Shopping cart






รัฐฯ เคาะ ‘ภาษีคาร์บอน’ AI ตามติดชีวิตประจำวัน


รัฐฯ เคาะ ‘ภาษีคาร์บอน’ AI ตามติดชีวิตประจำวัน

สารบัญ

การตัดสินใจของภาครัฐในการจัดเก็บภาษีคาร์บอนถือเป็นก้าวสำคัญของนโยบายสิ่งแวดล้อมประเทศไทย ขณะเดียวกัน การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวัน ก็ได้สร้างมิติใหม่ที่ซับซ้อนต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงแนวทางการกำกับดูแลในอนาคต

  • ประเทศไทยเตรียมบังคับใช้ภาษีคาร์บอนในปีงบประมาณ 2568 โดยเริ่มต้นจากกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีผลกระทบสองด้านต่อสิ่งแวดล้อม ด้านหนึ่งคือการใช้พลังงานมหาศาลในศูนย์ข้อมูลซึ่งก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ อีกด้านหนึ่งคือความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม
  • แนวคิด “Carbon Wallet” สะท้อนถึงความเป็นไปได้ในอนาคตที่กิจกรรมในชีวิตประจำวันซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI อาจถูกนำมาคำนวณเป็นภาระทางภาษีคาร์บอนส่วนบุคคล
  • การนำ AI มาใช้ติดตามและคำนวณภาษีคาร์บอน ก่อให้เกิดประเด็นท้าทายที่สำคัญเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ภาพรวมการเปลี่ยนแปลง: ภาษีคาร์บอนและ AI

การที่รัฐฯ เคาะ ‘ภาษีคาร์บอน’ AI ตามติดชีวิตประจำวัน ได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ซึ่งสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญสองประการที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ประการแรก คือการที่ประเทศไทยเริ่มใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์อย่างจริงจังเพื่อจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีต้นทุนที่ต้องจ่าย ประการที่สอง คือการตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานในยุคสมัยใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ยังอาจขยายขอบเขตมาถึงระดับบุคคลในไม่ช้า

นโยบายภาษีคาร์บอนนี้เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของประเทศในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศระดับสากล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ในขณะเดียวกัน การเติบโตของ AI ที่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้ามหาศาลในการประมวลผลข้อมูล ได้สร้าง “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มองไม่เห็น” ซึ่งเริ่มถูกนำมาพิจารณาในสมการด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การผสมผสานของสองแนวโน้มนี้จึงนำไปสู่การถกเถียงถึงรูปแบบการจัดเก็บภาษีในอนาคตที่อาจครอบคลุมถึงกิจกรรมทางดิจิทัลในชีวิตประจำวันของทุกคน

เจาะลึก ‘ภาษีคาร์บอน’: กลไกขับเคลื่อนสู่เป้าหมายลดโลกร้อน

ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) คือเครื่องมือเชิงนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการกำหนดราคาให้กับการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายประเทศทั่วโลกนำมาปรับใช้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับประเทศไทย การบังคับใช้ภาษีนี้ถือเป็นย่างก้าวที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ

หลักการ ‘ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย’

หัวใจสำคัญของภาษีคาร์บอนตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) ซึ่งหมายความว่าบุคคลหรือองค์กรที่สร้างผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ในบริบทนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน จะถูกทำให้มี “ราคา” หรือต้นทุนที่จับต้องได้ โดยอัตราภาษีเบื้องต้นที่คาดว่าจะเริ่มใช้ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 80–120 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) การกำหนดราคาดังกล่าวจะสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมลงทุนในเทคโนโลยีที่สะอาดขึ้น ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และลดการปล่อยมลพิษเพื่อลดภาระทางภาษีของตนเอง

การทำให้การปล่อยคาร์บอนมีต้นทุนที่ชัดเจนผ่านระบบภาษี จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งในระดับองค์กรและผู้บริโภค เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กลุ่มเป้าหมายและผลกระทบในระยะแรก

ในระยะเริ่มต้นของการบังคับใช้ ซึ่งกำหนดไว้ในปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายไปที่กลุ่มน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันเป็นลำดับแรก เนื่องจากเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญและสามารถบริหารจัดการการจัดเก็บภาษีได้ง่าย การดำเนินการนี้จะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนในภาคพลังงานและภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นต้นน้ำของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมาก ผลกระทบที่ตามมาคือการปรับขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการต่างๆ เนื่องจากผู้ประกอบการจำเป็นต้องผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคปลายทาง ดังนั้น แม้ภาษีจะถูกจัดเก็บจากผู้ผลิตและผู้นำเข้าพลังงาน แต่ผลกระทบจะกระจายตัวไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย

การนำภาษีใหม่นี้มาใช้ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการทางการคลัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติที่ใหญ่กว่า นั่นคือการบรรลุเป้าหมายที่ประเทศไทยได้ประกาศไว้ต่อประชาคมโลก ประกอบด้วย:

  • ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593): สถานะที่ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่บรรยากาศสมดุลกับปริมาณที่ถูกดูดซับกลับคืนไป
  • การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608): การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือน้อยที่สุด และใช้มาตรการกำจัดคาร์บอนออกจากบรรยากาศเพื่อชดเชยส่วนที่ยังคงปล่อยอยู่

ภาษีคาร์บอนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง และเร่งให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ตามกำหนด

ปัญญาประดิษฐ์ (AI): ดาบสองคมต่อสิ่งแวดล้อม

ปัญญาประดิษฐ์ (AI): ดาบสองคมต่อสิ่งแวดล้อม

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่การทำงาน การสื่อสาร ไปจนถึงความบันเทิง ผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ต่อสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณามากขึ้น AI มีศักยภาพมหาศาลทั้งในการสร้างปัญหาและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเปรียบเสมือนดาบสองคมที่ต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง

ด้านที่ใช้พลังงาน: คาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มองไม่เห็นของ AI

เบื้องหลังความสามารถอันน่าทึ่งของ AI คือการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ซึ่งต้องอาศัยพลังจากศูนย์ข้อมูล (Data Center) ขนาดใหญ่ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ศูนย์ข้อมูลเหล่านี้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงที่สุดในโลก การฝึกฝนโมเดล AI ที่ซับซ้อน หรือแม้แต่การเรียกใช้งาน AI ในแต่ละครั้ง ล้วนต้องการพลังงานในการคำนวณ

ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การตั้งคำถามหรือสั่งงาน AI หนึ่งครั้งอาจปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการค้นหาข้อมูลผ่าน Google ทั่วไปถึง 10 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) ที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า “โทเคน” (Tokens) ยิ่งต้องใช้พลังงานสูงขึ้นตามความซับซ้อนของคำสั่ง ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ดิจิทัล” ซึ่งเป็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มักถูกมองข้ามไป เมื่อ AI กลายเป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น ผลกระทบจากการใช้พลังงานสะสมจึงอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

ด้านที่เป็นประโยชน์: AI ในฐานะเครื่องมือจัดการสิ่งแวดล้อม

ในทางกลับกัน AI ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการต่อสู้กับภาวะลดโลกร้อน ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนและค้นหารูปแบบที่มนุษย์อาจมองไม่เห็น ทำให้ AI มีประโยชน์ในหลายด้าน เช่น:

  • การเก็บข้อมูลและประเมินผล: AI สามารถช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนจากแหล่งต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและครอบคลุม ทำให้องค์กรสามารถประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และวางแผนการลดการปล่อยก๊าซได้อย่างตรงจุด
  • การเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน: ในภาคอุตสาหกรรมและอาคารอัจฉริยะ AI สามารถควบคุมและจัดการการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การปรับระบบปรับอากาศให้สอดคล้องกับจำนวนคนในอาคาร หรือการวางแผนเส้นทางการขนส่งที่ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุด
  • การพัฒนานวัตกรรมสีเขียว: AI มีส่วนช่วยในการวิจัยและพัฒนา

    วัสดุใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น การออกแบบใบพัดกังหันลมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือการจัดการโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)

อนาคตที่บรรจบกัน: เมื่อ AI และภาษีคาร์บอนอยู่ในชีวิตประจำวัน

เมื่อนโยบายภาษีคาร์บอนถูกนำมาใช้ และเทคโนโลยี AI ได้ผสานเข้ากับวิถีชีวิตอย่างสมบูรณ์ อนาคตของการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมจึงอาจขยายขอบเขตจากระดับอุตสาหกรรมมาสู่ระดับบุคคล ซึ่งนำมาสู่แนวคิดและประเด็นท้าทายใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

แนวคิด ‘Carbon Wallet’ กับการติดตามคาร์บอนส่วนบุคคล

แนวคิด “Carbon Wallet” หรือกระเป๋าเงินคาร์บอน เป็นภาพจำลองของระบบในอนาคตที่อาจใช้เทคโนโลยี AI ในการคำนวณและติดตามคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง (การใช้รถยนต์ส่วนตัว, ระบบขนส่งสาธารณะ), การใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน, ไปจนถึงการบริโภคสินค้าและบริการที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์แตกต่างกันไป

ในระบบดังกล่าว การใช้งาน AI ที่กินพลังงานสูง เช่น การสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง หรือการใช้แอปพลิเคชันที่ต้องประมวลผลบนคลาวด์อย่างหนัก ก็อาจถูกนำมาคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน ข้อมูลเหล่านี้อาจถูกเชื่อมโยงกับระบบการเงินหรือภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคคลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับภาพของ “AI ติดตามตัว” ในมิติของการบริโภคและการสร้างผลกระทบต่อโลก

ความท้าทายด้านความเท่าเทียมและข้อมูลส่วนบุคคล

แม้แนวคิดดังกล่าวจะมีเป้าหมายที่ดีในการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่สำคัญอย่างยิ่ง ประเด็นแรกคือ ความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากบุคคลที่มีรายได้น้อยอาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงทางเลือกคาร์บอนต่ำ เช่น การซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การกำหนดภาระภาษีจากพฤติกรรมอาจกลายเป็นการซ้ำเติมกลุ่มเปราะบางทางสังคม

ประเด็นที่สองซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน คือการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การที่ระบบ AI จะสามารถคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างแม่นยำนั้น จำเป็นต้องมีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมส่วนบุคคลอย่างละเอียดและต่อเนื่อง ซึ่งก่อให้เกิดคำถามถึงขอบเขตของการสอดส่องดูแลโดยรัฐหรือเอกชน และความเสี่ยงที่ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด การสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมกับสิทธิความเป็นส่วนตัวจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่สังคมต้องร่วมกันหาคำตอบ

เปรียบเทียบผลกระทบของ AI ต่อสิ่งแวดล้อม

ตารางนี้สรุปผลกระทบสองด้านของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งในเชิงบวกที่เป็นเครื่องมือช่วยลดโลกร้อน และเชิงลบที่เกิดจากการใช้พลังงานสูง
มิติของผลกระทบ ผลกระทบเชิงบวก (โอกาส) ผลกระทบเชิงลบ (ความเสี่ยง)
การใช้พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม อาคาร และระบบขนส่ง ความต้องการพลังงานไฟฟ้ามหาศาลสำหรับศูนย์ข้อมูลเพื่อฝึกฝนและใช้งาน AI
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยคำนวณและวางแผนการลดการปล่อยก๊าซได้อย่างแม่นยำ สร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางตรงจากการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
การจัดการข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนเพื่อหาทางแก้ไข การสร้างและจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลต้องใช้ทรัพยากรและพลังงาน
นวัตกรรม เร่งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาจกระตุ้นการบริโภคสินค้าและบริการดิจิทัลที่ใช้พลังงานสูงให้เพิ่มขึ้น

บทสรุปและทิศทางในอนาคต

การเดินหน้าบังคับใช้ภาษีคาร์บอนของประเทศไทย เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความพยายามในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม โดยอาศัยกลไกทางเศรษฐศาสตร์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและบริโภคในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีปัญญาประดิษฐ์เป็นเทคโนโลยีแกนกลาง ซึ่งมีผลกระทบต่อการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ

อนาคตจึงมีแนวโน้มที่นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะต้องครอบคลุมไปถึงกิจกรรมในโลกดิจิทัลมากขึ้น การเชื่อมโยงระหว่างภาษีคาร์บอนกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกิดจากการใช้ AI และเทคโนโลยีอื่นๆ อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ จำเป็นต้องมีการออกแบบนโยบายที่รัดกุม เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านความเหลื่อมล้ำและปกป้องสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนอย่างจริงจัง การทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมพร้อมปรับตัวและร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง


กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930