมที่บกพร่อง

  • พฤติกรรมก้าวร้าว: เด็กอาจเลียนแบบพฤติกรรมรุนแรงที่เห็นจากการ์ตูนหรือเกมโดยไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ นอกจากนี้ ความคับข้องใจเมื่อถูกห้ามไม่ให้เล่นอาจแสดงออกมาในรูปแบบของความก้าวร้าวต่อต้าน
  • ขาดทักษะการสื่อสารแบบเผชิญหน้า: การเรียนรู้ที่จะอ่านสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงของคู่สนทนาเป็นหัวใจสำคัญของการสื่อสาร แต่เด็กที่ติดจอจะขาดโอกาสในการฝึกฝนทักษะเหล่านี้ ทำให้ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น และไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างได้
  • พฤติกรรมคล้ายออทิสติก (Autistic-like Behaviors): ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าเด็กที่ใช้เวลาหน้าจอมากเกินไปในวัยขวบปีแรก อาจแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่คล้ายกับเด็กออทิสติก เช่น ไม่สบตา ไม่สนใจผู้อื่น มีพฤติกรรมซ้ำๆ ซึ่งเรียกว่า “ภาวะออทิสติกเทียม” ซึ่งเกิดจากการขาดการกระตุ้นที่เหมาะสมตามวัย

การทำความเข้าใจภาวะติดจอและสัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองต้องรู้

การทำความเข้าใจภาวะติดจอและสัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองต้องรู้

การตระหนักว่าเมื่อใดที่การใช้หน้าจอของบุตรหลานได้ข้ามเส้นจากความบันเทิงไปสู่ “ภาวะติดจอ” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครอง เพื่อที่จะสามารถเข้าแทรกแซงและให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

นิยามของภาวะ Screen Addiction ในเด็ก

ภาวะติดจอ (Screen Addiction) ในเด็ก หมายถึง รูปแบบพฤติกรรมการใช้สื่อหน้าจอที่มากเกินความจำเป็นจนควบคุมไม่ได้ กลายเป็นพฤติกรรมที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน และส่งผลกระทบเชิงลบต่อพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และการเรียนรู้ของเด็กอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่เรื่องของ “จำนวนชั่วโมง” ที่ใช้ แต่ยังรวมถึง “ระดับการพึ่งพิง” ที่มีต่ออุปกรณ์เหล่านั้น

สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าเด็กอาจกำลังเข้าสู่ภาวะติดจอ ได้แก่:

  • มีอาการหงุดหงิดอย่างรุนแรง: เมื่อถูกจำกัดเวลาหรือถูกยึดอุปกรณ์ เด็กจะแสดงอาการฉุนเฉียว ก้าวร้าว หรือซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
  • หมกมุ่นอยู่กับหน้าจอ: แม้ในเวลาที่ไม่ได้เล่น ก็ยังพูดถึงแต่เรื่องเกมหรือวิดีโอที่ดู และรอคอยเวลาที่จะได้กลับไปใช้อุปกรณ์อีกครั้ง
  • ละเลยกิจกรรมอื่น: ไม่สนใจของเล่น การออกไปเล่นนอกบ้าน หรือการทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวเหมือนเคย เพราะต้องการใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากกว่า
  • โกหกหรือแอบเล่น: เริ่มมีพฤติกรรมซ่อนเร้น เช่น แอบนำอุปกรณ์ไปเล่นในห้องนอน หรือโกหกเกี่ยวกับระยะเวลาที่ใช้ไปกับหน้าจอ
  • ใช้หน้าจอเพื่อหลีกหนีปัญหา: เมื่อรู้สึกเบื่อ เศร้า หรือเครียด เด็กจะหันหน้าเข้าหาหน้าจอเพื่อเป็นทางออกเสมอ

แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กติดจอตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

การแก้ไขปัญหาเด็กติดจอต้องอาศัยความเข้าใจ ความอดทน และความสม่ำเสมอจากผู้ปกครอง โดยกรมอนามัยและผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กได้ให้คำแนะนำที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในครอบครัว

กฎทองคำ: จำกัดเวลาหน้าจอตามช่วงวัย

นี่คือหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่ทุกครอบครัวควรยึดถือ การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเองและเข้าใจว่าหน้าจอเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกิจกรรมทั้งหมดในแต่ละวัน ไม่ใช่กิจกรรมหลัก

ตารางเปรียบเทียบคำแนะนำการใช้สื่อหน้าจอสำหรับเด็กเล็กตามคำแนะนำของกรมอนามัย
ช่วงอายุ คำแนะนำการใช้หน้าจอ เหตุผลและข้อควรปฏิบัติ
ต่ำกว่า 2 ปี หลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง (No Screen Time) สมองของทารกและเด็กวัยเตาะแตะต้องการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เพื่อพัฒนาการที่ดีที่สุด ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือการวิดีโอแชทกับบุคคลในครอบครัว ซึ่งมีการโต้ตอบแบบสองทาง
2–5 ปี ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน เลือกเนื้อหาที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับวัย ผู้ปกครองควรนั่งดูร่วมกับเด็กเพื่อพูดคุยและอธิบายสิ่งที่เห็น เป็นการเปลี่ยนจากการดูแบบไร้ปฏิสัมพันธ์ (Passive) มาเป็นการดูแบบมีส่วนร่วม (Active)

เปลี่ยนหน้าจอให้เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ในครอบครัว

แทนที่จะปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอเพียงลำพัง ผู้ปกครองสามารถเปลี่ยน Screen Time ให้กลายเป็นช่วงเวลาคุณภาพของครอบครัวได้

  • เลือกเนื้อหาเชิงบวก: เลือกโปรแกรม สารคดี หรือเกมการศึกษาที่ส่งเสริมการเรียนรู้และมีเนื้อหาที่สร้างสรรค์
  • ดูและเล่นร่วมกัน: การที่ผู้ปกครองนั่งดูด้วยและคอยตั้งคำถาม เช่น “ตัวละครกำลังรู้สึกอย่างไร” หรือ “ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น” จะช่วยกระตุ้นการคิดวิเคราะห์และเสริมสร้างความสัมพันธ์
  • กำหนด “เขตปลอดเทคโนโลยี”: สร้างพื้นที่และช่วงเวลาที่ทุกคนในบ้านจะวางอุปกรณ์สื่อสารลง เช่น บนโต๊ะอาหาร หรือในห้องนอน เพื่อส่งเสริมการพูดคุยและปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัว

พลังของกิจกรรมทดแทน: สร้างพัฒนาการโดยไม่พึ่งจอ

วิธีที่ดีที่สุดในการลดเวลาหน้าจอคือการหากิจกรรมอื่นที่สนุกและมีประโยชน์มาทดแทน การส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าและร่างกายอย่างเต็มที่เป็นกุญแจสำคัญสู่พัฒนาการที่สมวัย

  • การอ่าน: อ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวัน เพื่อสร้างคลังคำศัพท์ จินตนาการ และสร้างความผูกพัน
  • ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์: จัดเตรียมอุปกรณ์ง่ายๆ เช่น สีเทียน ดินน้ำมัน กระดาษสี เพื่อให้เด็กได้ปลดปล่อยจินตนาการ
  • การเล่นกลางแจ้ง: การวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่น การปั่นจักรยาน หรือการเดินเล่นในสวนสาธารณะ ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่และทำให้เด็กได้เรียนรู้จากธรรมชาติ
  • การเล่นบทบาทสมมติ: การเล่นขายของ เล่นเป็นหมอ หรือเล่นทำอาหาร ช่วยส่งเสริมทักษะทางสังคม การแก้ปัญหา และความเข้าใจในบทบาทต่างๆ
  • ช่วยงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ: การให้เด็กมีส่วนร่วมในงานบ้านตามวัย เช่น เก็บของเล่น หรือช่วยรดน้ำต้นไม้ เป็นการฝึกความรับผิดชอบและสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง

บทบาทของผู้ปกครองในการเป็นแบบอย่างที่ดี

เด็กเรียนรู้จากการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิด หากผู้ปกครองใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจ้องมองสมาร์ทโฟน ก็เป็นเรื่องยากที่จะสอนให้ลูกลดเวลาหน้าจอได้ ดังนั้น ผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยีอย่างสมดุล แสดงให้เด็กเห็นว่ายังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมายในชีวิตที่น่าสนใจกว่าการอยู่กับหน้าจอ

บทเรียนจากต่างประเทศ: นโยบายจัดการปัญหา Screen Time

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นความท้าทายระดับโลก หลายประเทศได้เริ่มดำเนินมาตรการเชิงนโยบายเพื่อลดผลกระทบของ Screen Time ที่มีต่อเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นบทเรียนที่น่าสนใจ

กรณีศึกษา: กฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียนของฝรั่งเศส

ในปี 2018 ประเทศฝรั่งเศสได้ออกกฎหมายห้ามนักเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้โทรศัพท์มือถือในบริเวณโรงเรียนอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่ระดับประถมไปจนถึงมัธยมต้น นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:

  • ส่งเสริมสมาธิในห้องเรียน: ลดสิ่งรบกวนที่เกิดจากสมาร์ทโฟน ทำให้นักเรียนสามารถจดจ่อกับการเรียนการสอนได้ดียิ่งขึ้น
  • กระตุ้นปฏิสัมพันธ์ทางสังคม: ส่งเสริมให้นักเรียนพูดคุยและเล่นกับเพื่อนในช่วงเวลาพัก แทนที่จะก้มหน้าอยู่กับอุปกรณ์ของตนเอง
  • ลดปัญหาการกลั่นแกล้งออนไลน์ (Cyberbullying): จำกัดโอกาสในการเกิดปัญหาการกลั่นแกล้งผ่านโซเชียลมีเดียในระหว่างวัน
  • ปกป้องสุขภาพจิต: ลดความเครียดและความกดดันที่เกิดจากการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นบนโลกออนไลน์

แม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะเน้นไปที่เด็กในวัยเรียน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักของภาครัฐต่ออันตรายของการใช้เทคโนโลยีมากเกินไป และเป็นตัวอย่างของการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กได้เติบโตโดยปราศจากสิ่งรบกวนจากหน้าจอ

บทสรุป: สร้างสมดุลให้เด็กเติบโตอย่างแข็งแกร่งในยุคดิจิทัล

ข้อมูลที่น่ากังวลจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่าปัญหา ‘เด็กติดจอ’ และความเสี่ยงต่อพัฒนาการช้าเป็นเรื่องจริงที่ผู้ปกครองไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไป ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านใดด้านหนึ่ง แต่ครอบคลุมทั้งสมอง อารมณ์ พฤติกรรม และทักษะทางสังคม ซึ่งล้วนเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ

การเลี้ยงลูกในยุคดิจิทัลไม่ได้หมายความว่าจะต้องตัดขาดเทคโนโลยีออกจากชีวิตโดยสิ้นเชิง แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่การ “สร้างสมดุล” และ “การใช้งานอย่างมีเป้าหมาย” ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางการใช้สื่อของบุตรหลาน โดยเริ่มต้นจากการสร้างกติกาที่ชัดเจนภายในบ้าน จำกัดเวลาหน้าจออย่างเหมาะสมตามวัย คัดเลือกเนื้อหาที่มีคุณภาพ และที่สำคัญที่สุดคือการอุทิศเวลาเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันในโลกแห่งความเป็นจริง

ขอแนะนำให้ผู้ปกครองเริ่มต้นสำรวจพฤติกรรมการใช้หน้าจอของบุตรหลานและของตนเองตั้งแต่วันนี้ และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนโดยนำแนวทางจากผู้เชี่ยวชาญไปปรับใช้ การลงทุนลงแรงในวันนี้เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่อบอุ่นและส่งเสริมกิจกรรมที่หลากหลาย คือการวางรากฐานพัฒนาการที่แข็งแกร่งและมอบของขวัญล้ำค่าที่สุดให้แก่ชีวิตของเด็กในระยะยาว

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930