สรรพากรออกกฎใหม่! ภาษี Youtuber-TikToker จ่ายยังไง?
ในยุคที่การสร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นอาชีพหลักของใครหลายคน คำถามที่ว่า สรรพากรออกกฎใหม่! ภาษี Youtuber-TikToker จ่ายยังไง? จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ กรมสรรพากรได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนสำหรับผู้มีรายได้จากการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ซึ่งส่งผลให้ Youtuber, TikToker และอินฟลูเอนเซอร์ทุกคนต้องมีความเข้าใจในหน้าที่การเสียภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจตามมาในอนาคต
การปรับปรุงเกณฑ์ภาษีครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และการที่ภาครัฐเล็งเห็นถึงความสำคัญของอาชีพสร้างสรรค์เหล่านี้ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ การทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ต่างๆ จึงไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังเป็นการวางแผนทางการเงินสำหรับอาชีพในระยะยาวอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ต้องรู้
- รายได้คือเงินได้พึงประเมิน: รายได้ทุกช่องทางจากการสร้างคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นค่าโฆษณา, การรีวิวสินค้า, ค่าสมาชิก (Subscription) หรือเงินบริจาค (Donation) ล้วนถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมาคำนวณเพื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษี
- เกณฑ์การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ครีเอเตอร์ที่เป็นบุคคลธรรมดาและมีสถานะโสด หากมีรายได้เกิน 60,000 บาทต่อปี หรือมีสถานะสมรสและมีรายได้รวมกันเกิน 120,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี แม้คำนวณแล้วอาจไม่ต้องเสียภาษีก็ตาม
- ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากคอนเทนต์ครีเอเตอร์มีรายได้จากการให้บริการ (เช่น การรีวิว, การเป็นพรีเซนเตอร์) เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีหน้าที่เรียกเก็บ VAT 7% เพื่อนำส่งกรมสรรพากร
- บทลงโทษตามกฎหมาย: การไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี, ยื่นล่าช้า หรือแสดงข้อมูลรายได้ไม่ครบถ้วน อาจนำไปสู่ค่าปรับ, เงินเพิ่ม และบทลงโทษอื่นๆ ตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
ทำความเข้าใจกฎหมายภาษีฉบับใหม่
การออกกฎเกณฑ์และแนวปฏิบัติสำหรับกลุ่มคอนเทนต์ครีเอเตอร์โดยเฉพาะนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความชัดเจนและเป็นธรรมในระบบภาษี เนื่องจากรูปแบบการสร้างรายได้ในยุคดิจิทัลมีความหลากหลายและแตกต่างจากอาชีพแบบดั้งเดิม กฎหมายใหม่นี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มภาระ แต่เป็นการจัดระเบียบและให้แนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้มีเงินได้กลุ่มใหม่ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่พลเมืองได้อย่างสมบูรณ์
ผู้ที่เข้าข่ายและต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้คือบุคคลทุกคนที่สร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Youtuber ที่มีรายได้จากยอดวิวและโฆษณา, TikToker ที่ได้รับของขวัญ (Gift) หรือมีผู้สนับสนุน, อินฟลูเอนเซอร์ที่รับรีวิวสินค้า หรือแม้แต่สตรีมเมอร์ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากผู้ชม การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเตรียมตัวยื่นภาษีในปี 2568 ซึ่งจะใช้ข้อมูลรายได้ที่เกิดขึ้นตลอดปี 2567 ดังนั้น การเริ่มทำความเข้าใจและจัดเก็บข้อมูลรายรับ-รายจ่ายตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
รายได้แบบไหนที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี
หัวใจสำคัญของการเสียภาษีคือการระบุให้ได้ว่ารายรับที่เข้ามานั้นถือเป็น “เงินได้” ที่ต้องนำไปคำนวณภาษีหรือไม่ สำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ รายได้อาจมาจากหลายช่องทางซึ่งล้วนต้องนำมารวมกันเพื่อยื่นภาษี
“เงินได้พึงประเมิน” คำนิยามที่ต้องเข้าใจ
เงินได้พึงประเมิน หมายถึง รายได้หรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับและสามารถคำนวณเป็นมูลค่าเงินได้ ซึ่งเป็นฐานในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับ Youtuber และ TikToker เงินได้พึงประเมินครอบคลุมถึง:
- รายได้จากโฆษณา (Ad Revenue): ส่วนแบ่งรายได้จากโฆษณาที่แสดงบนวิดีโอในแพลตฟอร์ม เช่น YouTube AdSense
- รายได้จากการสนับสนุน (Sponsorship/Branded Content): ค่าจ้างในการรีวิวสินค้าหรือบริการ หรือการนำเสนอแบรนด์ในคอนเทนต์
- รายได้จากค่าสมาชิก (Membership/Subscription): เงินที่ผู้ติดตามจ่ายเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์พิเศษ
- รายได้จากการขายสินค้า (Merchandise): กำไรจากการขายสินค้าของตนเองที่เชื่อมโยงกับช่องหรือแบรนด์ส่วนตัว
- เงินบริจาคหรือของขวัญ (Donations/Gifts): เงินหรือไอเทมเสมือนที่แปลงเป็นเงินได้ ซึ่งผู้ชมมอบให้เพื่อสนับสนุน
- รายได้จาก Affiliate Marketing: ค่าคอมชชั่นเมื่อมีผู้ซื้อสินค้าหรือบริการผ่านลิงก์ที่ครีเอเตอร์แนะนำ
การจำแนกประเภทเงินได้ตามประมวลรัษฎากร
กรมสรรพากรได้จำแนกประเภทของเงินได้พึงประเมินไว้ 8 ประเภท ซึ่งมีผลต่อวิธีการหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี สำหรับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ รายได้ส่วนใหญ่มักจะถูกจัดอยู่ใน 2 ประเภทหลัก ดังนี้
- เงินได้ประเภทที่ 8 (มาตรา 40(8)): เป็นเงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ หรือการอื่นใดนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในประเภทที่ 1-7 รายได้ส่วนใหญ่ของครีเอเตอร์ เช่น ค่าโฆษณา, ค่าสปอนเซอร์, และรายได้จาก Affiliate ถือเป็นเงินได้ประเภทนี้ ซึ่งสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้สองแบบคือ หักตามจริง (ต้องมีหลักฐานครบถ้วน) หรือหักแบบเหมาในอัตราที่กฎหมายกำหนด (เช่น 60% สำหรับบางธุรกิจบริการ)
- เงินได้ประเภทที่ 2 (มาตรา 40(2)): เป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ไม่ว่าจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว ในบางกรณี หากรายได้ของครีเอเตอร์เกิดจากการถูกว่าจ้างให้ไปร่วมงานอีเวนต์ หรือเป็นพิธีกร ที่เน้นการใช้แรงงานเป็นหลักและมีต้นทุนต่ำ อาจถูกพิจารณาเป็นเงินได้ประเภทนี้ ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
การจำแนกประเภทเงินได้ให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพราะส่งผลโดยตรงต่อจำนวนค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักออกจากรายได้ ซึ่งจะทำให้เงินได้สุทธิที่ใช้คำนวณภาษีแตกต่างกันไป
เจาะลึกวิธีคำนวณภาษีสำหรับครีเอเตอร์
ตามกฎหมายภาษีของไทย สำหรับผู้มีเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นนอกเหนือจากเงินเดือน (ประเภทที่ 1) จะต้องคำนวณภาษี 2 วิธี แล้วนำจำนวนภาษีที่คำนวณได้มาเปรียบเทียบกัน และชำระภาษีตามวิธีที่คำนวณได้สูงกว่า
วิธีที่ 1: คำนวณจากเงินได้สุทธิ
เป็นวิธีการคำนวณภาษีมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป มีขั้นตอนดังนี้:
(รายได้พึงประเมินทั้งหมด – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) = เงินได้สุทธิ
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (แบบขั้นบันได) = ภาษีที่ต้องชำระ
- รายได้พึงประเมิน: คือการรวมรายได้ทุกช่องทางที่ได้รับตลอดทั้งปีภาษี
- ค่าใช้จ่าย: สามารถเลือกหักได้ระหว่าง “หักตามจริง” (ต้องมีเอกสารหลักฐานค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้) หรือ “หักแบบเหมา” (ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดสำหรับเงินได้แต่ละประเภท)
- ค่าลดหย่อน: เป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายกำหนดให้ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, ค่าลดหย่อนบุตร, เบี้ยประกันชีวิต, กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นต้น
หลังจากได้เงินได้สุทธิแล้ว จะนำไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้า ซึ่งมีอัตราตั้งแต่ 5% ถึง 35% โดยเงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรกจะได้รับการยกเว้นภาษี
วิธีที่ 2: คำนวณแบบอัตราเหมา 0.5%
วิธีนี้เป็นการคำนวณภาษีอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีของผู้ที่มีรายได้สูงแต่มีค่าลดหย่อนจำนวนมาก โดยจะใช้ในกรณีที่ผู้เสียภาษีมีเงินได้พึงประเมิน (ที่ไม่ใช่เงินเดือน) ตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป สูตรการคำนวณคือ:
รายได้พึงประเมินทั้งหมด (ยกเว้นเงินเดือน) x 0.005 (หรือ 0.5%) = ภาษีที่ต้องชำระ
วิธีนี้จะคำนวณจากยอดรายได้ทั้งหมดโดยตรง ไม่มีการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนใดๆ ทั้งสิ้น
หลักการเปรียบเทียบและเลือกวิธีเสียภาษี
ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องคำนวณภาษีทั้งสองวิธี และยื่นชำระภาษีด้วยจำนวนเงินที่สูงกว่าเสมอ
ตัวอย่างเช่น: หากคำนวณด้วยวิธีที่ 1 ได้ภาษีที่ต้องชำระ 15,000 บาท และคำนวณด้วยวิธีที่ 2 ได้ภาษีที่ต้องชำระ 5,000 บาท ผู้เสียภาษีจะต้องชำระภาษีเป็นจำนวน 15,000 บาท แต่หากวิธีที่ 1 คำนวณได้ 4,000 บาท และวิธีที่ 2 คำนวณได้ 5,000 บาท ก็จะต้องชำระภาษี 5,000 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญ
นอกเหนือจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่มีรายได้สูงต้องให้ความสำคัญคือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax หรือ VAT) ซึ่งเป็นภาษีทางอ้อมที่เก็บจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ
ตามกฎหมาย หากครีเอเตอร์มีรายได้จากการให้บริการ (เช่น การทำวิดีโอรีวิวสินค้า, การเป็นพรีเซนเตอร์, การจัดกิจกรรม) ซึ่งเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะมีหน้าที่ต้องดำเนินการดังนี้:
- จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท
- เรียกเก็บ VAT 7%: เมื่อมีการให้บริการ จะต้องเรียกเก็บ VAT ในอัตราร้อยละ 7 เพิ่มจากค่าบริการ และระบุยอด VAT ในใบกำกับภาษี
- ออกใบกำกับภาษี: ต้องออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบให้กับผู้ว่าจ้างทุกครั้งที่มีการให้บริการ
- นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม: จัดทำรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขาย และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ) ให้แก่กรมสรรพากรเป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
การละเลยหน้าที่เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มอาจนำไปสู่เบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่สูงกว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอย่างมาก จึงเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนและจัดการอย่างรอบคอบ
ข้อควรรู้และบทลงโทษตามกฎหมาย
การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีเป็นหน้าที่สำคัญของผู้มีเงินได้ทุกคน การทำความเข้าใจหลักเกณฑ์และผลกระทบจากการไม่ปฏิบัติตาม จะช่วยให้สามารถวางแผนและดำเนินการได้อย่างถูกต้อง
หลักเกณฑ์สำคัญตามมาตรา 41
มาตรา 41 แห่งประมวลรัษฎากร ได้วางหลักการเกี่ยวกับแหล่งเงินได้ไว้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่อาจได้รับเงินจากต่างประเทศ สรุปใจความสำคัญได้ว่า:
เงินได้ที่เกิดขึ้นจากแหล่งในประเทศไทย ไม่ว่าจะจ่ายในหรือนอกประเทศ ผู้มีเงินได้จะต้องนำเงินได้นั้นมาคำนวณเพื่อเสียภาษีในประเทศไทย
ซึ่งหมายความว่า แม้ว่าบริษัทแพลตฟอร์มอย่าง YouTube (Google) หรือ TikTok จะโอนเงินมาจากต่างประเทศ แต่เนื่องจากกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ (การสร้างคอนเทนต์, การมีฐานผู้ชม) เกิดขึ้นในประเทศไทย รายได้ดังกล่าวจึงถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบจากการยื่นภาษีล่าช้าหรือไม่ถูกต้อง
หากกรมสรรพากรตรวจพบว่ามีการยื่นแบบไม่ถูกต้อง, ยื่นล่าช้า หรือจงใจหลีกเลี่ยงภาษี อาจมีบทลงโทษตามมาดังนี้:
- กรณียื่นแบบล่าช้า: มีโทษปรับทางอาญาสูงสุด 2,000 บาท และต้องชำระเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ
- กรณีชำระภาษีไม่ครบถ้วน: ต้องชำระภาษีส่วนที่ขาดไป พร้อมเบี้ยปรับ 1-2 เท่าของจำนวนภาษี และเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
- กรณีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี: อาจมีโทษทางอาญา คือจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 ถึง 200,000 บาท
สรุปและแนวทางการเตรียมตัวยื่นภาษี 2568
กฎเกณฑ์ภาษีใหม่สำหรับ Youtuber และ TikToker เป็นการยืนยันว่าอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้รับการยอมรับในระบบเศรษฐกิจและต้องอยู่ภายใต้กฎหมายภาษีเช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด เพื่อให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานและสร้างรายได้ได้อย่างยั่งยืนและไร้กังวล
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการยื่นภาษีในปี 2568 และปีต่อๆ ไป คอนเทนต์ครีเอเตอร์ควรเริ่มต้นปฏิบัติดังนี้:
- จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย: บันทึกรายได้จากทุกช่องทางอย่างละเอียดและสม่ำเสมอ พร้อมทั้งเก็บหลักฐานการรับเงินไว้ทั้งหมด
- รวบรวมเอกสารค่าใช้จ่าย: หากต้องการหักค่าใช้จ่ายตามจริง ควรเก็บใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ค่าอุปกรณ์, ค่าเดินทาง, ค่าจ้างทีมงาน ไว้ให้ครบถ้วน
- ศึกษาเรื่องค่าลดหย่อน: วางแผนการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF/RMF หรือการทำประกัน
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากรายได้มีความซับซ้อน หรือไม่มั่นใจในวิธีการคำนวณ การปรึกษานักบัญชีหรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความผิดพลาดได้
การใส่ใจและวางแผนเรื่องภาษีตั้งแต่วันนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในระยะยาว