Shopping cart

ลาออกเงียบหลบไป! เทรนด์ใหม่ Career Cushioning

สารบัญ

ในยุคที่ตลาดแรงงานมีความผันผวนสูง การลาออกเงียบอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายอีกต่อไป ขณะนี้เทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า ลาออกเงียบหลบไป! เทรนด์ใหม่ Career Cushioning กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหมู่คนทำงานรุ่นใหม่ โดยเป็นกลยุทธ์การสร้าง “เบาะรองรับ” หรือแผนสำรองให้กับเส้นทางอาชีพ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ Career Cushioning

  • Career Cushioning คือกลยุทธ์เชิงรุกในการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตทางอาชีพ โดยการสร้างแผนสำรองไว้ล่วงหน้าขณะที่ยังทำงานอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน
  • แนวคิดนี้แตกต่างจากการลาออกเงียบ (Quiet Quitting) อย่างสิ้นเชิง โดยเน้นการพัฒนาตนเองและสร้างโอกาสใหม่ๆ แทนที่จะลดความกระตือรือร้นในงานที่ทำอยู่
  • แรงผลักดันสำคัญมาจากความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน เช่น ความกังวลเรื่องการเลิกจ้าง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
  • กิจกรรมหลักประกอบด้วยการพัฒนาทักษะใหม่ (Upskilling/Reskilling) การอัปเดตเรซูเม่ การขยายเครือข่ายทางอาชีพ และการสำรวจโอกาสงานใหม่ๆ อยู่เสมอ
  • เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ ลดความเครียดจากความไม่แน่นอน และเพิ่มความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่โอกาสใหม่ได้อย่างราบรื่น

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิทัศน์ของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แนวคิด ลาออกเงียบหลบไป! เทรนด์ใหม่ Career Cushioning ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นเกราะป้องกันสำหรับมนุษย์เงินเดือนยุคใหม่ กลยุทธ์นี้ไม่ใช่การแสดงออกถึงความไม่พอใจต่องานปัจจุบัน แต่เป็นการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่ออนาคต โดยมุ่งสร้างความมั่นคงและความพร้อมให้กับตนเองในการเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการถูกเลิกจ้างอย่างกะทันหัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร หรือแม้แต่การแสวงหาเส้นทางอาชีพใหม่ที่เหมาะสมกว่าเดิม การเตรียมการล่วงหน้านี้ช่วยให้พนักงานมีความมั่นใจและอำนาจในการควบคุมทิศทางอาชีพของตนเองมากขึ้น

ทำความรู้จัก Career Cushioning: กลยุทธ์สร้างความมั่นคงในยุคที่ไม่แน่นอน

ทำความรู้จัก Career Cushioning: กลยุทธ์สร้างความมั่นคงในยุคที่ไม่แน่นอน

Career Cushioning เป็นแนวทางปฏิบัติที่พนักงานเตรียมแผนสำรองสำหรับเส้นทางอาชีพของตนเองอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปัจจุบันอย่างเต็มความสามารถ แนวทางนี้เปรียบเสมือนการสร้างเบาะนิรภัยที่ช่วยลดแรงกระแทกหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับงานที่ทำอยู่ โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การมองหางานใหม่ แต่ครอบคลุมถึงการพัฒนาตนเองในทุกมิติเพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงาน

ทำไม Career Cushioning จึงกลายเป็นเทรนด์?

ปรากฏการณ์นี้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายในตลาดแรงงานทั่วโลก และทำให้พนักงานตระหนักว่าไม่มีตำแหน่งงานใดที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงอีกต่อไป ปัจจัยอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนเทรนด์นี้ ได้แก่:

  • ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ: ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและข่าวการเลิกจ้างพนักงานในบริษัทใหญ่ๆ ทำให้คนทำงานรู้สึกว่าจำเป็นต้องมีแผนสำรอง
  • การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ ทำให้ทักษะบางอย่างอาจถูกแทนที่ในอนาคต การเตรียมพร้อมและเรียนรู้ทักษะใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็น
  • ความต้องการความยืดหยุ่น: คนทำงานรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและเส้นทางอาชีพที่หลากหลาย การมีตัวเลือกสำรองช่วยให้สามารถตัดสินใจเลือกทางเดินที่เหมาะสมกับตนเองได้ดีขึ้น
  • การเข้าถึงข้อมูล: แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น LinkedIn ทำให้การสำรวจตลาดงาน การสร้างเครือข่าย และการอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับทักษะที่ตลาดต้องการเป็นเรื่องง่ายขึ้น

ใครที่ควรให้ความสนใจกับเทรนด์นี้?

อันที่จริงแล้ว Career Cushioning เป็นกลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อคนทำงานทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการสร้างความมั่นคงในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับเริ่มต้นที่ต้องการสำรวจเส้นทางอาชีพ หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ซึ่งต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันให้อยู่ในระดับสูงเสมอ บุคคลที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนสูง เช่น เทคโนโลยี สื่อ หรือสตาร์ทอัพ ยิ่งควรนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้เพื่อลดความเสี่ยงและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

แก่นแท้ของ Career Cushioning: ไม่ใช่แค่การหางานใหม่

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า Career Cushioning คือการแอบสมัครงานใหม่ในขณะที่ยังทำงานอยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แนวคิดนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งและกว้างขวางกว่านั้นมาก มันคือการบริหารจัดการอาชีพเชิงรุกที่มุ่งเน้นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับตนเอง

นิยามและแนวคิดหลัก

Career Cushioning คือ “การเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบและต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากการสูญเสียงานหรือภาวะอาชีพชะงักงัน” โดยเน้นที่การเตรียมตัวมากกว่าการถอนตัวออกจากความรับผิดชอบในงานปัจจุบัน มันคือการลงทุนในอนาคตของตนเองผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีทางเลือกเสมอไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร

Career Cushioning คือการเปลี่ยนจากความคิดที่ว่า ‘จะทำอย่างไรถ้าถูกเลิกจ้าง’ ไปสู่ความคิดที่ว่า ‘ฉันพร้อมเสมอสำหรับโอกาสต่อไป’ มันคือการสร้างอำนาจในการควบคุมเส้นทางอาชีพของตนเอง

องค์ประกอบสำคัญของ Career Cushioning

กลยุทธ์นี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลายด้านที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง “เบาะรองรับ” ที่แข็งแกร่ง:

การสร้างแผนสำรอง (Plan B)

นี่คือส่วนที่ชัดเจนที่สุด คือการสำรวจโอกาสงานอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรวมถึงการตั้งค่าแจ้งเตือนตำแหน่งงานที่น่าสนใจ การอัปเดตเรซูเม่และโปรไฟล์ LinkedIn ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้พร้อมยื่นสมัครได้ทันทีเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เตรียมความพร้อม แต่ยังช่วยให้ประเมินมูลค่าของตนเองในตลาดแรงงานปัจจุบันได้อีกด้วย

การพัฒนาทักษะ (Upskilling และ Reskilling)

การเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ (Upskilling) หรือการเรียนรู้ทักษะที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อเปลี่ยนสายงาน (Reskilling) เป็นหัวใจสำคัญของ Career Cushioning การลงทุนในการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนคอร์สออนไลน์ การเข้าร่วมเวิร์กช็อป หรือการได้รับใบรับรองต่างๆ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น สิ่งนี้ยังเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการที่ทักษะเดิมอาจล้าสมัยไปตามกาลเวลา

การขยายเครือข่ายและการทำงานเสริม

การสร้างและรักษาเครือข่ายทางอาชีพ (Networking) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การมีคอนเนคชันที่ดีในแวดวงอุตสาหกรรมสามารถเปิดประตูสู่โอกาสที่คาดไม่ถึง นอกจากนี้ การรับงานเสริม (Freelance) หรือโปรเจกต์เล็กๆ นอกเวลางานประจำ ยังเป็นวิธีที่ดีในการทดสอบทักษะใหม่ๆ สร้างรายได้เพิ่มเติม และสำรวจความเป็นไปได้ในสายอาชีพอื่นโดยไม่ต้องลาออกจากงานหลัก

ประโยชน์ด้านจิตใจ: ความมั่นคงที่สร้างได้เอง

นอกเหนือจากประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมแล้ว Career Cushioning ยังมอบประโยชน์ทางจิตใจอย่างมหาศาล การรู้ว่าตนเองมีแผนสำรองและมีทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาด จะช่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในหน้าที่การงาน ความรู้สึกมั่นคงนี้ส่งผลให้สามารถทำงานในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปราศจากความเครียดจากการกลัวการตกงานอย่างกะทันหัน มันคือการสร้างความรู้สึกของการมีอำนาจและควบคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาวะที่ดีของคนทำงาน

ความแตกต่างที่ชัดเจน: Career Cushioning vs. Quiet Quitting

แม้ว่าทั้งสองแนวคิดจะเกิดขึ้นในบริบทของโลกการทำงานยุคใหม่ แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การลาออกเงียบ (Quiet Quitting) เป็นการตอบสนองเชิงรับ (Reactive) ต่อความไม่พอใจในงาน โดยลดความพยายามลงเหลือเพียงขั้นต่ำที่จำเป็น ในขณะที่ Career Cushioning เป็นกลยุทธ์เชิงรุก (Proactive) ที่มุ่งเน้นการสร้างอนาคตและการเติบโต

ตารางเปรียบเทียบระหว่าง Career Cushioning และ Quiet Quitting เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในด้านเป้าหมาย แนวทาง และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเส้นทางอาชีพ
มิติการเปรียบเทียบ Career Cushioning Quiet Quitting
เป้าหมายหลัก สร้างความมั่นคงและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ลดความเครียดและความผูกพันกับงานปัจจุบัน
ลักษณะการกระทำ เชิงรุก (Proactive) และมองไปข้างหน้า เชิงรับ (Reactive) และเป็นการถอนตัว
กิจกรรมที่ทำ พัฒนาทักษะ, สร้างเครือข่าย, สำรวจโอกาสใหม่ ทำงานตามหน้าที่ขั้นต่ำ, ไม่รับผิดชอบเกินขอบเขต
ทัศนคติต่องานปัจจุบัน ยังคงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาตำแหน่งและประสบการณ์ ขาดความกระตือรือร้น, ทำงานเพื่อให้ผ่านไปวันๆ
ผลลัพธ์ต่ออาชีพ เพิ่มโอกาสและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว อาจนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางอาชีพและพลาดโอกาสเติบโต

Career Cushioning ในบริบทตลาดแรงงานไทย

สำหรับตลาดแรงงานในประเทศไทยซึ่งมีการแข่งขันสูงและได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกเช่นกัน แนวคิด Career Cushioning ถือว่ามีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มนุษย์เงินเดือนชาวไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับความท้าทาย ทั้งในเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความต้องการทักษะใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ของอุตสาหกรรม กลยุทธ์นี้จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถนำทางในตลาดแรงงานที่ไม่แน่นอนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาสร้าง ‘Cushion’ ให้อาชีพ

คนทำงานควรพิจารณาเริ่มสร้างเบาะรองรับทางอาชีพเมื่อสังเกตเห็นสัญญาณเตือนบางอย่าง เช่น:

  • ความไม่มั่นคงขององค์กร: มีข่าวลือเรื่องการปรับโครงสร้าง การควบรวมกิจการ หรือผลประกอบการของบริษัทไม่สู้ดีนัก
  • การขาดโอกาสเติบโต: รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการพัฒนาหรือไม่มีเส้นทางความก้าวหน้าที่ชัดเจนในตำแหน่งปัจจุบัน
  • อุตสาหกรรมกำลังเปลี่ยนแปลง: เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่กำลังเข้ามา disrupt อุตสาหกรรมที่ทำงานอยู่
  • ความรู้สึกหมดไฟ (Burnout): เริ่มรู้สึกไม่พอใจกับงานที่ทำและต้องการสำรวจหาทางเลือกใหม่ๆ ที่เติมเต็มได้มากกว่า

ขั้นตอนการเริ่มต้นทำ Career Cushioning อย่างมืออาชีพ

การเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องทำอย่างหักโหม แต่ควรทำอย่างสม่ำเสมอและรอบคอบ:

1. ประเมินสถานะปัจจุบันของตนเอง

สำรวจจุดแข็ง, จุดอ่อน, ทักษะที่มี และความสำเร็จที่ผ่านมา วิเคราะห์ว่าทักษะใดที่เป็นที่ต้องการของตลาด และทักษะใดที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม

2. กำหนดเป้าหมายและทักษะที่ต้องการ

วางแผนว่าต้องการเติบโตไปในทิศทางใด อาจจะเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้นในสายงานเดิม หรือการเปลี่ยนไปสู่สายงานใหม่ จากนั้นระบุทักษะที่จำเป็นและหาช่องทางในการเรียนรู้

3. ลงมือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอแต่รอบคอบ

แบ่งเวลาในแต่ละสัปดาห์เพื่ออัปเดตโปรไฟล์ออนไลน์, เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ, หรือพูดคุยสร้างเครือข่ายกับคนในวงการ การทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เกิดความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่กระทบกับงานประจำ

ข้อควรพิจารณาและความท้าทาย

แม้ว่า Career Cushioning จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีความท้าทายและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาเช่นกัน เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่ส่งผลเสียต่องานปัจจุบัน

ความเสี่ยงในการเสียสมาธิกับงานปัจจุบัน

การให้ความสำคัญกับการสร้างแผนสำรองมากเกินไป อาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานปัจจุบันลดลงได้ สิ่งสำคัญคือต้องรักษาสมดุลและปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบในงานหลักให้ดีที่สุดเสมอ เพื่อรักษาชื่อเสียงและความเป็นมืออาชีพ

การบริหารเวลาและการรักษาสมดุล

การเรียนรู้ทักษะใหม่ การสร้างเครือข่าย หรือการทำงานเสริม ล้วนต้องใช้เวลาและพลังงาน การบริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเหนื่อยล้าหรือกระทบกับสมดุลชีวิตส่วนตัว

การรักษาความเป็นส่วนตัวและความลับ

การสำรวจโอกาสงานใหม่อย่างเปิดเผยอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับนายจ้างปัจจุบันได้ ควรดำเนินการอย่างรอบคอบและเป็นส่วนตัว เช่น การตั้งค่าโปรไฟล์ LinkedIn ให้ไม่แจ้งเตือนเครือข่ายเมื่อมีการอัปเดตข้อมูล หรือการพูดคุยเรื่องงานใหม่กับบุคคลที่ไว้ใจได้เท่านั้น

บทสรุป: การเตรียมพร้อมคือกุญแจสู่อนาคตที่มั่นคง

สรุปได้ว่า ลาออกเงียบหลบไป! เทรนด์ใหม่ Career Cushioning ไม่ใช่แค่เทรนด์การทำงานที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่เป็นกลยุทธ์การบริหารจัดการอาชีพที่ชาญฉลาดและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนทำงานในศตวรรษที่ 21 มันสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติ จากการฝากอนาคตไว้กับองค์กรเพียงแห่งเดียว ไปสู่การสร้างความมั่นคงและความพร้อมให้กับตนเองจากภายใน

การนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ ไม่ได้หมายความถึงความไม่ภักดีต่อองค์กร แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่ออนาคตของตนเองในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การลงทุนในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การสร้างเครือข่าย และการเปิดรับโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สามารถก้าวผ่านทุกความท้าทายและเติบโตในเส้นทางอาชีพได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว ดังนั้น การวางแผนอาชีพเชิงรุกจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930