Shopping cart

เสียงลูกปลอม! AI หลอกโอนเงินระบาดหนัก

สารบัญ

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้วิวัฒนาการสู่รูปแบบใหม่ที่ซับซ้อนและน่ากังวลยิ่งขึ้น หนึ่งในนั้นคือการหลอกลวงด้วยการปลอมแปลงเสียง ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างและท้าทายความปลอดภัยในชีวิตประจำวันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภัยเสียงปลอม AI

  • เทคโนโลยีที่เข้าถึงง่าย: มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี Voice Cloning AI หรือ Deepfake Voice ซึ่งสามารถเลียนแบบเสียงของบุคคลเป้าหมายได้อย่างแนบเนียน โดยใช้เพียงคลิปเสียงสั้นๆ เป็นต้นแบบ
  • กลยุทธ์ทางจิตวิทยา: การหลอกลวงมักใช้เสียงของคนใกล้ชิด เช่น ลูกหลานหรือญาติสนิท ประกอบกับการสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินที่บีบคั้นอารมณ์ เพื่อกดดันให้เหยื่อโอนเงินโดยไม่มีเวลาไตร่ตรอง
  • ความท้าทายในการยืนยันตัวตน: คุณภาพของเสียงที่ AI สร้างขึ้นมีความสมจริงสูงมาก ทำให้การยืนยันตัวตนผ่านเสียงทางโทรศัพท์เพียงอย่างเดียวไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป
  • การป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสอบ: การวางสายและโทรกลับไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกไว้ของบุคคลที่ถูกอ้างถึงโดยตรง เป็นวิธีการตรวจสอบที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันการตกเป็นเหยื่อ

ปัญหาเสียงลูกปลอม! AI หลอกโอนเงินระบาดหนัก ได้กลายเป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์รูปแบบใหม่ที่สร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาชญากรได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงที่เรียกว่า “Voice Cloning” หรือการโคลนเสียง มาใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวง กลโกงรูปแบบนี้อาศัยการเลียนแบบเสียงของบุคคลใกล้ชิด เช่น สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท เพื่อสร้างเรื่องราวฉุกเฉินและบีบคั้นให้เหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินให้โดยทันที ความแนบเนียนของเสียงที่สร้างขึ้นทำให้การแยกแยะระหว่างเสียงจริงและเสียงปลอมเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง ส่งผลให้ภัยดังกล่าวแพร่กระจายเป็นวงกว้างและกลายเป็นประเด็นด้านความปลอดภัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

ทำความเข้าใจภัยคุกคามรูปแบบใหม่: แก๊งคอลเซ็นเตอร์ AI

การเกิดขึ้นของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือหลัก สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการอาชญากรรมไซเบอร์ ภัยคุกคามนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมันโจมตีจุดอ่อนที่สุดของมนุษย์ นั่นคือความรักและความห่วงใยที่มีต่อคนในครอบครัว เมื่อผู้รับสายได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของลูกหลานกำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สัญชาตญาณการปกป้องมักจะเข้ามาแทนที่การใช้เหตุผลไตร่ตรอง ทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย

กลุ่มเป้าหมายหลักของมิจฉาชีพมักเป็นผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุที่มีความผูกพันกับลูกหลานอย่างลึกซึ้ง และอาจไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากพอที่จะเท่าทันกลโกงรูปแบบใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม ภัยดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทุกคนที่มีข้อมูลส่วนตัวและคลิปเสียงเผยแพร่อยู่ในโลกออนไลน์ล้วนมีความเสี่ยงที่จะถูกนำเสียงไปใช้ในการหลอกลวงบุคคลใกล้ชิดได้ทั้งสิ้น การระบาดของภัยนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยี Deepfake ที่เข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้มิจฉาชีพสามารถสร้างเสียงปลอมคุณภาพสูงได้โดยใช้ต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก

Voice Cloning AI คืออะไรและทำงานอย่างไร?

Voice Cloning AI คืออะไรและทำงานอย่างไร?

เพื่อที่จะรับมือกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจในเทคโนโลยีที่เป็นเครื่องมือของอาชญากรจึงเป็นสิ่งสำคัญ การโคลนเสียงด้วย AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่จริงและถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดอย่างแพร่หลาย

คำจำกัดความของเทคโนโลยีโคลนเสียง (Voice Cloning)

Voice Cloning หรือ Deepfake Voice คือกระบวนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์เสียงของมนุษย์ ระบบ AI จะเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของเสียงบุคคลเป้าหมายจากข้อมูลเสียงตัวอย่าง (Audio Sample) เช่น ระดับเสียงสูง-ต่ำ (Pitch), น้ำเสียง (Tone), อัตราการพูด (Pacing), และการออกเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ (Accent) จากนั้น AI จะสามารถสร้างคำพูดหรือประโยคใหม่ขึ้นมาด้วยเสียงของบุคคลนั้นๆ ได้อย่างสมจริง ราวกับว่าเจ้าของเสียงเป็นผู้พูดเอง

ในอดีต กระบวนการนี้ต้องใช้ข้อมูลเสียงจำนวนมหาศาลและพลังการประมวลผลที่สูงมาก แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน AI บางรุ่นต้องการคลิปเสียงตัวอย่างเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถสร้างเสียงโคลนที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือได้แล้ว

กระบวนการสร้างเสียงปลอมของมิจฉาชีพ

กระบวนการที่อาชญากรใช้ในการสร้างเสียงปลอมเพื่อหลอกลวงเหยื่อสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

  1. การรวบรวมข้อมูลเสียง: มิจฉาชีพจะค้นหาและรวบรวมคลิปเสียงของเป้าหมาย (เช่น ลูกหลานของเหยื่อ) จากแหล่งข้อมูลสาธารณะต่างๆ เช่น วิดีโอที่โพสต์บนโซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, TikTok), คลิปเสียงจาก Voicemail ที่ถูกแฮก, หรือแม้กระทั่งการบันทึกเสียงจากการโทรศัพท์พูดคุยโดยตรง
  2. การฝึกฝนโมเดล AI: นำคลิปเสียงที่รวบรวมได้ป้อนเข้าสู่ซอฟต์แวร์ Voice Cloning AI เพื่อให้ระบบทำการวิเคราะห์และเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของเสียงนั้นๆ ยิ่งมีข้อมูลเสียงตัวอย่างมากเท่าไหร่ คุณภาพของเสียงที่สังเคราะห์ขึ้นก็จะยิ่งสมจริงมากขึ้นเท่านั้น
  3. การสร้างบทสนทนาหลอกลวง: เมื่อ AI เรียนรู้เสียงเรียบร้อยแล้ว มิจฉาชีพสามารถป้อนข้อความ (Text-to-Speech) ที่ต้องการให้ AI พูดด้วยเสียงของเป้าหมายได้ทันที พวกเขามักจะเตรียมบทสนทนาที่สร้างสถานการณ์ฉุกเฉินและกดดันไว้ล่วงหน้า
  4. การใช้ AI Chatbot โต้ตอบ: ในกรณีที่ซับซ้อนขึ้น มิจฉาชีพอาจใช้ AI Voice Chatbot ที่สามารถโต้ตอบกับเหยื่อได้แบบเรียลไทม์ ทำให้การสนทนาดูเป็นธรรมชาติและยากต่อการจับผิดยิ่งขึ้น ระบบ AI สามารถปรับเปลี่ยนคำพูดตามการตอบสนองของเหยื่อ เพื่อให้สถานการณ์ดูน่าเชื่อถือที่สุด

กลยุทธ์และรูปแบบการหลอกลวงที่พบบ่อย

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ AI ปลอมเสียงมีรูปแบบการทำงานที่เป็นระบบและอาศัยหลักจิตวิทยาในการโน้มน้าวเหยื่อ โดยมีขั้นตอนที่มักจะเกิดขึ้นคล้ายคลึงกันในหลายกรณี

การเริ่มต้นสนทนา: โทรจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก

การหลอกลวงมักจะเริ่มต้นด้วยการโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เหยื่อไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นเบอร์ของใคร เมื่อรับสาย ปลายสายจะเป็นเสียงที่คุ้นเคยของคนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิด ซึ่งมักจะเป็นเสียงของลูกหรือหลาน ในบางกรณี มิจฉาชีพอาจมีการขโมยข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อและครอบครัวมาก่อน ทำให้สามารถอ้างอิงชื่อหรือข้อมูลบางอย่างเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือตั้งแต่เริ่มการสนทนา

การสร้างความน่าเชื่อถือด้วยเสียงที่คุ้นเคย

นี่คือหัวใจสำคัญของกลโกงนี้ การได้ยินเสียงของบุคคลอันเป็นที่รักในสถานการณ์คับขันจะทำลายกำแพงแห่งความสงสัยของเหยื่อลงได้อย่างรวดเร็ว เสียงที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI จะเลียนแบบทั้งน้ำเสียงและวิธีการพูดที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เหยื่อเชื่อโดยสนิทใจว่ากำลังคุยกับบุคคลนั้นจริงๆ ความไว้วางใจที่เกิดขึ้นนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาชญากรสามารถควบคุมสถานการณ์ต่อไปได้

การสร้างสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อบีบคั้น

หลังจากสร้างความน่าเชื่อถือได้แล้ว มิจฉาชีพจะสร้างเรื่องราวที่น่าตกใจและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สถานการณ์ที่มักถูกนำมาใช้ ได้แก่:

  • ประสบอุบัติเหตุ: อ้างว่าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และต้องการเงินด่วนเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือค่าเสียหายให้คู่กรณี
  • ถูกจับกุม: อ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในคดีร้ายแรง และต้องการเงินเพื่อจ่ายค่าประกันตัวหรือเคลียร์คดีอย่างเร่งด่วน
  • ปัญหาทางการเงินกะทันหัน: อ้างว่าทำกระเป๋าเงินหาย, ถูกขโมยของ, หรือต้องการเงินเพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายจำเป็นที่ไม่คาดฝัน
  • เดือดร้อนในต่างประเทศ: สร้างเรื่องว่าประสบปัญหาขณะเดินทางในต่างประเทศและต้องการเงินเพื่อกลับบ้านหรือแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า

สถานการณ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความรู้สึกกลัวและสัญชาตญาณการปกป้องของเหยื่อ ทำให้การตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์มากกว่าเหตุผล

เทคนิคการเร่งรัดให้โอนเงินทันที

ขั้นตอนสุดท้ายคือการกดดันให้เหยื่อโอนเงินโดยเร็วที่สุด มิจฉาชีพจะใช้ถ้อยคำที่แสดงถึงความเร่งรีบและจำกัดเวลาในการตัดสินใจของเหยื่อ เช่น “ต้องใช้เงินด่วนภายใน 10 นาที”, “ไม่มีเวลาอธิบายมาก ตอนนี้เดือดร้อนจริงๆ” หรือ “ช่วยหน่อยนะ เดี๋ยวค่อยคุยรายละเอียดทีหลัง” การเร่งรัดนี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อมีเวลาคิดทบทวน, ปรึกษาผู้อื่น, หรือตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่การหลอกลวงจะประสบความสำเร็จ

ความท้าทายในการตรวจจับเสียงปลอม AI

การป้องกันและตรวจจับการหลอกลวงด้วยเสียงปลอม AI นั้นมีความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้มีความซับซ้อนและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

คุณภาพเสียงที่สมจริงจนแยกไม่ออก

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือคุณภาพของเสียงสังเคราะห์ที่ใกล้เคียงกับเสียงจริงมาก เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันสามารถจับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น การหยุดหายใจระหว่างประโยค, การเน้นเสียง, และอารมณ์ในน้ำเสียงได้ดีขึ้น ทำให้หูของมนุษย์ทั่วไปแทบจะไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการสนทนาผ่านโทรศัพท์ซึ่งคุณภาพเสียงมักจะถูกลดทอนลงอยู่แล้ว ยิ่งทำให้การสังเกตความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เป็นไปได้ยากขึ้น

การผสมผสานข้อมูลส่วนตัวเพื่อเพิ่มความแนบเนียน

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กลโกงนี้อันตรายคือการที่มิจฉาชีพมักจะมีข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อและครอบครัวอยู่ในมือ ซึ่งได้มาจากการรั่วไหลของข้อมูล (Data Breaches) หรือการรวบรวมข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย พวกเขาสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการสนทนา เช่น การเรียกชื่อเล่น, การอ้างอิงถึงสถานที่หรือเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง เพื่อสร้างบทสนทนาที่เฉพาะเจาะจงและน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง การผสมผสานระหว่างเสียงที่สมจริงและข้อมูลส่วนตัวที่ถูกต้องทำให้เหยื่อยากที่จะเกิดความสงสัย

เปรียบเทียบกลโกง: แก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม vs. แบบใช้ AI

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและความน่ากลัวของภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ สามารถเปรียบเทียบระหว่างกลโกงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบดั้งเดิมกับรูปแบบที่ใช้เทคโนโลยี AI ปลอมเสียงได้ดังนี้

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิมและแบบที่ใช้ AI ปลอมเสียง
คุณลักษณะ แก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ AI
วิธีการหลัก ใช้คนจริงโทรศัพท์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือพนักงานองค์กรต่างๆ ใช้ AI สร้างเสียงปลอมของคนใกล้ชิด เพื่อสร้างเรื่องราวส่วนตัว
จุดโจมตีทางจิตวิทยา สร้างความกลัว (เช่น กลัวถูกดำเนินคดี) หรือความโลภ (เช่น ได้รับรางวัล) สร้างความห่วงใยและความรักที่มีต่อครอบครัว เล่นกับอารมณ์โดยตรง
ความน่าเชื่อถือ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแสดงของมิจฉาชีพ อาจมีสำเนียงแปลกปลอม สูงมาก เนื่องจากเป็นเสียงของคนที่เหยื่อคุ้นเคยและไว้วางใจ
การปรับขนาดการโจมตี จำกัดด้วยจำนวนคนโทร สามารถทำได้ทีละสายต่อคน สามารถทำงานได้อัตโนมัติ โทรหาเหยื่อจำนวนมากพร้อมกันได้
จุดอ่อน/วิธีจับผิด ความไม่สมเหตุสมผลของเรื่องราว, สำเนียงที่ไม่คุ้นเคย, การตรวจสอบกับหน่วยงานจริง การเร่งรัดผิดปกติ, เนื้อหาเรื่องราวอาจมีช่องโหว่, การตรวจสอบโดยโทรกลับเบอร์เดิม

แนวทางการป้องกันและวิธีรับมือเมื่อต้องเผชิญเหตุ

แม้ว่าภัยคุกคามจากการใช้ AI ปลอมเสียงจะมีความซับซ้อน แต่ประชาชนยังสามารถป้องกันตนเองและคนรอบข้างได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีสติและการตรวจสอบข้อมูล

“ตั้งสติ” คือเกราะป้องกันแรก

เมื่อได้รับโทรศัพท์ที่แจ้งข่าวร้ายหรือสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับคนใกล้ชิด สิ่งแรกที่ต้องทำคือการควบคุมสติและอย่าตื่นตระหนก มิจฉาชีพต้องการให้เหยื่อตกใจและทำตามที่บอกโดยไม่คิดไตร่ตรอง การหายใจลึกๆ และพยายามตั้งสติจะช่วยให้สามารถใช้เหตุผลในการประเมินสถานการณ์ได้ดีขึ้น จงจำไว้เสมอว่า “อย่าเพิ่งเชื่อ และอย่าเพิ่งโอน”

“ตรวจสอบ” ทุกครั้งก่อนตัดสินใจ

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการป้องกันการถูกหลอกลวง ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. วางสายทันที: หากปลายสายเร่งรัดหรือกดดันให้โอนเงิน ให้หาเหตุผลในการวางสายไปก่อน เช่น “เดี๋ยวโทรกลับ” หรือ “ขอปรึกษาคนอื่นก่อน”
  2. โทรกลับหาบุคคลที่ถูกอ้างชื่อ: ให้นำโทรศัพท์ของตนเอง โทรกลับไปยังเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลที่ถูกอ้างถึง (ลูก, หลาน, ญาติ) ที่บันทึกไว้ในเครื่องโดยตรง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ห้ามโทรกลับไปยังเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาเด็ดขาด
  3. ติดต่อบุคคลอื่นในครอบครัว: หากไม่สามารถติดต่อบุคคลที่ถูกอ้างถึงได้ ให้ลองโทรหาคนอื่นๆ ในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทของบุคคลนั้น เพื่อสอบถามว่าพวกเขาสามารถติดต่อได้หรือไม่ หรือทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือไม่

สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต

ในระหว่างการสนทนา พยายามสังเกตสัญญาณเตือนภัยที่อาจบ่งชี้ว่าเป็นการหลอกลวง แม้ว่าเสียงจะเหมือนจริงก็ตาม:

  • การใช้ถ้อยคำที่ผิดปกติ: แม้เสียงจะเหมือน แต่ AI อาจยังไม่สามารถเลียนแบบวิธีการเลือกใช้คำหรือสำนวนที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลได้อย่างสมบูรณ์แบบ
  • การตอบคำถามส่วนตัวไม่ได้: ลองตั้งคำถามที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ที่มีเพียงเจ้าของเสียงตัวจริงเท่านั้นที่ตอบได้ เช่น “เมื่อวานเย็นเรากินอะไรกัน” หรือ “หมาที่บ้านชื่ออะไร” หากปลายสายอ้ำอึ้งหรือพยายามเลี่ยงที่จะตอบ ให้สงสัยไว้ก่อน
  • คุณภาพเสียงที่ผิดปกติ: ในบางครั้ง เสียงที่ AI สร้างขึ้นอาจมีเสียงรบกวน, เสียงขาดๆ หายๆ หรือมีโทนเสียงที่ราบเรียบผิดปกติ มิจฉาชีพอาจอ้างว่าเป็นเพราะสัญญาณไม่ดี
  • การกดดันและเร่งรัดอย่างหนัก: การพยายามบีบบังคับให้ตัดสินใจและโอนเงินทันทีโดยไม่ให้เวลาตรวจสอบ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของมิจฉาชีพ

การจัดการกับเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย

เพื่อลดความเสี่ยงในเบื้องต้น ควรระมัดระวังการติดต่อจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลทางการเงิน, หรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อนทางโทรศัพท์โดยไม่มีการยืนยันตัวตนที่น่าเชื่อถือ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนโซเชียลมีเดียเพื่อจำกัดการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวและคลิปเสียง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดโอกาสที่มิจฉาชีพจะนำข้อมูลไปใช้ได้

บทสรุป: การตระหนักรู้คือวัคซีนที่ดีที่สุดในยุคดิจิทัล

ภัยคุกคามจากเสียงลูกปลอม! AI หลอกโอนเงินระบาดหนัก เป็นเครื่องยืนยันว่าเทคโนโลยีสามารถเป็นได้ทั้งคุณและโทษ การพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ได้เปิดช่องทางใหม่ๆ ให้อาชญากรสามารถสร้างกลโกงที่แนบเนียนและส่งผลกระทบทางจิตใจต่อเหยื่อได้อย่างรุนแรง การยืนยันตัวตนด้วยเสียงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้อีกต่อไปในโลกปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม อาวุธที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับภัยคุกคามทางไซเบอร์ทุกรูปแบบคือ “การตระหนักรู้” และ “การมีสติ” การทำความเข้าใจกลไกการหลอกลวง, การเรียนรู้วิธีป้องกัน, และการยึดหลัก “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ จะเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากนี้ การแบ่งปันข้อมูลและแจ้งเตือนภัยเหล่านี้ให้กับสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเยาวชน จะช่วยสร้างเครือข่ายความปลอดภัยที่เข้มแข็งและลดโอกาสที่คนใกล้ชิดจะตกเป็นเหยื่อ หากพบเหตุการณ์ที่น่าสงสัยหรือตกเป็นเหยื่อ ควรเก็บรวบรวมหลักฐานและรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีเพื่อดำเนินการทางกฎหมายและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้อื่นต่อไป

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930