ใช้เงินวันสิ้นโลก! เทรนด์ Doom Spending ของ Gen Z ไทย
- ภาพรวมของเทรนด์ Doom Spending
- เจาะลึก Doom Spending: ปรากฏการณ์การใช้จ่ายของคนรุ่นใหม่
- ต้นตอของพฤติกรรม: เหตุใด Gen Z จึงเลือกใช้เงินวันสิ้นโลก?
- ลักษณะการใช้จ่ายที่สะท้อนแนวคิด Doom Spending
- ข้อมูลเชิงสถิติและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
- ผลกระทบและความเสี่ยงในระยะยาว
- บทสรุป: การทำความเข้าใจพฤติกรรมเพื่ออนาคต
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่ผันผวน พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ หนึ่งในปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองคือ ใช้เงินวันสิ้นโลก! เทรนด์ Doom Spending ของ Gen Z ไทย ซึ่งเป็นการใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการทางอารมณ์และสร้างความสุขในระยะสั้น แม้จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในอนาคตก็ตาม เทรนด์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันและความท้าทายที่คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญอยู่
ภาพรวมของเทรนด์ Doom Spending
- นิยาม: Doom Spending คือพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
- สาเหตุหลัก: เกิดจากความไม่มั่นคงทางการเงิน, ความเครียดจากการทำงานและชีวิตประจำวัน, และการเสพข่าวสารเชิงลบผ่านโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง
- กลุ่มเป้าหมาย: พบมากในกลุ่ม Gen Z (43%) และ Gen Y (35%) ที่รู้สึกว่าการวางแผนการเงินระยะยาวเป็นเรื่องยากและไกลตัว
- พฤติกรรมเด่น: มุ่งเน้นการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าแบรนด์เนม การท่องเที่ยว และประสบการณ์ที่สร้างความสุขได้ทันที โดยไม่คำนึงถึงการออมในระยะยาว
- ผลกระทบ: อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพทางการเงิน เช่น หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และขาดความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
เจาะลึก Doom Spending: ปรากฏการณ์การใช้จ่ายของคนรุ่นใหม่
พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้คนในยุคดิจิทัลมีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยรอบด้านมากกว่าที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประชากร Gen Z ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรุ่นก่อนหน้า ทำให้เกิดเทรนด์การใช้จ่ายที่เรียกว่า “Doom Spending” หรือ “การใช้เงินวันสิ้นโลก” ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความรู้สึกสิ้นหวังและไม่แน่นอนต่ออนาคต
นิยามและความหมาย
Doom Spending คือพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินอย่างไม่ยั้งคิด เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่มอบความสุขและความพึงพอใจในระยะสั้น เป็นกลไกการรับมือ (Coping Mechanism) กับความเครียด ความวิตกกังวล และความรู้สึกไร้ซึ่งการควบคุมต่อสถานการณ์ในอนาคต ผู้ที่มีพฤติกรรมนี้มักจะให้ความสำคัญกับความสุขในปัจจุบันมากกว่าการวางแผนทางการเงินเพื่ออนาคต เพราะมองว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและอยู่นอกเหนือการควบคุม การใช้จ่ายจึงเปรียบเสมือนการยืนยันว่าตนเองยังสามารถควบคุมความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันได้
กลุ่มเป้าหมายหลัก: Gen Z
ข้อมูลทางสถิติชี้ชัดว่ากลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรม Doom Spending สูงที่สุดถึง 43% ตามมาด้วยกลุ่ม Gen Y หรือ Millennials ที่ประมาณ 35% เหตุผลสำคัญคือ Gen Z เป็นกลุ่มที่กำลังเริ่มต้นสร้างฐานะทางการเงิน แต่ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความไม่มั่นคงในตลาดแรงงาน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการเก็บออมเงินเพื่อซื้อบ้านหรือเพื่อการเกษียณเป็นเป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อม การใช้เงินเพื่อ “ติดแกลม” (Glamour) หรือปรนเปรอตัวเองด้วยของฟุ่มเฟือยจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าดึงดูดใจกว่า
ต้นตอของพฤติกรรม: เหตุใด Gen Z จึงเลือกใช้เงินวันสิ้นโลก?
ปรากฏการณ์ Doom Spending ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มา แต่มีรากฐานมาจากปัจจัยซับซ้อนหลายประการที่ผสมผสานกัน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ จิตวิทยา และสังคม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิธีคิดและการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่
ความเปราะบางทางเศรษฐกิจและการเงิน
หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดคือความไม่มั่นคงทางการเงิน คนรุ่น Gen Z จำนวนมากมีรายได้เฉลี่ยน้อยกว่าคนรุ่นพ่อแม่ในวัยเดียวกัน แต่กลับต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นค่าที่พักอาศัย ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้ทำให้การออมเงินเพื่อเป้าหมายใหญ่ในชีวิตกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง เมื่อเป้าหมายระยะยาวดูเลือนราง การใช้จ่ายเพื่อความสุขในปัจจุบันจึงกลายเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลในความรู้สึกของพวกเขา
ความเครียดและแรงกดดันทางจิตใจ
สภาวะกดดันจากชีวิตและการทำงานเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งสำคัญ ปัญหาเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนทางการเมือง และวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสร้างความเครียดและความเหนื่อยล้าทางจิตใจให้กับผู้คน การใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าที่อยากได้หรือการเดินทางท่องเที่ยวจึงเป็นวิธีหนึ่งในการหลีกหนีจากความจริงที่โหดร้ายและเป็นการให้รางวัลกับตัวเองเพื่อเยียวยาจิตใจที่อ่อนล้า การกระทำดังกล่าวช่วยสร้างความรู้สึกดีและลดความเครียดได้ในระยะสั้น
อิทธิพลของข่าวสารเชิงลบและโซเชียลมีเดีย
การเปิดรับข่าวสารเชิงลบ (Doomscrolling) ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียทุกวัน ส่งผลให้มุมมองต่อโลกของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และ Gen Y กลายเป็นไปในแง่ลบและสิ้นหวังมากขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับข่าวร้ายอย่างสม่ำเสมอ สมองจะเกิดความวิตกกังวลและรู้สึกไร้ซึ่งอำนาจในการควบคุมสถานการณ์
พฤติกรรมการซื้อของจึงกลายเป็นเครื่องมือในการทวงคืนอำนาจและความรู้สึกควบคุมชีวิตกลับคืนมา แม้จะเป็นเพียงการควบคุมในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม การได้ตัดสินใจเลือกซื้อสิ่งของที่ต้องการทำให้พวกเขารู้สึกดีกับตนเองและหลีกหนีจากความกังวลเหล่านั้นได้ชั่วขณะ
ปัจจัย | Gen Z | Gen Y (Millennials) |
---|---|---|
สัดส่วนที่มีพฤติกรรม | สูงถึง 43% | ประมาณ 35% |
สาเหตุหลักทางเศรษฐกิจ | รายได้เริ่มต้นน้อย, ความไม่มั่นคงในอาชีพ, ค่าครองชีพสูง | ภาระหนี้สินเดิม (การศึกษา, บ้าน), การเติบโตของรายได้ไม่ทันเงินเฟ้อ |
สาเหตุหลักทางจิตใจ | ความเครียดจากโซเชียลมีเดีย, ความรู้สึกสิ้นหวังต่ออนาคต (Eco-anxiety, Political instability) | ความเครียดจากความคาดหวังในหน้าที่การงานและครอบครัว (Burnout) |
พฤติกรรมการใช้จ่ายเด่น | สินค้าแฟชั่น, แบรนด์เนม, แกดเจ็ต, ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่สร้างคอนเทนต์ได้ | การตกแต่งบ้าน, ประสบการณ์การรับประทานอาหาร, การท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน |
ลักษณะการใช้จ่ายที่สะท้อนแนวคิด Doom Spending
พฤติกรรม Doom Spending สามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ แต่มีจุดร่วมคือการตัดสินใจที่รวดเร็ว ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า และมุ่งเน้นไปที่การสร้างความพึงพอใจทางอารมณ์เป็นหลัก
การลงทุนในสินค้าฟุ่มเฟือยและประสบการณ์หรูหรา
การซื้อสินค้าแบรนด์เนม, เสื้อผ้าคอลเลกชันใหม่, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นล่าสุด หรือการเดินทางไปในสถานที่หรูหรา คือตัวอย่างที่ชัดเจนของพฤติกรรมนี้ การได้ครอบครองหรือสัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความสุข แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ของชีวิตที่ดีและประสบความสำเร็จบนโลกโซเชียล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการยืนยันคุณค่าของตนเองในสังคมปัจจุบัน
การเติบโตของธุรกิจเช่าซื้อสินค้าแบรนด์เนม
ที่น่าสนใจคือ เทรนด์นี้ยังส่งผลให้ธุรกิจบางประเภทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ธุรกิจให้เช่าสินค้าหรู หรือแฟรนไชส์กระเป๋าแบรนด์เนมมือสอง ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้าถึงประสบการณ์ความหรูหราในราคาที่ย่อมเยาลงมา โมเดลธุรกิจเหล่านี้ช่วยให้พวกเขาสามารถสัมผัสกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการได้โดยไม่ต้องมีภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาวเท่ากับการซื้อขาด
ข้อมูลเชิงสถิติและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและจิตวิทยาได้ให้ความเห็นต่อปรากฏการณ์นี้อย่างน่าสนใจ Ylva Baeckstrom นักวิชาการจาก King’s Business School ชี้ว่า Doom Spending มีรากฐานมาจากความไม่มั่นคงทางจิตใจและการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในแง่ลบที่อาจจะเกินจริงไปบ้าง เมื่อผู้คนรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้ พวกเขาจะหันมาใช้เงินเพื่อสร้างความรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ยังสามารถควบคุมการตัดสินใจในชีวิตของตนเองได้
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่น่าสนใจว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 พบว่าคนไทยในหลายกลุ่มเริ่มมีพฤติกรรมการประหยัดมากขึ้น เนื่องจากความกังวลต่อความไม่แน่นอนในอนาคต แต่ในขณะเดียวกัน แนวโน้ม Doom Spending ยังคงฝังรากลึกอยู่ในกลุ่ม Gen Z บางส่วนที่ไม่สามารถหยุดใช้เงินเพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดการกับความเครียดได้ทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในใจของคนรุ่นใหม่ระหว่างความต้องการความมั่นคงและความต้องการความสุขในปัจจุบัน
ผลกระทบและความเสี่ยงในระยะยาว
แม้ว่า Doom Spending จะช่วยบรรเทาความเครียดได้ในระยะสั้น แต่ผลกระทบในระยะยาวเป็นสิ่งที่น่ากังวล พฤติกรรมการใช้จ่ายโดยไม่วางแผนอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคล ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาความไม่มั่นคงทางการเงินให้รุนแรงขึ้น การขาดเงินออมยังหมายถึงการขาดเกราะป้องกันสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินในอนาคต เช่น การเจ็บป่วย หรือการตกงาน ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ชีวิตยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก
บทสรุป: การทำความเข้าใจพฤติกรรมเพื่ออนาคต
เทรนด์ ใช้เงินวันสิ้นโลก! เทรนด์ Doom Spending ของ Gen Z ไทย เป็นมากกว่าแค่พฤติกรรมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความท้าทาย ความกดดัน และความรู้สึกไม่มั่นคงที่คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญอยู่ การทำความเข้าใจถึงต้นตอของพฤติกรรมนี้ ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และจิตวิทยา เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกภาคส่วนในการหาแนวทางสนับสนุนและสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อให้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างอนาคตที่มั่นคงและมีความสุขได้อย่างยั่งยืน การสร้างสมดุลระหว่างความสุขในปัจจุบันและการวางแผนเพื่ออนาคตจึงเป็นทักษะทางการเงินที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน