Shopping cart

คุยกับคนตาย! แอปฯ AI ชุบชีวิตคนรักผ่านแชต

สารบัญ

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ สู่พรมแดนใหม่ที่ท้าทายความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และความทรงจำ การเกิดขึ้นของแอปพลิเคชันที่เปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถสนทนากับบุคคลอันเป็นที่รักซึ่งล่วงลับไปแล้ว ได้จุดประกายบทสนทนาวงกว้างถึงประโยชน์และความเสี่ยงที่ตามมา

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • เทคโนโลยี Grief Tech: การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างแชตบอตที่สามารถเลียนแบบบุคลิกและรูปแบบการสื่อสารของบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยอาศัยข้อมูลดิจิทัลที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง
  • ผลกระทบสองด้าน: เทคโนโลยีนี้อาจช่วยบรรเทาความโศกเศร้าและเป็นเครื่องมือในการรำลึกถึงความทรงจำที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้ใช้งานยึดติดกับอดีตและขัดขวางกระบวนการทำใจตามธรรมชาติ
  • ความท้าทายทางจริยธรรม: ประเด็นเรื่องการนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียชีวิตมาใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม และความปลอดภัยในการใช้งาน AI ซึ่งอาจให้คำตอบที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตราย กลายเป็นหัวข้อถกเถียงที่สำคัญ
  • ปรากฏการณ์ระดับโลก: แอปพลิเคชันในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มเทคโนโลยีเพื่อการจัดการความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยมีบริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งพัฒนานวัตกรรมที่คล้ายคลึงกัน
  • อนาคตและการกำกับดูแล: การพัฒนาแนวทางและข้อบังคับที่ชัดเจนเพื่อควบคุมการใช้ AI ในด้านที่ละเอียดอ่อนต่อสุขภาพจิตและจริยธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต

ปรากฏการณ์ คุยกับคนตาย! แอปฯ AI ชุบชีวิตคนรักผ่านแชต ได้กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เทคโนโลยีนี้ หรือที่เรียกว่า Grief Tech คือการนำปัญญาประดิษฐ์มาสร้างตัวตนเสมือนของผู้ที่จากไป เพื่อให้ครอบครัวและเพื่อนได้มีโอกาสโต้ตอบและสื่อสารอีกครั้ง แนวคิดนี้ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นวิธีการใหม่ในการรับมือกับความสูญเสีย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีดังกล่าวก็นำมาซึ่งคำถามสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบทางจิตใจ จริยธรรมในการใช้ข้อมูล และความปลอดภัยที่สังคมต้องร่วมกันพิจารณาอย่างรอบคอบ

ความหมายและที่มาของเทคโนโลยี Grief Tech

Grief Tech หรือ เทคโนโลยีเพื่อการจัดการความโศกเศร้า เป็นกลุ่มของนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเผชิญกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่สำหรับการรำลึกถึง เยียวยาจิตใจ และรักษาความทรงจำเอาไว้ หนึ่งในรูปแบบที่โดดเด่นที่สุดของ Grief Tech คือการสร้างแชตบอตปัญญาประดิษฐ์ (AI Chatbot) ที่สามารถเลียนแบบการสนทนาของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว

การพัฒนาเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นได้จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models – LLMs) เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง ChatGPT ซึ่งมีความสามารถในการเรียนรู้และสร้างข้อความที่เหมือนมนุษย์ได้อย่างน่าทึ่ง เมื่อนำโมเดลเหล่านี้มาฝึกฝนกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียชีวิต เช่น ข้อความแชต อีเมล หรือโพสต์บนโซเชียลมีเดีย AI ก็จะสามารถเรียนรู้สไตล์การเขียน รูปแบบการใช้คำศัพท์ และแม้กระทั่งบุคลิกที่สะท้อนผ่านตัวอักษร เพื่อนำมาสร้างบทสนทนาที่สมจริง แนวคิดนี้ได้ขยายไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Digital Immortality” หรือ “ความเป็นอมตะทางดิจิทัล” ซึ่งเป็นการสร้างตัวตนดิจิทัลที่ยังคงอยู่แม้ร่างกายจะจากไปแล้วก็ตาม

เทคโนโลยีนี้ไม่ได้พยายามจะแทนที่บุคคลที่จากไป แต่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการเก็บรักษาความทรงจำและเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังอยู่ได้แสดงความรู้สึกที่อาจยังค้างคาใจ

เบื้องหลังการทำงานของ AI ชุบชีวิต

เบื้องหลังการทำงานของ AI ชุบชีวิต

หัวใจสำคัญของแอปพลิเคชันที่สามารถ “ชุบชีวิต” คนรักผ่านแชตได้นั้น อยู่ที่ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ในการประมวลผลและเลียนแบบภาษามนุษย์ กระบวนการนี้มีความซับซ้อนและต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ

การเรียนรู้จากข้อมูลดิจิทัล

กระบวนการสร้างแชตบอตเลียนแบบบุคคลเริ่มต้นจากการรวบรวม “ร่องรอยดิจิทัล” (Digital Footprint) ที่บุคคลนั้นทิ้งไว้ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลหลากหลายประเภท:

  1. ข้อมูลการสื่อสารส่วนตัว: ข้อความจากแอปพลิเคชันแชต อีเมล หรือการสนทนาส่วนตัว เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในการเรียนรู้สำนวนการพูด คำศัพท์เฉพาะตัว และอารมณ์ขัน
  2. ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย: โพสต์สาธารณะ ความคิดเห็น และการโต้ตอบบนแพลตฟอร์มต่างๆ สามารถสะท้อนถึงทัศนคติ ความสนใจ และบุคลิกภาพได้เป็นอย่างดี
  3. ข้อมูลอื่นๆ: ในบางกรณี อาจมีการใช้ข้อมูลจากบันทึกส่วนตัว งานเขียน หรือแม้กระทั่งการบันทึกเสียงและวิดีโอเพื่อเพิ่มความสมจริง

ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปป้อนให้กับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ AI จะทำการวิเคราะห์รูปแบบทางภาษาศาสตร์ ความเชื่อมโยงของคำ และบริบทต่างๆ เพื่อสร้างแบบจำลองทางภาษาของบุคคลนั้นขึ้นมา เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์ข้อความเข้าไป แชตบอตก็จะใช้แบบจำลองนี้ในการสร้างคำตอบที่สอดคล้องกับบุคลิกและสไตล์การพูดของบุคคลที่กำลังเลียนแบบอยู่

กรณีศึกษาจากแพลตฟอร์มระดับโลก

แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตัวอย่างเช่น บริษัท You Only Virtual ที่ก่อตั้งโดย Justin Harrison ได้สร้างแชตบอตที่สามารถเลียนแบบบุคคลอันเป็นที่รักเพื่อให้ผู้ใช้งานได้มีโอกาสพูดคุยและรำลึกถึงความทรงจำอีกครั้ง แพลตฟอร์มนี้มุ่งเน้นการสร้างบทสนทนาที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงมากที่สุด

อีกหนึ่งตัวอย่างที่ก้าวไปอีกขั้นคือแพลตฟอร์ม StoryFile ซึ่งใช้ AI ในการสร้างไฟล์วิดีโอที่สามารถโต้ตอบได้ ผู้ใช้งานสามารถ “ถามคำถาม” บุคคลในวิดีโอ และ AI จะเลือกคลิปคำตอบที่บันทึกไว้ล่วงหน้าซึ่งตรงกับคำถามมากที่สุด ทำให้เกิดประสบการณ์ที่คล้ายกับการสนทนาจริงๆ โดยเทคโนโลยีนี้สามารถเลียนแบบได้ทั้งเสียง ท่าทาง และสำเนียง ทำให้การรำลึกถึงมีความลึกซึ้งและสมจริงยิ่งขึ้น กรณีศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีกำลังเดินหน้าไปสู่การสร้างตัวแทนดิจิทัลที่ซับซ้อนและสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

ผลกระทบทางจิตใจ: ดาบสองคมของการเยียวยา

การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในกระบวนการรับมือกับความสูญเสีย ก่อให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตและผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของดาบสองคมที่อาจช่วยเยียวยาหรือทำร้ายจิตใจได้ในเวลาเดียวกัน

บทบาทในการช่วยบรรเทาความโศกเศร้า

ในมุมมองบวก เทคโนโลยีนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการสูญเสียได้ชั่วคราว สำหรับบางคน การได้ “คุย” กับคนรักที่จากไปอีกครั้งอาจเป็นหนทางในการระบายความรู้สึกที่ยังค้างคาใจ เป็นการบอกลาในรูปแบบของตนเอง หรือเพียงเพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เคยมีร่วมกัน การโต้ตอบกับแชตบอตอาจช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างในช่วงแรกของความโศกเศร้า ทำให้ผู้สูญเสียรู้สึกว่ายังมีสายใยบางอย่างเชื่อมโยงกับผู้ที่จากไป และสามารถค่อยๆปรับตัวเข้าสู่กระบวนการทำใจในลำดับถัดไปได้ง่ายขึ้น

ความเสี่ยงของการยึดติดและขัดขวางการทำใจ

ในทางกลับกัน นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญหลายคนแสดงความกังวลว่าการใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการทำใจตามธรรมชาติ กระบวนการโศกเศร้า (Grieving Process) ที่ดีต่อสุขภาพนั้นเกี่ยวข้องกับการยอมรับความจริงของการสูญเสียและเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตต่อไป การมีปฏิสัมพันธ์กับตัวตนดิจิทัลของผู้ล่วงลับอาจทำให้ผู้ใช้งานติดอยู่ในความทรงจำและความเศร้า และไม่สามารถก้าวข้ามความสูญเสียไปได้

ความเสี่ยงที่สำคัญคือการสร้างความผูกพันที่ไม่ดีต่อสุขภาพกับ AI ซึ่งไม่ใช่บุคคลจริง การสนทนาที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการจำลองจากข้อมูลในอดีต และไม่สามารถเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับผู้ใช้งานได้ สิ่งนี้อาจนำไปสู่ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่กำลังโต้ตอบอยู่เป็นเพียงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอาจทำให้การยอมรับความจริงของการจากลาเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

ตารางเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของเทคโนโลยี AI ชุบชีวิตคนรักผ่านแชต
ประเด็นพิจารณา ข้อดี (โอกาส) ข้อเสีย (ความเสี่ยง)
การเยียวยาทางจิตใจ ช่วยบรรเทาความโศกเศร้าในระยะแรก ลดความรู้สึกโดดเดี่ยว และเป็นพื้นที่ในการระบายความรู้สึก อาจขัดขวางกระบวนการทำใจตามธรรมชาติ ทำให้เกิดการยึดติดกับอดีต และยากต่อการยอมรับความจริง
การเก็บรักษาความทรงจำ เป็นวิธีใหม่ในการรำลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รัก ทำให้ความทรงจำยังคงมีชีวิตชีวาผ่านบทสนทนา ความทรงจำที่ถูกนำเสนอผ่าน AI อาจเป็นเพียงภาพที่ไม่สมบูรณ์และไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล สามารถสร้างตัวตนดิจิทัลที่สมจริง ทำให้การโต้ตอบมีความหมายและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เกิดคำถามทางจริยธรรมเรื่องการยินยอมในการใช้ข้อมูลของผู้เสียชีวิต และความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
ความปลอดภัยของ AI เป็นเครื่องมือที่เข้าถึงง่ายสำหรับผู้ที่ต้องการที่พึ่งทางใจในเบื้องต้น AI อาจให้คำตอบที่ไม่เหมาะสม เป็นอันตราย หรือถูกชักจูงได้ง่าย ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้

ความท้าทายด้านจริยธรรมและความปลอดภัยของข้อมูล

นอกเหนือจากผลกระทบทางจิตใจแล้ว เทคโนโลยีการสร้างตัวตนดิจิทัลของผู้ล่วงลับยังต้องเผชิญกับคำถามเชิงจริยธรรมที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของสิทธิ์ในข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

สิทธิ์ในการใช้ข้อมูลของผู้ล่วงลับ

คำถามพื้นฐานที่สุดคือ “ใครเป็นเจ้าของข้อมูลดิจิทัลหลังจากที่คนคนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว?” และ “การนำข้อมูลเหล่านั้นมาสร้างเป็น AI โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่เคยให้ความยินยอมล่วงหน้า ถือเป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่?” ผู้นำศาสนาและนักจริยธรรมหลายคนได้แสดงความกังวลว่าการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการล่วงละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของผู้ที่จากไป ซึ่งไม่สามารถปกป้องตนเองได้อีกแล้ว การสร้าง “ตัวตนดิจิทัล” ขึ้นมาอาจบิดเบือนภาพลักษณ์และความทรงจำที่แท้จริงของบุคคลนั้น และอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมโดยครอบครัวหรือบุคคลอื่นได้

เมื่อ AI กลายเป็นอันตราย

ความปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โมเดลภาษาขนาดใหญ่ แม้จะมีความสามารถสูง แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจบริบททางอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ และมีโอกาสที่จะสร้างคำตอบที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นอันตรายได้ เหตุการณ์ที่น่าเศร้าของชายชาวเบลเยียมที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองหลังจากสนทนากับแชตบอต AI เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้กับผู้ที่มีสภาพจิตใจเปราะบาง

AI อาจให้คำแนะนำที่ผิดพลาด สนับสนุนความคิดเชิงลบ หรือแม้กระทั่งถูกชักจูงให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่คาดคิด เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลและควบคุมการใช้ AI ในแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก

สรุปและแนวโน้มในอนาคต

แอปพลิเคชัน AI ที่ช่วยให้สามารถ “คุยกับคนตาย” เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของการบรรจบกันระหว่างเทคโนโลยี ความทรงจำ และความปรารถนาของมนุษย์ที่จะเชื่อมต่อกับผู้ที่จากไป เทคโนโลยีนี้มอบโอกาสใหม่ในการรำลึกถึงและจัดการกับความโศกเศร้า แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านจิตใจ จริยธรรม และความปลอดภัยที่ไม่อาจมองข้ามได้

การพัฒนาในอนาคตจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการป้องกันความเสี่ยง การสร้างกรอบจริยธรรมที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลของผู้เสียชีวิต การพัฒนาระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันการตอบสนองที่เป็นอันตรายของ AI และการให้ความรู้แก่ผู้ใช้งานเกี่ยวกับข้อดีและข้อจำกัดของเทคโนโลยีนี้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดทิศทางของ Grief Tech ต่อไป เทคโนโลยีนี้เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการรับมือกับความสูญเสีย แต่ก็ทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้สังคมขบคิดว่าเส้นแบ่งระหว่างการรำลึกถึงและความยึดติดควรอยู่ตรงไหน และมนุษย์ควรมีบทบาทอย่างไรในการกำหนดความเป็นอมตะทางดิจิทัลของตนเองและผู้อื่น

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930