AI คุมน้ำประปา! ตัดน้ำคนจนช่วยคนรวย
- ประเด็นสำคัญของการใช้ AI ในระบบประปา
- ไขข้อเท็จจริง: AI คุมน้ำประปา! ตัดน้ำคนจนช่วยคนรวย?
- AI จัดการน้ำ คืออะไรและทำงานอย่างไร
- การประยุกต์ใช้ AI ในการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย
- เปรียบเทียบการจัดการน้ำแบบดั้งเดิมกับระบบ AI
- ความท้าทายและความเสี่ยงของความเหลื่อมล้ำจาก AI
- บทสรุป: อนาคตของการจัดการน้ำด้วย AI ในประเทศไทย
ประเด็นเรื่องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการบริหารจัดการทรัพยากรที่สำคัญอย่างน้ำประปา ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง โดยเฉพาะข้อกังวลเกี่ยวกับความเท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานของประชาชน เทคโนโลยีนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่จะปฏิวัติประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความหวั่นเกรงถึงการตัดสินใจที่อาจปราศจากมนุษยธรรม
ประเด็นสำคัญของการใช้ AI ในระบบประปา
- จากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าระบบ AI คุมน้ำประปา! ตัดน้ำคนจนช่วยคนรวย ในประเทศไทยเป็นเรื่องจริง การนำเทคโนโลยีมาใช้มุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพเป็นหลัก
- เทคโนโลยี AI ถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงการจัดการน้ำในหลายมิติ เช่น การตรวจจับรอยรั่วของท่อส่งน้ำ การตรวจสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ และการพยากรณ์ความต้องการใช้น้ำเพื่อลดการสูญเสีย
- โครงการพัฒนา AI เพื่อจัดการน้ำในประเทศไทยจำนวนมากมีเป้าหมายในการกระจายเทคโนโลยีสู่ชุมชนต่างๆ อย่างเท่าเทียม รวมถึงพื้นที่ชนบทและพื้นที่ห่างไกล เพื่อสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในภาพรวม
- AI มีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภาวะภัยแล้ง โดยช่วยให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
- อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ยังคงมีความท้าทายในด้านการสร้างความโปร่งใสของอัลกอริทึม การป้องกันอคติ และการสร้างธรรมาภิบาลในการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง
ข้อกังวลที่ว่า AI คุมน้ำประปา! ตัดน้ำคนจนช่วยคนรวย ได้กลายเป็นหัวข้อที่สร้างความวิตกในสังคมอย่างมาก โดยมีสมมติฐานว่าระบบอัตโนมัติอาจให้น้ำหนักกับพื้นที่เศรษฐกิจมากกว่าชุมชนที่ด้อยโอกาสในช่วงเวลาที่ขาดแคลนน้ำ อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบการดำเนินงานจริงของการใช้ AI ในการจัดการน้ำประปาของประเทศไทยกลับสะท้อนภาพที่แตกต่างออกไป ข้อมูลจากโครงการต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายหลักของการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้คือการเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนของระบบโดยรวม เพื่อประโยชน์ของประชากรในวงกว้างมากกว่าการเลือกปฏิบัติ การทำความเข้าใจข้อเท็จจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแยกแยะระหว่างความกลัวกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
การนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเกิดขึ้นจากความจำเป็นในการรับมือกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดภาวะภัยแล้งรุนแรงขึ้น การขยายตัวของเมืองที่เพิ่มความต้องการใช้น้ำ หรือปัญหาท่อส่งน้ำที่เสื่อมสภาพตามกาลเวลาซึ่งนำไปสู่การสูญเสียน้ำจำนวนมหาศาล หน่วยงานภาครัฐและเอกชนจึงเริ่มมองหาเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยมุ่งหวังให้ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านทรัพยากรน้ำให้กับทุกคนในสังคม
เทคโนโลยี AI ในระบบประปาไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแบ่งแยก แต่เพื่อผสานและเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายทรัพยากรน้ำให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมและยั่งยืนที่สุด
ไขข้อเท็จจริง: AI คุมน้ำประปา! ตัดน้ำคนจนช่วยคนรวย?
จากข้อมูลและการตรวจสอบโครงการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการน้ำในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ที่จะสนับสนุนข้อกล่าวหาว่ามีระบบ AI ที่จงใจตัดการจ่ายน้ำให้กับประชาชนในพื้นที่ยากจนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพื้นที่ร่ำรวย ในทางตรงกันข้าม โครงการส่วนใหญ่ที่กำลังดำเนินการหรืออยู่ในขั้นทดลองกลับมีเป้าหมายที่ตรงกันข้าม คือการเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของระบบจ่ายน้ำให้ครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียมกัน
เป้าหมายหลักของ AI จัดการน้ำคือการใช้ข้อมูลเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับระบบโดยรวม เช่น การลดปริมาณน้ำที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์จากรอยรั่ว ซึ่งเมื่อทำสำเร็จจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำสำรองเพิ่มขึ้นสำหรับทุกคน การตัดสินใจของ AI ไม่ได้อิงตามสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้ใช้น้ำ แต่ขึ้นอยู่กับตัวแปรทางเทคนิค เช่น แรงดันน้ำ อัตราการไหล และสภาพของท่อส่งน้ำ ดังนั้น แนวคิดที่ว่า AI จะ “เลือก” ช่วยคนรวยจึงขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของการออกแบบระบบเหล่านี้ ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดทางวิศวกรรมเป็นสำคัญ
AI จัดการน้ำ คืออะไรและทำงานอย่างไร
นิยามของระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ
ระบบ AI จัดการน้ำ หรือ Smart Water Management System คือการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่แหล่งน้ำดิบ โรงผลิตน้ำประปา ระบบท่อส่งจ่าย ไปจนถึงผู้ใช้น้ำปลายทาง หัวใจของระบบนี้คือการใช้เทคโนโลยีอย่าง Internet of Things (IoT) ในการติดตั้งเซ็นเซอร์ตามจุดต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น อัตราการไหล แรงดันน้ำ ระดับคลอรีน และค่าความขุ่น จากนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังระบบปัญญาประดิษฐ์ส่วนกลางเพื่อทำการวิเคราะห์ ประมวลผล และคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ควบคุมสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
กลไกการทำงานเบื้องหลัง
กลไกการทำงานของ AI ในระบบประปาสามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนหลัก:
- การรวบรวมข้อมูล (Data Collection): เซ็นเซอร์ IoT ที่ติดตั้งไว้ทั่วทั้งเครือข่ายท่อส่งน้ำจะทำการเก็บข้อมูลสำคัญต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลเหล่านี้เปรียบเสมือน “หูและตา” ของระบบที่คอยจับสัญญาณความผิดปกติ
- การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis): AI จะนำข้อมูลมหาศาลที่ได้รับมาวิเคราะห์หารูปแบบหรือความผิดปกติที่มนุษย์อาจมองข้ามไป เช่น รูปแบบแรงดันน้ำที่ลดลงอย่างผิดปกติในตอนกลางคืนอาจเป็นสัญญาณของท่อรั่ว
- การพยากรณ์และสร้างแบบจำลอง (Prediction and Modeling): ด้วยการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ระบบสามารถพยากรณ์ความต้องการใช้น้ำในอนาคตโดยอิงจากข้อมูลในอดีต สภาพอากาศ หรือแม้กระทั่งปฏิทินกิจกรรมในเมือง สิ่งนี้ช่วยให้สามารถวางแผนการผลิตและจ่ายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น
- การดำเนินการอัตโนมัติและการแจ้งเตือน (Automation and Alert): ในระบบขั้นสูง AI สามารถสั่งการควบคุมวาล์วน้ำหรือปั๊มน้ำได้โดยอัตโนมัติเพื่อปรับแรงดันให้เหมาะสม หรือในกรณีที่ตรวจพบปัญหาร้ายแรง เช่น ท่อแตก ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยังทีมซ่อมบำรุงทันทีพร้อมระบุพิกัดที่แม่นยำ ทำให้สามารถเข้าแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
การประยุกต์ใช้ AI ในการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านน้ำเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก จึงได้มีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในหลายมิติเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนของทรัพยากรน้ำ โดยมีโครงการตัวอย่างที่น่าสนใจดังนี้
การตรวจจับรอยรั่วและการลดน้ำสูญเสีย
น้ำสูญเสีย (Non-revenue water) จากการรั่วไหลของท่อประปาเป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของระบบประปาทั่วโลก ในอดีต การหาจุดรั่วต้องอาศัยทีมงานลงพื้นที่สำรวจซึ่งใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายสูง ปัจจุบันมีการนำระบบ AI ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการรอยรั่วเข้ามาใช้ เช่น เทคโนโลยีที่จัดแสดงในงาน Thai Water Expo ซึ่งใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเสียงและการไหลของน้ำในท่อเพื่อระบุตำแหน่งที่น่าจะเกิดรอยรั่วได้อย่างแม่นยำ ระบบเหล่านี้ช่วยลดการสูญเสียน้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีน้ำสะอาดส่งถึงประชาชนได้มากขึ้น และลดต้นทุนการดำเนินงานของการประปาในระยะยาว
การตรวจสอบและควบคุมคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์
การรับประกันคุณภาพน้ำประปาให้สะอาดและปลอดภัยเป็นภารกิจสำคัญสูงสุด มีโครงการนำร่องในหลายชุมชน เช่น ชุมชนบึงคล้า ที่ติดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำอัจฉริยะ เซ็นเซอร์จะทำการวัดค่าต่างๆ เช่น ค่า pH ความขุ่น และสารตกค้าง แล้วส่งข้อมูลให้ AI วิเคราะห์แบบเรียลไทม์ หากมีค่าใดผิดปกติไปจากเกณฑ์มาตรฐาน ระบบจะแจ้งเตือนผู้ควบคุมทันที ทำให้สามารถดำเนินการแก้ไขได้ก่อนที่น้ำที่ไม่ได้คุณภาพจะถูกส่งไปยังบ้านเรือนของประชาชน เป็นการยกระดับความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
การพยากรณ์ความต้องการใช้น้ำและเพิ่มประสิทธิภาพ
การผลิตและจ่ายน้ำให้สอดคล้องกับความต้องการที่ผันผวนในแต่ละช่วงเวลาเป็นเรื่องที่ท้าทาย ระบบ AI สามารถเรียนรู้รูปแบบการใช้น้ำของแต่ละพื้นที่ และนำข้อมูลเสริม เช่น พยากรณ์อากาศ หรือวันหยุดเทศกาล มาประกอบการพยากรณ์ความต้องการใช้น้ำล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้โรงผลิตน้ำสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสมและปรับแรงดันในเส้นท่อให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดพลังงานในการสูบน้ำ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่ท่อจะแตกเนื่องจากแรงดันที่สูงเกินไปอีกด้วย
AI เพื่อความยั่งยืนในภาคเกษตรกรรม
นอกเหนือจากระบบน้ำประปาในเขตเมืองแล้ว AI ยังมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ใช้น้ำมากที่สุดของประเทศ โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) มุ่งเน้นการใช้ AI เพื่อช่วยให้เกษตรกรปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียมและเซ็นเซอร์ในแปลงเกษตรเพื่อวิเคราะห์ความชื้นในดินและพยากรณ์ปริมาณฝน ระบบจะให้คำแนะนำแก่เกษตรกรว่าควรให้น้ำแก่พืชเมื่อใดและในปริมาณเท่าใด (Precision Agriculture) เพื่อให้เกิดการใช้น้ำทุกหยดอย่างคุ้มค่าที่สุดและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน
เปรียบเทียบการจัดการน้ำแบบดั้งเดิมกับระบบ AI
การเปลี่ยนผ่านจากการจัดการน้ำแบบดั้งเดิมไปสู่ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของบริการน้ำประปา
คุณสมบัติ | การจัดการแบบดั้งเดิม | การจัดการด้วย AI |
---|---|---|
การตรวจจับรอยรั่ว | อาศัยการสำรวจทางกายภาพและการร้องเรียนจากประชาชน ซึ่งล่าช้าและไม่แม่นยำ | วิเคราะห์ข้อมูลแรงดันและอัตราการไหลแบบเรียลไทม์เพื่อระบุตำแหน่งที่น่าสงสัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ |
การตรวจสอบคุณภาพน้ำ | เก็บตัวอย่างน้ำเป็นครั้งคราวเพื่อส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ ทำให้ทราบผลล่าช้า | ใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพน้ำตลอด 24 ชั่วโมง และแจ้งเตือนทันทีเมื่อพบความผิดปกติ |
การพยากรณ์ความต้องการ | อิงจากข้อมูลในอดีตและประสบการณ์ของผู้ควบคุม ซึ่งอาจไม่แม่นยำเมื่อมีปัจจัยที่ไม่คาดคิด | ใช้ Machine Learning วิเคราะห์ข้อมูลหลากหลายมิติเพื่อพยากรณ์ความต้องการได้อย่างแม่นยำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต |
การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน | กระบวนการตอบสนองเริ่มต้นเมื่อได้รับแจ้งเหตุ ทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้าและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง | ระบบสามารถตรวจจับความผิดปกติ (เช่น ท่อแตก) และแจ้งเตือนทีมงานโดยอัตโนมัติพร้อมข้อมูลสำคัญ ทำให้ตอบสนองได้ทันที |
ความท้าทายและความเสี่ยงของความเหลื่อมล้ำจาก AI
แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีหลักฐานว่า AI ถูกใช้เพื่อสร้างความเหลื่อมล้ำในการจ่ายน้ำ แต่การตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การพัฒนานโยบายและเทคโนโลยีดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นธรรมต่อทุกคน
อคติในอัลกอริทึม (Algorithmic Bias)
ความเสี่ยงประการแรกคือ “อคติในอัลกอริทึม” ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หาก AI ถูกฝึกฝนด้วยชุดข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์หรือมีอคติแฝงอยู่ ตัวอย่างเช่น หากข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าการลงทุนซ่อมบำรุงท่อในพื้นที่ร่ำรวยให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงกว่า AI ก็อาจเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญของการซ่อมบำรุงในพื้นที่เหล่านั้นก่อนพื้นที่อื่น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในคุณภาพการบริการในระยะยาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้น การตรวจสอบและคัดกรองข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน AI อย่างรอบคอบจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ความโปร่งใสและการตรวจสอบ
AI บางประเภททำงานเหมือน “กล่องดำ” (Black Box) ที่ให้ผลลัพธ์ออกมาโดยยากที่จะอธิบายเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจได้ การขาดความโปร่งใสนี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบและความรับผิดชอบ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น การที่หน่วยงานไม่สามารถชี้แจงได้ว่า AI ตัดสินใจบนพื้นฐานอะไร อาจทำลายความไว้วางใจของสาธารณชนได้ จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนากรอบธรรมาภิบาลที่กำหนดให้ระบบ AI ต้องสามารถอธิบายการตัดสินใจที่สำคัญได้ และมีกลไกการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ
ช่องว่างทางดิจิทัล (Digital Divide)
การนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้อาจสร้างช่องว่างระหว่างพื้นที่ที่มีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกับพื้นที่ที่ยังขาดแคลน ชุมชนในพื้นที่ห่างไกลอาจไม่ได้รับประโยชน์จากระบบจัดการน้ำอัจฉริยะเท่ากับในเขตเมืองหากไม่มีการลงทุนที่เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีใหม่ยังต้องการบุคลากรที่มีทักษะในการใช้งานและบำรุงรักษา โครงการนำร่องที่ประสบความสำเร็จหลายแห่งจึงมักมีการฝึกอบรมผู้ใช้งานและเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นควบคู่ไปด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีจะถูกนำไปใช้อย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อชุมชนอย่างแท้จริง
บทสรุป: อนาคตของการจัดการน้ำด้วย AI ในประเทศไทย
โดยสรุปแล้ว ข้อกังวลที่ว่า AI คุมน้ำประปา! ตัดน้ำคนจนช่วยคนรวย นั้นยังคงเป็นเพียงสมมติฐานที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์มารองรับในบริบทของประเทศไทยในปัจจุบัน การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในระบบประปาและภาคการเกษตรมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสีย และสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำสำหรับประชากรโดยรวม เทคโนโลยีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน เช่น การหารอยรั่วที่มองไม่เห็น และการพยากรณ์ความต้องการใช้น้ำเพื่อลดการใช้พลังงาน
อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าสู่การเป็นระบบจัดการน้ำอัจฉริยะอย่างเต็มรูปแบบจำเป็นต้องดำเนินไปพร้อมกับความรอบคอบและความรับผิดชอบต่อสังคม การสร้างหลักประกันว่าอัลกอริทึมที่ใช้จะปราศจากอคติ การมีกลไกที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ และการลงทุนเพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัล ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เทคโนโลยี AI สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดและกระจายอย่างเป็นธรรม อนาคตของการจัดการน้ำด้วย AI ในประเทศไทยจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับการกำกับดูแลที่มีวิสัยทัศน์และยึดมั่นในหลักการแห่งความเท่าเทียม เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำ ซึ่งเป็นทรัพยากรพื้นฐานในการดำรงชีวิต จะยังคงเข้าถึงได้สำหรับทุกคนในสังคมอย่างแท้จริง