Shopping cart

ด่วน! สแกนหน้าก่อนโพสต์ กฎหมายใหม่คุมโซเชียล

สารบัญ

ประเด็นเกี่ยวกับข่าวลือเรื่อง ด่วน! สแกนหน้าก่อนโพสต์ กฎหมายใหม่คุมโซเชียล ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ถึงแม้ว่าแนวคิดดังกล่าวจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความพยายามในการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมและอาชญากรรมไซเบอร์ แต่ก็ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก การทำความเข้าใจข้อเท็จจริงเบื้องหลังกระแสข่าวดังกล่าวจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ใช้ทุกคน

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง

  • ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการประกาศใช้กฎหมายในประเทศไทยที่บังคับให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียต้องสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนก่อนการโพสต์เนื้อหาใดๆ ข้อมูลที่เผยแพร่ยังคงเป็นเพียงกระแสข่าวที่ต้องรอการยืนยันจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
  • แนวโน้มระดับโลกมีความหลากหลาย โดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Meta กำลังลดการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเพื่อเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ในขณะที่บางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร กำลังออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อควบคุมเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อเยาวชน
  • ปัญหาเรื่อง ข่าวปลอม และ กฎหมาย deepfake เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้รัฐบาลทั่วโลกพิจารณามาตรการ ยืนยันตัวตนดิจิทัล เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบของผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์
  • การถกเถียงเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความต้องการความปลอดภัยทางไซเบอร์กับการปกป้องสิทธิ ความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญในยุคดิจิทัล
  • ผู้ใช้งานควรตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล โดยหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น บัตรประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ บนแพลตฟอร์มสาธารณะ

ไขข้อเท็จจริง: กฎหมายสแกนหน้าก่อนโพสต์ในไทย

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข่าวสารที่ระบุถึงการเตรียมออกกฎหมายใหม่ที่บังคับให้มีการ สแกนหน้าโพสต์ บนโซเชียลมีเดียได้สร้างความตื่นตัวและกังวลใจให้กับผู้คนจำนวนมาก แนวคิดหลักของมาตรการที่ถูกกล่าวถึงคือการกำหนดให้ผู้ใช้ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometric) เช่น ใบหน้า ก่อนที่จะสามารถเผยแพร่เนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวิดีโอคลิปได้ วัตถุประสงค์ที่ถูกอ้างถึงคือเพื่อป้องกันและปราบปรามการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การสร้างบัญชีอวตารเพื่อโจมตีผู้อื่น และการนำเสนอเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือและหน่วยงานภาครัฐ ณ เดือนกันยายน 2568 ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการเสนอร่างกฎหมายหรือประกาศพระราชกำหนดในลักษณะดังกล่าวออกมาบังคับใช้แต่อย่างใด กระแสข่าวที่เกิดขึ้นอาจมีที่มาจากการหารือในวงจำกัด หรือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากการนำเสนอแนวคิดในการรับมือกับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ดังนั้น การตื่นตระหนกหรือเชื่อในข่าวดังกล่าวในทันทีจึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง สิ่งสำคัญคือการติดตามข้อมูลจากประกาศอย่างเป็นทางการของภาครัฐ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด

แม้ว่าแนวคิดการยืนยันตัวตนจะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาข่าวปลอม แต่การนำมาตรการที่กระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลในวงกว้างมาใช้ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการพิจารณาที่รอบคอบและโปร่งใส

การที่ประเด็นนี้ได้รับความสนใจอย่างสูง สะท้อนให้เห็นว่าสังคมกำลังตระหนักถึงปัญหาข้อมูลลวงบนโลกออนไลน์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อการรุกล้ำข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน การหาจุดสมดุลระหว่างการรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหาทางออกต่อไป

ทิศทางของเทคโนโลยีจดจำใบหน้าบนแพลตฟอร์มระดับโลก

ทิศทางของเทคโนโลยีจดจำใบหน้าบนแพลตฟอร์มระดับโลก

ในขณะที่แนวคิดเรื่องการใช้ข้อมูลชีวภาพเพื่อยืนยันตัวตนกำลังเป็นที่ถกเถียง ทิศทางของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรายใหญ่กลับสวนทางกันอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่เริ่มถอยห่างจากการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าในวงกว้าง ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความซับซ้อนของประเด็นนี้

กรณีศึกษา: Meta กับการยกเลิกระบบจดจำใบหน้า

บริษัท Meta (ชื่อเดิม Facebook) ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญโดยการยุติการใช้งานระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition System) บนแพลตฟอร์ม Facebook ซึ่งเคยเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยแนะนำการแท็กชื่อบุคคลในรูปภาพและวิดีโอโดยอัตโนมัติ การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลให้มีการลบแม่แบบใบหน้า (Face Template) ของผู้ใช้งานมากกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกออกจากระบบ

เหตุผลหลักที่ Meta ชี้แจงคือความกังวลที่เพิ่มขึ้นในสังคมเกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว ทั้งในแง่ของ ความเป็นส่วนตัว และความเสี่ยงที่เทคโนโลยีอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การสอดแนมโดยรัฐ หรือการติดตามตัวบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์ในบางด้าน เช่น การช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาให้สามารถระบุตัวตนของเพื่อนในภาพได้ หรือการแจ้งเตือนเมื่อมีผู้อื่นนำรูปภาพไปใช้แอบอ้าง แต่บริษัทมองว่าความเสี่ยงและผลกระทบเชิงลบมีน้ำหนักมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับในภาพรวม อย่างไรก็ตาม Meta ยังคงสงวนการใช้เทคโนโลยีนี้ไว้สำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น แว่นตาอัจฉริยะ Ray-Ban Stories ซึ่งการใช้งานจะอยู่ในขอบเขตที่จำกัดและต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้โดยตรง

นัยยะสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี

การเคลื่อนไหวของ Meta ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อมุมมองของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม มันแสดงให้เห็นว่าบริษัทขนาดใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับความไว้วางใจของผู้ใช้และความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น การตัดสินใจนี้อาจเป็นตัวเร่งให้แพลตฟอร์มอื่นๆ ทบทวนนโยบายการใช้ข้อมูลชีวภาพของตนเอง และหันมาให้ความสำคัญกับการออกแบบเทคโนโลยีที่เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว (Privacy by Design) มากยิ่งขึ้น ทิศทางนี้สะท้อนให้เห็นว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้โดยปราศจากการพิจารณาถึงผลกระทบทางจริยธรรมและสังคมอย่างรอบด้านนั้น ไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืนอีกต่อไปในโลกปัจจุบัน

มาตรการกำกับดูแลโซเชียลมีเดียในต่างประเทศ

นานาประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทายในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลเช่นเดียวกัน แต่แนวทางในการออกมาตรการกลับมีความแตกต่างกันไปตามบริบททางสังคมและกฎหมายของแต่ละแห่ง ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีของสหราชอาณาจักร ซึ่งเลือกใช้แนวทางที่มุ่งเน้นการปกป้องผู้ใช้งานกลุ่มเปราะบาง แทนที่จะเป็นการบังคับยืนยันตัวตนกับผู้ใช้ทุกคน

โมเดลของสหราชอาณาจักร: เน้นปกป้องเยาวชน

สหราชอาณาจักรได้ผ่านกฎหมายใหม่ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อควบคุมเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียที่เป็นอันตรายต่อเด็กและเยาวชน กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้บังคับให้ผู้ใช้ต้อง สแกนหน้าโพสต์ แต่กำหนดให้แพลตฟอร์มต่างๆ ต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ปรากฏบนบริการของตนเองมากขึ้น มาตรการสำคัญประกอบด้วย:

  • การควบคุมอัลกอริทึม: บังคับให้แพลตฟอร์มต้องปรับปรุงอัลกอริทึมเพื่อคัดกรองและป้องกันไม่ให้เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายตัวเอง ความรุนแรง หรือสื่อลามกอนาจาร เข้าถึงผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
  • การจำกัดการใช้งาน: กำหนดข้อบังคับเพื่อจำกัดการเข้าถึงหรือการใช้งานโซเชียลมีเดียของเยาวชน เพื่อลดผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพจิตและพัฒนาการ
  • บทลงโทษที่รุนแรง: หากแพลตฟอร์มใดไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่หนักหน่วง ซึ่งอาจเป็นการปรับเงินสูงสุดถึง 10% ของรายได้ทั่วโลก หรือในบางกรณี ผู้บริหารอาจต้องรับโทษทางอาญา

ความแตกต่างในแนวทางการกำกับดูแล

แนวทางของสหราชอาณาจักรแสดงให้เห็นถึงอีกหนึ่งมุมมองในการกำกับดูแล โดยมุ่งเน้นไปที่ความรับผิดชอบของผู้ให้บริการ (Platform Responsibility) แทนที่จะผลักภาระการพิสูจน์ตัวตนไปให้ผู้ใช้งานทั้งหมด โมเดลนี้พยายามสร้างสมดุลระหว่างการปกป้องผู้ใช้งานและการรักษาเสรีภาพในการแสดงออก โดยไม่ได้เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ทั่วไป แต่เน้นไปที่การจัดการเนื้อหาที่เป็นอันตรายอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจากแนวคิดเรื่องการบังคับ ยืนยันตัวตนดิจิทัล สำหรับทุกบัญชีผู้ใช้

ความท้าทายจาก Deepfake และข่าวปลอม

ต้นตอสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการถกเถียงเรื่องการยืนยันตัวตนบนโลกออนไลน์ มาจากการแพร่ระบาดของเนื้อหาที่ถูกบิดเบือนอย่าง ข่าวปลอม (Fake News) และเทคโนโลยี Deepfake ซึ่งมีความซับซ้อนและแนบเนียนมากขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถสร้างวิดีโอหรือเสียงปลอมของบุคคลใดก็ได้ ทำให้การแยกแยะระหว่างความจริงกับสิ่งลวงทำได้ยากขึ้น และก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง ทั้งต่อชื่อเสียงของบุคคล การสร้างความแตกแยกในสังคม และแม้กระทั่งการแทรกแซงกระบวนการทางการเมือง

เหตุผลเบื้องหลังแนวคิดการยืนยันตัวตนดิจิทัล

ฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการ ยืนยันตัวตนดิจิทัล มองว่าการผูกบัญชีโซเชียลมีเดียเข้ากับตัวตนที่แท้จริงของบุคคล จะช่วยเพิ่มระดับความรับผิดชอบ (Accountability) ของผู้ใช้งานได้ เมื่อผู้คนไม่สามารถซ่อนตัวอยู่หลังบัญชีนิรนามได้อีกต่อไป แนวโน้มที่จะเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังอาจลดลง เนื่องจากสามารถสืบสวนและติดตามตัวผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น แนวคิดนี้จึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับปัญหา กฎหมาย deepfake และการสร้างข้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ

การชั่งน้ำหนักระหว่างความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวต้องเผชิญกับข้อโต้แย้งที่แข็งแกร่งในประเด็นด้าน ความเป็นส่วนตัว และสิทธิมนุษยชน การบังคับให้ทุกคนต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงบนโลกออนไลน์อาจนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบหลายประการ เช่น การปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจซึ่งอาจทำได้ยากขึ้นหากไม่สามารถแสดงออกโดยนิรนามได้ นอกจากนี้ การรวบรวมข้อมูลชีวภาพของผู้คนทั้งประเทศไว้ในฐานข้อมูลกลางยังสร้างความเสี่ยงมหาศาล หากระบบถูกโจมตีทางไซเบอร์ ข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนอาจรั่วไหลและถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้

ตารางเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของมาตรการบังคับยืนยันตัวตนดิจิทัล
ประเด็นพิจารณา ข้อดี (ประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น) ข้อเสีย (ความเสี่ยงและผลกระทบ)
การลดปัญหาข่าวปลอม ช่วยให้ติดตามแหล่งที่มาของข่าวปลอมได้ง่ายขึ้น และลดพฤติกรรมของผู้ที่จงใจสร้างข้อมูลเท็จ ผู้กระทำผิดอาจหาวิธีอื่นในการหลีกเลี่ยงการตรวจจับ หรือย้ายไปใช้แพลตฟอร์มที่ไม่มีการกำกับดูแล
ความรับผิดชอบของผู้ใช้ เพิ่มความตระหนักและความรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่โพสต์ เนื่องจากบัญชีผูกกับตัวตนจริง อาจเกิด “Chilling Effect” ทำให้ผู้คนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี โดยเฉพาะในประเด็นที่ละเอียดอ่อน
ความปลอดภัยของข้อมูล อาจช่วยลดปัญหาการหลอกลวงและการฉ้อโกงออนไลน์ได้ในระดับหนึ่ง มีความเสี่ยงสูงต่อการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลชีวภาพ หากฐานข้อมูลถูกโจมตี
สิทธิความเป็นส่วนตัว อาจไม่มีข้อดีโดยตรงต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง และเปิดช่องให้เกิดการสอดส่องโดยรัฐหรือเอกชน

แนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการใช้งานโซเชียลมีเดีย

ไม่ว่ากฎหมายในอนาคตจะเป็นอย่างไร การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและความปลอดภัยในการใช้งานโซเชียลมีเดียยังคงเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานของผู้ใช้งานทุกคน การสร้างเกราะป้องกันให้ตนเองบนโลกออนไลน์สามารถทำได้ผ่านแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดดังต่อไปนี้:

  1. ห้ามเผยแพร่ข้อมูลระบุตัวตน: ควรหลีกเลี่ยงการโพสต์รูปภาพเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน, หนังสือเดินทาง, ใบขับขี่, หรือเอกสารทางการเงินใดๆ ลงบนโซเชียลมีเดียโดยเด็ดขาด ข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกมิจฉาชีพนำไปใช้สวมรอยหรือก่ออาชญากรรมได้
  2. ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์: ก่อนที่จะกดแชร์ข่าวสารหรือข้อมูลใดๆ ควรใช้เวลาในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มาเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ ข่าวปลอม โดยไม่ตั้งใจ
  3. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างสม่ำเสมอ: แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่มีเครื่องมือให้ผู้ใช้สามารถจัดการความเป็นส่วนตัวได้ ควรเข้าไปตรวจสอบและปรับปรุงการตั้งค่าเหล่านี้เป็นประจำ เพื่อจำกัดว่าใครสามารถเห็นข้อมูลส่วนตัวหรือโพสต์ต่างๆ ได้บ้าง
  4. ใช้รหัสผ่านที่รัดกุมและแตกต่างกัน: ตั้งรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยากสำหรับแต่ละบัญชี และเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
  5. ตระหนักถึงการหลอกลวง (Phishing): ระมัดระวังอีเมล ข้อความ หรือลิงก์น่าสงสัยที่พยายามหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่าน มิจฉาชีพมักใช้สถานการณ์ที่เป็นกระแสมาสร้างเรื่องราวเพื่อหลอกลวง

การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องบัญชีและข้อมูลส่วนตัว แต่ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากขึ้นสำหรับทุกคน

บทสรุปและอนาคตของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์

สรุปแล้ว ประเด็น ด่วน! สแกนหน้าก่อนโพสต์ กฎหมายใหม่คุมโซเชียล ยังคงเป็นเพียงกระแสข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ณ ขณะนี้ การถกเถียงที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายระดับโลกในการสร้างสมดุลระหว่างการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ เช่น ข่าวปลอม และ deepfake กับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานอย่าง ความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการแสดงออก

ทิศทางของโลกในเรื่องนี้ยังไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Meta กำลังเดินหน้าลดการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ขณะที่บางประเทศอย่างสหราชอาณาจักรเลือกที่จะกำกับดูแลเนื้อหาและเพิ่มความรับผิดชอบให้กับแพลตฟอร์มแทนการบังคับยืนยันตัวตนผู้ใช้ทุกคน แนวทางเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่ามีหลากหลายวิธีการในการจัดการปัญหา ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป

สำหรับผู้ใช้งานในประเทศไทย สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้และประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ ขณะเดียวกัน การยกระดับความตระหนักรู้และปฏิบัติตามหลักการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยยังคงเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการปกป้องตนเองจากความเสี่ยงต่างๆ ในโลกดิจิทัล การตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับนโยบาย ยืนยันตัวตนดิจิทัล ในอนาคต จำเป็นต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งทางออกที่เหมาะสมและยั่งยืนสำหรับสังคมไทยต่อไป

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930