ตุ๊กตุ๊กไร้คนขับ วิ่งแล้วรอบกรุงเก่า! อนาคตหรืออวสาน?
- บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
- เจาะลึกปรากฏการณ์ตุ๊กตุ๊ก AI: เมื่อเทคโนโลยีมาเยือนสัญลักษณ์แห่งสยาม
- เทคโนโลยีเบื้องหลังตุ๊กตุ๊กไร้คนขับ ขับเคลื่อนด้วยอะไร?
- จากแนวคิดสู่ท้องถนน: โครงการนำร่องในกรุงเทพมหานคร
- เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด: ตุ๊กตุ๊กแบบดั้งเดิม vs. ตุ๊กตุ๊ก AI
- เสียงสะท้อนจากสองฝั่ง: อนาคตของการท่องเที่ยวหรือจุดจบของอาชีพ?
- ทางออกและการปรับตัว: อนาคตที่ต้องเลือกระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี
- สรุป: ตุ๊กตุ๊กไร้คนขับ บทพิสูจน์แห่งการเปลี่ยนแปลง
การมาถึงของยานยนต์สามล้อไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองได้จุดประกายบทสนทนาที่สำคัญเกี่ยวกับทิศทางของนวัตกรรม การท่องเที่ยว และผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมในสังคมไทย
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
- เทคโนโลยีล้ำสมัย: ตุ๊กตุ๊กไร้คนขับผสานการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI), เซ็นเซอร์ LIDAR, กล้อง และ GPS เพื่อการนำทางที่แม่นยำและการหลบหลีกสิ่งกีดขวางอัตโนมัติ
- โครงการนำร่องในกรุงเทพฯ: ได้มีการเริ่มทดลองให้บริการจริงแล้วในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวและเป็นต้นแบบของการขนส่งอัจฉริยะ
- มิติใหม่แห่งการเดินทางเชิงอนุรักษ์: การใช้พลังงานไฟฟ้าใน AI Tuk-Tuk สอดคล้องกับเป้าหมายการลดมลพิษทางอากาศและเสียงในเมืองหลวง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองสีเขียว
- ผลกระทบต่อสังคมและอาชีพ: การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีนี้สร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อกลุ่มผู้ขับขี่ตุ๊กตุ๊กแบบดั้งเดิม ซึ่งอาจเผชิญกับการถูกแทนที่และรายได้ที่ลดลง นำไปสู่คำถามเชิงสังคมที่ต้องหาคำตอบ
- อนาคตของการขนส่งสาธารณะ: ปรากฏการณ์นี้สะท้อนภาพการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ที่เทคโนโลยีและวิถีชีวิตดั้งเดิมต้องหาจุดสมดุลเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
คำถามที่ว่า ตุ๊กตุ๊กไร้คนขับ วิ่งแล้วรอบกรุงเก่า! อนาคตหรืออวสาน? ได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงที่สะท้อนภาพการเผชิญหน้าระหว่างนวัตกรรมและความเป็นจริงทางสังคม การปรากฏตัวของยานพาหนะสามล้ออัตโนมัติบนท้องถนนของกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่เป็นเพียงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ท้าทายสถานะของหนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของการท่องเที่ยวไทย ยานยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้ ซึ่งควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์อันซับซ้อน ได้เริ่มให้บริการในพื้นที่ประวัติศาสตร์ ทำให้เกิดทั้งความตื่นเต้นในฐานะที่เป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) และความวิตกกังวลต่ออนาคตของผู้ประกอบอาชีพขับรถตุ๊กตุ๊กแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
เจาะลึกปรากฏการณ์ตุ๊กตุ๊ก AI: เมื่อเทคโนโลยีมาเยือนสัญลักษณ์แห่งสยาม
ตุ๊กตุ๊กเป็นมากกว่ายานพาหนะ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตชีวาของวัฒนธรรมและประสบการณ์การท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ เสียงเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ สีสันที่สดใส และปฏิสัมพันธ์กับคนขับคือส่วนหนึ่งของเสน่ห์ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกจดจำ การนำเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับมาประยุกต์ใช้กับยานพาหนะที่เป็นไอคอนนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โครงการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทดแทนของเก่าโดยสิ้นเชิงในระยะแรก แต่เป็นการสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการเดินทางสำหรับยุคดิจิทัล โดยมุ่งเป้าไปที่การยกระดับความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และการสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยให้กับการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ
ปรากฏการณ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่นักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่แปลกใหม่และปลอดภัย, ผู้กำหนดนโยบายเมืองที่ต้องการผลักดันกรุงเทพฯ สู่การเป็นสมาร์ทซิตี้, ไปจนถึงกลุ่มผู้ขับขี่ตุ๊กตุ๊กดั้งเดิมที่กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อาชีพของพวกเขา การเปลี่ยนแปลงนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันหาทางออกเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างสมดุล
เทคโนโลยีเบื้องหลังตุ๊กตุ๊กไร้คนขับ ขับเคลื่อนด้วยอะไร?
การที่ตุ๊กตุ๊กสามารถเคลื่อนที่ได้เองอย่างปลอดภัยและแม่นยำบนท้องถนนที่ซับซ้อนของกรุงเทพฯ นั้น อาศัยการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีขั้นสูงหลายชนิด เปรียบเสมือนการสร้างมนุษย์ดิจิทัลที่มีทั้งสมอง ตา และระบบประสาทสัมผัสในการรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว
ระบบสมองกล: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หัวใจของการขับเคลื่อน
หัวใจสำคัญของ AI Tuk-Tuk คือระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ทำหน้าที่เป็น “สมอง” ของรถ อัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลการจราจรมหาศาล ทั้งจากภาพวิดีโอและข้อมูลเซ็นเซอร์ ทำให้ AI สามารถตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ เช่น การเร่งความเร็ว การเบรก การเลี้ยว การเปลี่ยนเลน และการปฏิบัติตามกฎจราจรทั้งหมด ระบบนี้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อเพิ่มความแม่นยำและรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ดีขึ้น
ดวงตารอบทิศ: เซ็นเซอร์ LIDAR และกล้องวิดีโอ
เพื่อให้ AI สามารถ “มองเห็น” และเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ ตุ๊กตุ๊กไร้คนขับจึงติดตั้งเซ็นเซอร์หลากหลายประเภท:
- LIDAR (Light Detection and Ranging): เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยการยิงแสงเลเซอร์ออกไปรอบตัวรถนับล้านจุดต่อวินาที และวัดระยะเวลาที่แสงสะท้อนกลับมาเพื่อสร้างแผนที่สามมิติ (3D Map) ของสภาพแวดล้อมโดยรอบแบบเรียลไทม์ ทำให้รถสามารถตรวจจับวัตถุต่างๆ เช่น รถคันอื่น คนเดินเท้า หรือสิ่งกีดขวาง ได้อย่างแม่นยำทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
- กล้องวิดีโอความละเอียดสูง: กล้องที่ติดตั้งอยู่รอบคันทำหน้าที่เหมือนดวงตาของมนุษย์ ช่วยให้ AI สามารถจดจำและตีความวัตถุที่มีรายละเอียดซับซ้อน เช่น ป้ายจราจร สัญญาณไฟจราจร เส้นแบ่งเลนบนถนน และพฤติกรรมของยานพาหนะอื่นๆ
เข็มทิศดิจิทัล: GPS และระบบแผนที่ความละเอียดสูง
ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (GPS) ทำงานร่วมกับระบบแผนที่ดิจิทัลที่มีความละเอียดสูง (HD Maps) เพื่อให้รถทราบตำแหน่งที่แน่นอนของตัวเองบนท้องถนน (ในระดับเซนติเมตร) และวางแผนเส้นทางไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างถูกต้อง แผนที่เหล่านี้ไม่ได้มีแค่ข้อมูลถนน แต่ยังรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ความสูงของขอบทางเท้า ตำแหน่งของเสาไฟ และข้อมูลจราจรอื่นๆ ที่สำคัญต่อการขับขี่อัตโนมัติ
กลไกการทำงานร่วมกัน: จากข้อมูลสู่การเคลื่อนไหว
ข้อมูลทั้งหมดจากเซ็นเซอร์ LIDAR, กล้อง และ GPS จะถูกส่งไปยังหน่วยประมวลผลกลาง (ECU) ซึ่งเปรียบเสมือนระบบประสาทของรถ AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดนี้พร้อมกัน (Sensor Fusion) เพื่อสร้างภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน จากนั้นจึงส่งคำสั่งไปยังระบบควบคุมต่างๆ ของรถ เช่น พวงมาลัย คันเร่ง และเบรก เพื่อให้รถเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่วางไว้อย่างนุ่มนวลและปลอดภัย กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที
จากแนวคิดสู่ท้องถนน: โครงการนำร่องในกรุงเทพมหานคร
การเปิดตัวตุ๊กตุ๊กไร้คนขับในกรุงเทพฯ ไม่ใช่เพียงการทดลองทางเทคโนโลยี แต่เป็นก้าวที่สำคัญในการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้จริงในภาคบริการขนส่งและการท่องเที่ยว โครงการนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการศึกษาความเป็นไปได้และเก็บข้อมูลเพื่อการพัฒนาในอนาคต
พื้นที่ให้บริการและเป้าหมาย: ทำไมต้องเป็นเกาะรัตนโกสินทร์?
การเลือกพื้นที่ “กรุงเก่า” หรือเกาะรัตนโกสินทร์เป็นพื้นที่นำร่องนั้นมีเหตุผลหลายประการ ประการแรก พื้นที่นี้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ต้องการบริการขนส่งระยะสั้นระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประการที่สอง สภาพการจราจรในบริเวณนี้มีความท้าทายแต่ยังสามารถควบคุมได้ ทำให้เป็นสนามทดสอบที่เหมาะสมสำหรับเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ เป้าหมายหลักของโครงการคือการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ลดปัญหาการจราจรติดขัด และสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยให้กับการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า
ส่วนหนึ่งของภาพใหญ่: สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City)
โครงการตุ๊กตุ๊ก AI เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่าในการพัฒนากรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยมีเป้าหมายในหลายมิติ:
- Smart Mobility: การพัฒนาระบบขนส่งที่เชื่อมโยง สะดวก ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าไร้คนขับตอบโจทย์นี้โดยตรง ทั้งในด้านการลดมลพิษและการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพ
- Smart Environment: การใช้พลังงานไฟฟ้าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดมลพิษทางเสียงในพื้นที่ท่องเที่ยวที่หนาแน่น
- Smart Economy: การสร้างนวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ที่สามารถดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
นอกจากนี้ โครงการที่คล้ายกันอย่าง “มูฟมี” (MuvMi) ซึ่งเป็นบริการรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าแบบ Ride-sharing ที่ใช้ AI ในการวางแผนเส้นทาง ก็เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
เปรียบเทียบหมัดต่อหมัด: ตุ๊กตุ๊กแบบดั้งเดิม vs. ตุ๊กตุ๊ก AI
การเปรียบเทียบระหว่างตุ๊กตุ๊กสองยุคสมัยเผยให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความคาดหวังของผู้ใช้บริการ
คุณลักษณะ | ตุ๊กตุ๊กแบบดั้งเดิม | ตุ๊กตุ๊กไร้คนขับ (AI) |
---|---|---|
ผู้ขับขี่ | มนุษย์ (มีปฏิสัมพันธ์, ต่อรองราคา, ให้ข้อมูลท้องถิ่น) | ระบบ AI (ไม่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรง, ควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน) |
เทคโนโลยี | เครื่องยนต์สันดาป, ระบบควบคุมแบบแมนนวล | มอเตอร์ไฟฟ้า, AI, LIDAR, กล้อง, GPS, การขับขี่อัตโนมัติ |
ความปลอดภัย | ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ของผู้ขับขี่, อาจมีความเสี่ยงจากปัจจัยมนุษย์ | ระบบเซ็นเซอร์รอบคัน, ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล, ลดความผิดพลาดจากมนุษย์, มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง |
ค่าโดยสาร | ต่อรองราคา, ไม่แน่นอน, อาจมีราคาสูงเกินจริงสำหรับนักท่องเที่ยว | ราคามาตรฐาน, คำนวณตามระยะทาง, ชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล, มีความโปร่งใส |
ประสบการณ์ | ได้สัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น, ตื่นเต้น, เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว | ทันสมัย, แปลกใหม่, สะดวกสบาย, คาดการณ์ได้ |
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม | ปล่อยมลพิษทางอากาศ (PM2.5) และเสียงดัง | เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, ไม่ปล่อยมลพิษ, ทำงานเงียบ |
เสียงสะท้อนจากสองฝั่ง: อนาคตของการท่องเที่ยวหรือจุดจบของอาชีพ?
การมาถึงของตุ๊กตุ๊กไร้คนขับได้สร้างแรงกระเพื่อมที่ก่อให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ระหว่างฝ่ายที่มองเห็นโอกาสในการพัฒนาและฝ่ายที่เผชิญกับความเสี่ยงต่อการดำรงชีวิต
มุมมองแห่งโอกาส: การยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
สำหรับภาคการท่องเที่ยวและผู้กำหนดนโยบาย ตุ๊กตุ๊ก AI คือเครื่องมือสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวให้มีความทันสมัย ปลอดภัย และน่าเชื่อถือมากขึ้น ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับประกอบด้วย:
- ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น: การใช้ระบบอัตโนมัติช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ เช่น ความเหนื่อยล้า หรือการขับขี่ที่ประมาท
- ราคาที่โปร่งใส: การกำหนดราคามาตรฐานผ่านแอปพลิเคชันช่วยขจัดปัญหาการโก่งราคา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยมาอย่างยาวนาน
- การสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย: การนำเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้กับสัญลักษณ์ของประเทศเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในภูมิภาค
- ข้อมูลเพื่อการพัฒนา: ข้อมูลการเดินทางที่รวบรวมได้จากระบบสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนและพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“น้ำตาวินตุ๊กตุ๊ก”: ความกังวลต่อการสูญเสียอาชีพและวัฒนธรรม
ในทางกลับกัน สำหรับกลุ่มผู้ขับขี่ตุ๊กตุ๊กแบบดั้งเดิมหลายพันคน เทคโนโลยีนี้คือภัยคุกคามโดยตรงต่อแหล่งรายได้เพียงหนึ่งเดียวของครอบครัว พวกเขามองว่า AI Tuk-Tuk ไม่ใช่แค่นวัตกรรม แต่เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับอาชีพที่พวกเขารักและผูกพัน ความกังวลเหล่านี้หยั่งรากลึกในหลายมิติ:
“เราขับรถตุ๊กตุ๊กเลี้ยงครอบครัวมาทั้งชีวิต ถ้าวันหนึ่งมีรถที่ขับเองได้มาแทนที่ แล้วเราจะไปทำอะไรกิน? เสน่ห์ของตุ๊กตุ๊กมันอยู่ที่คนขับ การพูดคุย การแนะนำสถานที่ ไม่ใช่แค่การเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง”
ประเด็นหลักที่สร้างความกังวลคือ:
- การถูกแทนที่โดยสมบูรณ์: ความกลัวว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแย่งงาน จนทำให้ผู้ขับขี่ต้องตกงานและขาดรายได้
- การสูญเสียเสน่ห์และอัตลักษณ์: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนขับกับผู้โดยสารเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณค่า การเดินทางด้วยรถไร้คนขับอาจทำให้เสน่ห์ส่วนนี้หายไป
- ช่องว่างทางทักษะ: ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานที่มีอายุและอาจไม่สามารถปรับตัวเข้ากับทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลได้ง่ายนัก
กรณีศึกษาจากกรุงเก่า: ความขัดแย้งที่รอวันปะทุ
ความตึงเครียดระหว่างผู้ให้บริการขนส่งดั้งเดิมกับระเบียบและเทคโนโลยีสมัยใหม่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ปัญหาการประท้วงของคนขับตุ๊กตุ๊กและรถสองแถวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งที่สะสมอยู่ในอุตสาหกรรมการขนส่งท้องถิ่น กรณีดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนว่า หากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในกรุงเทพฯ ไม่ได้รับการจัดการอย่างรอบคอบและไม่มีการสื่อสารที่ชัดเจน ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมที่รุนแรงขึ้นได้เช่นกัน
ทางออกและการปรับตัว: อนาคตที่ต้องเลือกระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี
เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เทคโนโลยีสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมในวงกว้าง การวางแผนเพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นระบบจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การหาจุดสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมกับการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน
บทบาทภาครัฐ: นโยบายรองรับและกฎหมาย
ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลและสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึงการออกกฎหมายรองรับการใช้งานรถยนต์ไร้คนขับบนถนนสาธารณะ การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย และที่สำคัญที่สุดคือการออกมาตรการเยียวยาและสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่น การจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ต้องเปลี่ยนอาชีพ หรือการสร้างโครงการให้ความรู้และพัฒนาทักษะ
การพัฒนาทักษะใหม่ (Reskilling) สำหรับผู้ขับขี่
แทนที่จะมองว่าผู้ขับขี่เป็นผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ควรมีการส่งเสริมให้พวกเขาสามารถปรับตัวและพัฒนา