Shopping cart

AI จับคนก่อนทำผิด! ผวาทั้งกรุง

สารบัญ

แนวคิดเรื่อง AI จับคนก่อนทำผิด! ผวาทั้งกรุง กำลังกลายเป็นความจริงที่ใกล้ตัวมากขึ้น เมื่อประเทศไทยได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมอย่างเต็มรูปแบบ การพัฒนานี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็จุดประกายให้เกิดคำถามและความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว สิทธิมนุษยชน และความถูกต้องของอัลกอริทึมที่อาจตัดสินชะตาชีวิตของบุคคลได้

ประเด็นสำคัญของการใช้ AI ป้องกันอาชญากรรม

  • การใช้ AI ในการป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์: ประเทศไทยกำลังพัฒนาระบบ AI แบบรวมศูนย์มูลค่า 200 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนแบบเรียลไทม์ สำหรับการสกัดกั้นอาชญากรรมออนไลน์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการฉ้อโกงทางการเงิน
  • การออกกฎหมายรองรับ: พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2568 ได้เพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ AI เพื่อระงับธุรกรรมและบล็อกบัญชีที่น่าสงสัยได้อย่างรวดเร็ว
  • ตำรวจ AI ในพื้นที่จริง: มีการนำหุ่นยนต์ตำรวจ AI ที่เรียกว่า “AI Police Cyborg 1.0” มาใช้ในงานสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น เทศกาลสงกรานต์ปี 2568 เพื่อช่วยตรวจการณ์ฝูงชนและรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นการขยายบทบาทของ AI จากโลกดิจิทัลสู่พื้นที่ทางกายภาพ
  • ความกังวลของสังคม: แนวคิดของระบบพรีไครม์ หรือการเฝ้าระวังเพื่อป้องกันเหตุก่อนเกิด สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ความเสี่ยงที่จะถูกระบุตัวผิดพลาดจากอคติของ AI และการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในวงกว้าง

จุดเริ่มต้นของยุคตำรวจ AI ในประเทศไทย

จุดเริ่มต้นของยุคตำรวจ AI ในประเทศไทย

การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบังคับใช้กฎหมายไม่ได้เป็นเพียงกระแสที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลลัพธ์จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความท้าทายของอาชญากรรมในยุคดิจิทัลที่ทวีความซับซ้อนและสร้างความเสียหายในวงกว้าง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการยกระดับความสามารถในการรักษาความสงบเรียบร้อยและปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆ

ความจำเป็นในการนำเทคโนโลยีมาใช้

ในอดีต การสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมต้องอาศัยกำลังคนและใช้เวลานานในการรวบรวมพยานหลักฐาน แต่ปัจจุบัน อาชญากรรมจำนวนมากเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ มีลักษณะข้ามพรมแดน และใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการก่อเหตุ เช่น การหลอกลวงลงทุนออนไลน์ (scam) การฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล หรือการเผยแพร่ข่าวปลอมเพื่อสร้างความวุ่นวาย ปัญหาเหล่านี้ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบดั้งเดิมเป็นไปได้ยากและล่าช้า

ด้วยเหตุนี้ ตำรวจ AI จึงกลายเป็นคำตอบที่สำคัญ AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดมหาศาล (Big Data) ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ สามารถตรวจจับรูปแบบพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือหาความเชื่อมโยงที่มนุษย์อาจมองข้ามไปได้ ซึ่งช่วยให้สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยและสกัดกั้นการกระทำผิดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเกิดความเสียหายรุนแรง

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในปี 2025

ปี 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการใช้ AI ในการบังคับใช้กฎหมายของไทยอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักสองประการคือ กฎหมายและการพัฒนาระบบ

ประการแรกคือ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) ที่มีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2568 กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการใช้ระบบอัตโนมัติและ AI เพื่อระงับยับยั้งความเสียหายได้อย่างทันท่วงที เช่น การบล็อก URL ที่เป็นอันตราย หรือการอายัดบัญชีธนาคารและบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลที่ต้องสงสัยได้เกือบทันที ซึ่งจากการดำเนินงานเพียง 3 เดือนหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ สามารถป้องกันความเสียหายทางการเงินได้เกือบ 6 พันล้านบาท

ประการที่สองคือ การพัฒนาระบบข้อมูล AI แบบรวมศูนย์ของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (Anti-Online Scam Operation Center – AOC) ด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 ระบบนี้จะทำหน้าที่เป็นสมองกลกลางที่เชื่อมต่อข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งตำรวจ ธนาคาร และผู้ให้บริการโทรคมนาคม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้การรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์เป็นไปอย่างมีเอกภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

มิติการทำงานของ AI: จากโลกไซเบอร์สู่ท้องถนน

บทบาทของ AI ในการป้องกันอาชญากรรมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกออนไลน์อีกต่อไป แต่ได้ขยายขอบเขตมาสู่การปฏิบัติงานในพื้นที่จริง เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวันของประชาชน การผสมผสานระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการตรวจการณ์ทางกายภาพทำให้เกิดมิติใหม่ของการรักษาความสงบเรียบร้อย

ระบบพรีไครม์สกัดกั้นภัยออนไลน์

หัวใจสำคัญของ ระบบพรีไครม์ ในบริบทของอาชญากรรมออนไลน์ คือการ “จับ” หรือสกัดกั้นการกระทำผิดก่อนที่มันจะสำเร็จลุล่วงหรือสร้างความเสียหายในวงกว้าง แทนที่จะรอให้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วจึงเริ่มกระบวนการสืบสวน ระบบ AI จะทำงานเชิงรุกโดยการวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงิน รูปแบบการสื่อสาร หรือพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ผิดปกติ

ตัวอย่างเช่น หากมีเงินจำนวนมากถูกโอนออกจากบัญชีผู้สูงอายุไปยังบัญชีที่ไม่เคยทำธุรกรรมด้วยกันมาก่อนในเวลากลางดึก หรือมีการเปิดบัญชีธนาคารใหม่จำนวนมากพร้อมกันโดยใช้ข้อมูลที่น่าสงสัย ระบบ AI จะสามารถแจ้งเตือนและเปิดทางให้เจ้าหน้าที่เข้าไประงับธุรกรรมนั้นๆ ได้ทันที แนวทางนี้เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “ไล่จับ” คนร้าย มาเป็นการ “ป้องกัน” ไม่ให้เกิดเหยื่อตั้งแต่แรก

ระบบ AI ไม่ได้รอให้เกิดอาชญากรรม แต่ทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลและตรวจจับสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์อาจไม่ทันสังเกต

ตำรวจไซบอร์ก: เมื่อ AI ปรากฏตัวในพื้นที่สาธารณะ

นอกเหนือจากการทำงานอยู่เบื้องหลังในโลกไซเบอร์ ประเทศไทยยังได้ทดลองนำ ตำรวจ AI ในรูปแบบหุ่นยนต์ออกมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สาธารณะ การปรากฏตัวของ “AI Police Cyborg 1.0” ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 ณ สถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น เป็นการสาธิตให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการช่วยรักษาความปลอดภัยทางกายภาพ

หุ่นยนต์ดังกล่าวติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจการณ์สภาพแวดล้อมโดยรอบได้ 360 องศา สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของฝูงชน ตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น การทะเลาะวิวาท การรวมตัวที่น่าสงสัย หรือการทิ้งวัตถุต้องสงสัย และส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์ควบคุมได้ทันที การใช้หุ่นยนต์ช่วยลดภาระของเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์และสามารถทำงานในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าในปัจจุบันบทบาทอาจจะยังจำกัดอยู่แค่การตรวจการณ์ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การบูรณาการ AI เข้ากับการรักษาความปลอดภัยในชีวิตจริงอย่างสมบูรณ์

ดาบสองคมของเทคโนโลยี: ความปลอดภัยที่ต้องจับตา

แม้ว่าประโยชน์ของ AI ในการป้องกันอาชญากรรมจะมีอยู่มากมาย แต่การนำเทคโนโลยีที่มีอำนาจในการสอดส่องและตัดสินใจมาใช้อย่างแพร่หลาย ก็ย่อมมาพร้อมกับความท้าทายและความกังวลที่สังคมต้องร่วมกันพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

ความกังวลของสังคมต่อการสอดส่อง

แนวคิดที่ว่ามี AI จับคน ตลอดเวลา ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจหรือ “ผวา” ในหมู่ประชาชนทั่วไป การที่ข้อมูลส่วนตัว ตั้งแต่การทำธุรกรรมทางการเงิน การสื่อสาร ไปจนถึงการเดินทางในที่สาธารณะ ถูกรวบรวมและวิเคราะห์โดยระบบอัลกอริทึมตลอดเวลา ก่อให้เกิดคำถามว่าเส้นแบ่งระหว่างการรักษาความปลอดภัยและการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวอยู่ตรงไหน

ความกังวลนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ข้อมูลเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี การสร้างสังคมที่ปลอดภัยไม่ควรต้องแลกมาด้วยการที่ประชาชนต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การสอดส่องตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งอาจนำไปสู่สภาวะที่ทุกคนกลายเป็น “ผู้ต้องสงสัย” ในสายตาของระบบโดยไม่รู้ตัว

ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและ AI อคติ

หนึ่งในความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของระบบพรีไครม์คือปัญหา AI อคติ (Algorithmic Bias) ปัญญาประดิษฐ์เรียนรู้จากข้อมูลในอดีต หากข้อมูลที่ใช้สอน AI มีอคติแฝงอยู่ เช่น ข้อมูลการจับกุมในอดีตที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มคนบางกลุ่มหรือพื้นที่บางพื้นที่เป็นพิเศษ AI ก็อาจเรียนรู้และทำซ้ำอคตินั้น ส่งผลให้ระบบเพ่งเล็งบุคคลจากกลุ่มดังกล่าวมากเป็นพิเศษ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม

สิ่งนี้นำไปสู่คำถามสำคัญด้าน สิทธิมนุษยชน: จะเกิดอะไรขึ้นหาก AI ระบุตัวบุคคลผิดว่าเป็นผู้มีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรม? ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความผิดพลาดนั้น? กระบวนการอุทธรณ์หรือโต้แย้งการตัดสินใจของ AI จะเป็นอย่างไร? การถูกระบบตีตราว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิต ทั้งในด้านการงาน สังคม และสภาพจิตใจ ดังนั้น การออกแบบระบบ AI ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีกลไกคุ้มครองสิทธิของผู้ที่ได้รับผลกระทบจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด

เปรียบเทียบแนวทางการใช้ AI ในการบังคับใช้กฎหมาย

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น สามารถเปรียบเทียบแนวทางการประยุกต์ใช้ AI ในการบังคับใช้กฎหมาย 2 รูปแบบหลักที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ได้แก่ การใช้ AI ป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ และการใช้หุ่นยนต์ AI ในพื้นที่สาธารณะ

ตารางเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้ AI ในการป้องกันอาชญากรรมสองรูปแบบหลัก
คุณลักษณะ AI ป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ หุ่นยนต์ตำรวจ AI ในพื้นที่สาธารณะ
วัตถุประสงค์หลัก สกัดกั้นการฉ้อโกงทางการเงินและอาชญากรรมออนไลน์ รักษาความปลอดภัยและตรวจการณ์ฝูงชนในพื้นที่จริง
วิธีการทำงาน วิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมและการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ตรวจการณ์ด้วยภาพและเสียง วิเคราะห์พฤติกรรมฝูงชน
การปฏิสัมพันธ์กับประชาชน ทางอ้อม (ผ่านระบบเบื้องหลัง) ทางตรง (ปรากฏตัวในพื้นที่สาธารณะ)
ความเสี่ยงหลัก การตัดสินใจผิดพลาดจาก AI อคติ, การละเมิดความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การสร้างความรู้สึกว่าถูกสอดส่องตลอดเวลา, การล่วงล้ำพื้นที่ส่วนบุคคล
ผลกระทบที่เห็นได้ชัด ลดความเสียหายทางการเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ เพิ่มความรู้สึกปลอดภัยในงานอีเวนต์หรือพื้นที่เสี่ยง

ทิศทางอนาคตของ AI เพื่อความสงบเรียบร้อย

แนวโน้มการใช้ AI ในการบังคับใช้กฎหมายมีทิศทางที่จะขยายตัวและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในอนาคต ระบบต่างๆ จะถูกเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปได้อย่างไร้รอยต่อ ตั้งแต่โลกออนไลน์จนถึงการเคลื่อนไหวในโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากนี้ ความสามารถของ AI จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย แต่อาจขยายไปถึงการคาดการณ์หรือพยากรณ์แนวโน้มการเกิดอาชญากรรมในพื้นที่และเวลาต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดสรรกำลังพลไปป้องกันได้อย่างตรงจุด

อีกหนึ่งมิติที่น่าสนใจคือการใช้ AI เพื่อต่อสู้กับคอนเทนต์ที่ถูกสร้างโดย AI เอง เช่น การตรวจจับวิดีโอหรือเสียงปลอม (Deepfake) ที่อาจถูกใช้เพื่อสร้างข่าวลวงหรือแบล็กเมล์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบนิเวศของ AI กำลังเติบโตและส่งผลกระทบต่อสังคมในทุกมิติ การพัฒนาเครื่องมือ AI เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลกันเองจึงเป็นสิ่งที่จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

บทสรุป: การสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและเสรีภาพ

การที่ประเทศไทยนำเทคโนโลยี AI มาใช้อย่างจริงจังเพื่อป้องกันอาชญากรรม ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้เปรียบเสมือนเหรียญสองด้านที่ด้านหนึ่งคือประสิทธิภาพในการป้องกันเหตุร้าย แต่อีกด้านหนึ่งคือความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชน ความเป็นส่วนตัว และความยุติธรรมจากอัลกอริทึม

ปรากฏการณ์ AI จับคนก่อนทำผิด! ผวาทั้งกรุง จึงไม่ใช่เพียงหัวข้อข่าวที่น่าตื่นเต้น แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสังคม ซึ่งต้องการการถกเถียง การวางกรอบกติกา และการกำกับดูแลที่รัดกุม การสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและการคุ้มครองเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน คือโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหาคำตอบ เพื่อให้แน่ใจว่าอนาคตที่กำลังจะมาถึงเป็นอนาคตที่ปลอดภัยและยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930