ปฏิวัติการเก็บขยะ! กทม. นำร่อง ‘ถังขยะอัจฉริยะ AI’
- ภาพรวมของโครงการถังขยะอัจฉริยะ
- จุดเริ่มต้นสู่การจัดการขยะยุคใหม่ในกรุงเทพฯ
- เจาะลึกเทคโนโลยี: ปฏิวัติการเก็บขยะ! กทม. นำร่อง ‘ถังขยะอัจฉริยะ AI’ ทำงานอย่างไร
- เปรียบเทียบระบบจัดการขยะแบบดั้งเดิมกับระบบ AI อัจฉริยะ
- ประโยชน์และผลกระทบของโครงการต่อชาวกรุงเทพฯ และสิ่งแวดล้อม
- ก้าวต่อไปของกรุงเทพฯ สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City)
- สรุป: อนาคตการจัดการขยะของกรุงเทพฯ อยู่ในมือของเทคโนโลยีและทุกคน
กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการจัดการขยะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน การนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้
ภาพรวมของโครงการถังขยะอัจฉริยะ
- การใช้ AI ตรวจสอบการแยกขยะ: กรุงเทพมหานครร่วมมือกับบริษัทจากเดนมาร์กนำระบบ AI มาวิเคราะห์ภาพถ่ายการคัดแยกขยะของครัวเรือน เพื่อให้สิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมอย่างโปร่งใส
- ถังขยะเซ็นเซอร์ต้นแบบ: มีการพัฒนาถังขยะอัจฉริยะ (Smart Bin) ที่ติดตั้งเซ็นเซอร์วัดปริมาณขยะ น้ำหนัก อุณหภูมิ และความชื้น พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อขยะเต็ม
- เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ: เทคโนโลยีนี้ช่วยให้รถเก็บขยะทำงานตามข้อมูลจริง ลดการวิ่งเที่ยวเปล่าและแก้ปัญหาขยะล้นถังได้อย่างตรงจุด
- ข้อมูลโปร่งใสและตรวจสอบได้: ระบบเชื่อมต่อกับ GPS ทำให้ประชาชนสามารถติดตามเส้นทางรถเก็บขยะได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน
- ส่วนหนึ่งของเมืองอัจฉริยะ: โครงการนี้เป็นก้าวสำคัญในการผลักดันกรุงเทพฯ สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการบริหารจัดการเมือง
จุดเริ่มต้นสู่การจัดการขยะยุคใหม่ในกรุงเทพฯ
โครงการปฏิวัติการเก็บขยะ! กทม. นำร่อง ‘ถังขยะอัจฉริยะ AI’ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามในการนำนวัตกรรมมาปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของเมืองหลวง การจัดการขยะซึ่งเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง กำลังจะถูกยกระดับด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) โครงการนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ แต่ยังส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการขยะอย่างยั่งยืน
การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี AI และเซ็นเซอร์อัจฉริยะในระบบจัดการขยะ คือการเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบการทำงานเชิงรับ (Reactive) ที่รอให้เกิดปัญหา ไปสู่การทำงานเชิงรุก (Proactive) ที่สามารถคาดการณ์และวางแผนได้อย่างแม่นยำ
ทำไมปัญหาขยะในกรุงเทพฯ จึงต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
กรุงเทพมหานครผลิตขยะในปริมาณมหาศาลเฉลี่ยหลายพันตันต่อวัน ปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรและการขยายตัวของเมืองได้สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อระบบการจัดเก็บและกำจัดขยะแบบดั้งเดิม ปัญหาที่พบเห็นได้บ่อยครั้งคือถังขยะสาธารณะที่ล้นจนขยะตกค้าง ส่งกลิ่นเหม็น เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรค และบดบังทัศนียภาพของเมือง นอกจากนี้ การจัดเก็บขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพยังทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากรจากการที่รถเก็บขยะต้องวิ่งในเส้นทางเดิมๆ แม้ว่าขยะในบางจุดจะยังไม่เต็มก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และภาพลักษณ์ของเมือง การหาแนวทางแก้ไขที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพจึงเป็นภารกิจเร่งด่วน
เทคโนโลยี AI: คำตอบของการจัดการเมืองอย่างยั่งยืน
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในยุคปัจจุบัน ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) การเรียนรู้และตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ทำให้ AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการบริหารจัดการเมือง สำหรับการจัดการขยะ AI สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลายมิติ ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวางแผนเส้นทางการเก็บขยะให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การตรวจสอบและจำแนกประเภทขยะโดยอัตโนมัติ ไปจนถึงการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนคัดแยกขยะอย่างถูกต้องผ่านระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ การนำ AI มาใช้จึงไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน
เจาะลึกเทคโนโลยี: ปฏิวัติการเก็บขยะ! กทม. นำร่อง ‘ถังขยะอัจฉริยะ AI’ ทำงานอย่างไร
โครงการนี้ประกอบด้วยสองส่วนเทคโนโลยีหลักที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบนิเวศการจัดการขยะที่สมบูรณ์แบบ ได้แก่ ถังขยะอัจฉริยะ (Smart Bin) ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยเก็บข้อมูล ณ จุดทิ้งขยะ และระบบ AI ตรวจสอบการคัดแยกขยะ ที่ทำงานผ่านแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมของประชาชน
กลไกหลักของถังขยะ Smart Bin ต้นแบบ
ถังขยะอัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เป็นมากกว่าภาชนะรองรับขยะ แต่มันคืออุปกรณ์ IoT ที่ติดตั้งเทคโนโลยีหลากหลายเพื่อเก็บข้อมูลและสื่อสารแบบเรียลไทม์
- เซ็นเซอร์ตรวจจับอัจฉริยะ: ภายในถังขยะจะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์หลายชนิดเพื่อเก็บข้อมูลสำคัญ ได้แก่
- เซ็นเซอร์วัดระดับ (Level Sensor): ใช้คลื่นอัลตราโซนิกหรืออินฟราเรดในการวัดความสูงของขยะในถัง ทำให้ระบบทราบว่าขยะใกล้เต็มหรือยัง
- เซ็นเซอร์ชั่งน้ำหนัก (Load Cell): ติดตั้งที่ฐานของถังเพื่อวัดน้ำหนักของขยะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการประเมินประเภทขยะและความหนาแน่น
- เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้น (Temperature & Humidity Sensor): ใช้ตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายในถัง ซึ่งสามารถแจ้งเตือนความเสี่ยงการเกิดเพลิงไหม้หรือการเน่าเสียที่ผิดปกติได้
- ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ: เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจพบว่าปริมาณขยะถึงระดับที่กำหนดไว้ (เช่น 80% ของความจุ) ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังศูนย์ควบคุมกลางหรือพนักงานเก็บขยะโดยอัตโนมัติ ข้อมูลนี้จะระบุตำแหน่งของถังขยะ ทำให้สามารถวางแผนเส้นทางการจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะเข้าไปเก็บเฉพาะถังที่เต็มแล้วเท่านั้น
- การทำงานของฝาเปิด-ปิดอัตโนมัติ: ถังขยะต้นแบบบางรุ่นอาจมีระบบเซอร์โวมอเตอร์สำหรับเปิด-ปิดฝาถังอัตโนมัติเมื่อมีคนเข้ามาใกล้ เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมสุขอนามัย ลดการสัมผัสโดยตรงกับถังขยะ
บทบาทของ AI ในการตรวจสอบการคัดแยกขยะ
นอกเหนือจากฮาร์ดแวร์อย่าง Smart Bin แล้ว ส่วนของซอฟต์แวร์และปัญญาประดิษฐ์ก็เป็นหัวใจสำคัญของโครงการนี้ โดยเฉพาะในโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม : แยกขยะลดค่าธรรมเนียม” ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- ความร่วมมือกับ cBrain: กทม. ได้ร่วมมือกับบริษัท cBrain จากประเทศเดนมาร์ก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาระบบตรวจสอบภาพถ่ายการคัดแยกขยะที่มีความแม่นยำสูง
- แอปพลิเคชัน BKK WASTE PAY: ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องถ่ายรูปขยะที่คัดแยกแล้วของตนเองก่อนนำไปทิ้ง และอัปโหลดผ่านแอปพลิเคชันนี้ แอปพลิเคชันจะทำหน้าที่เป็นช่องทางสื่อสารและส่งข้อมูลระหว่างประชาชนและหน่วยงานของ กทม.
- การวิเคราะห์ภาพด้วย AI: เมื่อภาพถูกส่งเข้าระบบ AI จะทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพถ่ายโดยอัตโนมัติ เพื่อจำแนกประเภทของขยะว่าถูกคัดแยกอย่างถูกต้องตามเกณฑ์หรือไม่ โดยสามารถแยกขยะได้ 4 ประเภทหลัก คือ ขยะอินทรีย์, ขยะรีไซเคิล, ขยะทั่วไป และขยะอันตราย
- การให้สิทธิ์ลดหย่อนค่าธรรมเนียม: หาก AI ตรวจสอบแล้วว่าครัวเรือนนั้นๆ มีการคัดแยกขยะจริงและถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ระบบก็จะบันทึกข้อมูลเพื่อมอบสิทธิ์ในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการเก็บขยะ เป็นการสร้างแรงจูงใจที่เป็นรูปธรรมและโปร่งใส
- การเชื่อมโยงข้อมูล GPS: ระบบ AI นี้ยังเชื่อมต่อกับข้อมูลพิกัด GPS ของบ้านแต่ละหลังและรถเก็บขยะ ทำให้การบริหารจัดการเส้นทางเป็นไปอย่างแม่นยำและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ประชาชนยังสามารถติดตามตำแหน่งของรถเก็บขยะในพื้นที่ของตนเองได้ผ่านแอปพลิเคชันอีกด้วย
เปรียบเทียบระบบจัดการขยะแบบดั้งเดิมกับระบบ AI อัจฉริยะ
เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างอย่างชัดเจน การเปรียบเทียบระหว่างระบบการจัดการขยะแบบเดิมกับระบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี AI และ Smart Bin จะช่วยให้เข้าใจถึงคุณค่าและประโยชน์ของโครงการนี้ได้ดียิ่งขึ้น
หัวข้อการเปรียบเทียบ | ระบบจัดการขยะแบบดั้งเดิม | ระบบ Smart Bin และ AI |
---|---|---|
การวางแผนเส้นทาง | ใช้เส้นทางคงที่และตารางเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า | วางแผนเส้นทางแบบไดนามิกตามข้อมูลเรียลไทม์จากถังขยะที่เต็มแล้ว |
ประสิทธิภาพการจัดเก็บ | เกิดการวิ่งเที่ยวเปล่าบ่อยครั้ง ไปยังจุดที่ขยะยังไม่เต็ม | จัดเก็บเฉพาะถังที่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานและเวลา |
การรับรู้ข้อมูล | ไม่ทราบปริมาณขยะในถังจนกว่าจะไปถึงหน้างาน | ทราบสถานะปริมาณขยะ น้ำหนัก และข้อมูลอื่น ๆ ได้แบบเรียลไทม์ |
ปัญหาขยะล้นถัง | เกิดขึ้นบ่อยครั้งเนื่องจากไม่ทราบว่าถังเต็มเมื่อใด | ลดปัญหาได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะระบบจะแจ้งเตือนให้เข้าไปเก็บก่อนล้น |
การมีส่วนร่วมของประชาชน | มีแรงจูงใจในการคัดแยกขยะน้อยและตรวจสอบได้ยาก | สร้างแรงจูงใจผ่านการลดค่าธรรมเนียมที่ตรวจสอบได้ด้วย AI อย่างโปร่งใส |
ความโปร่งใส | การตรวจสอบการทำงานและเส้นทางทำได้จำกัด | ประชาชนสามารถติดตามรถเก็บขยะผ่าน GPS ได้ ข้อมูลโปร่งใส ตรวจสอบได้ |
การใช้ข้อมูล | อาศัยประสบการณ์และการคาดการณ์ของบุคคล | ใช้ข้อมูล (Data-Driven) ในการตัดสินใจและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ |
ประโยชน์และผลกระทบของโครงการต่อชาวกรุงเทพฯ และสิ่งแวดล้อม
การนำเทคโนโลยี AI จัดการขยะ และ Smart Bin กทม มาใช้งาน ไม่เพียงแต่เป็นการปรับปรุงกระบวนการทำงานของภาครัฐ แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างต่อทั้งประชาชนและสภาพแวดล้อมของเมือง
เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บขยะ ลดปัญหารถขยะวิ่งเที่ยวเปล่า
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ระบบเดิมที่รถขยะต้องวิ่งตามเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้สิ้นเปลืองทั้งเวลา เชื้อเพลิง และแรงงานในการเดินทางไปยังจุดที่ขยะยังไม่เต็ม แต่ด้วยระบบแจ้งเตือนจาก Smart Bin ทำให้ศูนย์ควบคุมสามารถวางแผนเส้นทางที่ดีที่สุด (Optimized Route) ในแต่ละวัน ให้รถขยะมุ่งหน้าไปยังถังที่ต้องการการจัดเก็บเท่านั้น ซึ่งช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ และทำให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในการจัดการขยะ
ความโปร่งใสเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เทคโนโลยีนี้มอบให้ การที่ประชาชนสามารถติดตามตำแหน่งรถเก็บขยะในพื้นที่ของตนเองได้ผ่านแอปพลิเคชัน ช่วยสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจในการทำงานของภาครัฐ ขณะเดียวกัน ในโครงการลดหย่อนค่าธรรมเนียม การใช้ AI มาตรวจสอบภาพถ่ายแทนการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ช่วยลดข้อกังขาและรับประกันความเท่าเทียมในการให้สิทธิ์ประโยชน์ ทำให้กระบวนการทั้งหมดโปร่งใสและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย
ส่งเสริมการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางอย่างเป็นรูปธรรม
ปัญหาการจัดการขยะจะไม่มีทางแก้ไขได้อย่างยั่งยืนหากไม่เริ่มต้นที่ “การคัดแยกขยะจากต้นทาง” โครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม” ที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจ ถือเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใส่ใจและลงมือคัดแยกขยะอย่างจริงจัง เมื่อการคัดแยกขยะกลายเป็นเรื่องที่มีผลตอบแทนที่จับต้องได้ ย่อมเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกระบวนการรีไซเคิล ลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
ยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมในเมือง
ผลลัพธ์สุดท้ายที่โครงการนี้มุ่งหวังคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ เมืองที่สะอาดปราศจากปัญหาขยะล้นถังและกลิ่นไม่พึงประสงค์ย่อมเป็นเมืองที่น่าอยู่มากขึ้น การลดมลพิษทางอากาศจากการเดินรถที่มีประสิทธิภาพ การส่งเสริมสุขอนามัยที่ดี และการสร้างทัศนียภาพที่สวยงาม ล้วนเป็นผลพลอยได้จากการจัดการขยะที่ดีขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่สภาพแวดล้อมเมืองที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป
ก้าวต่อไปของกรุงเทพฯ สู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City)
โครงการถังขยะอัจฉริยะ AI ไม่ได้เป็นเพียงโครงการที่โดดเดี่ยว แต่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในภาพใหญ่ของการพัฒนากรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกมิติ
ความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
แนวคิดเมืองอัจฉริยะมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของบริการในเมือง ซึ่งโครงการนี้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักหลายประการ เช่น Smart Environment (สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ) ผ่านการจัดการขยะและลดมลพิษ, Smart Governance (การปกครองอัจฉริยะ) ผ่านการสร้างความโปร่งใสและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน, และ Smart Living (การดำรงชีวิตอัจฉริยะ) ผ่านการยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขอนามัยของคนในเมือง การประสบความสำเร็จของโครงการนำร่องนี้จะเป็นต้นแบบสำคัญสำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในบริการสาธารณะด้านอื่นๆ ต่อไป
ความท้าทายและโอกาสในอนาคต
แม้ว่าเทคโนโลยีจะมีศักยภาพสูง แต่การนำไปใช้งานจริงในวงกว้างยังคงมีความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณในการติดตั้งและบำรุงรักษาอุปกรณ์ Smart Bin ทั่วทั้งกรุงเทพฯ, การสร้างความรู้ความเข้าใจและการยอมรับจากประชาชนให้ใช้งานแอปพลิเคชันอย่างแพร่หลาย, และความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ก็มาพร้อมกับโอกาสในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ, การพัฒนาทักษะดิจิทัลของประชาชน, และการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เกี่ยวกับขยะในเมือง ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอดเพื่อวางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต
สรุป: อนาคตการจัดการขยะของกรุงเทพฯ อยู่ในมือของเทคโนโลยีและทุกคน
โครงการนำร่อง ‘ถังขยะอัจฉริยะ AI’ ของกรุงเทพมหานคร คือจุดเปลี่ยนที่แสดงให้เห็นว่าปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขได้ยากอย่างปัญหาขยะ สามารถบริหารจัดการให้ดีขึ้นได้ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างสร้างสรรค์ การผสมผสานระหว่างเซ็นเซอร์ในถังขยะ, ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล, และแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อกับประชาชน ได้สร้างระบบการจัดการขยะที่ชาญฉลาด มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และส่งเสริมการมีส่วนร่วม
ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการยอมรับและความร่วมมือจากประชาชนทุกคน การเริ่มต้นคัดแยกขยะจากที่บ้านและการใช้เครื่องมือที่ภาครัฐจัดหาให้ คือพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่สะอาด น่าอยู่ และก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะได้อย่างเต็มภาคภูมิ การปฏิวัติการจัดการขยะครั้งนี้จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่าย เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับเมืองหลวงของประเทศไทย