เทคโนโลยีบล็อกเชนคืออะไร
เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นนวัตกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัล โดยพื้นฐานแล้ว บล็อกเชนคือบัญชีแยกประเภทดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger) ที่มีความปลอดภัยสูงและไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ เทคโนโลยีนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะโครงสร้างพื้นฐานของสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ แต่ศักยภาพของมันขยายไปไกลกว่านั้นมาก
ภาพรวมของเทคโนโลยีบล็อกเชน
- การกระจายศูนย์ (Decentralization): ข้อมูลไม่ได้ถูกเก็บไว้ที่ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว แต่จะถูกคัดลอกและกระจายไปยังคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเครือข่าย ทำให้ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งสามารถควบคุมได้
- ความโปร่งใส (Transparency): ธุรกรรมทั้งหมดที่บันทึกบนบล็อกเชนสามารถตรวจสอบได้โดยผู้เข้าร่วมในเครือข่าย แต่ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวผ่านการเข้ารหัส
- ความปลอดภัยและการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (Security & Immutability): ข้อมูลที่ถูกบันทึกในบล็อกแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือลบได้ เนื่องจากแต่ละบล็อกเชื่อมโยงกันด้วยรหัสวิทยา (Cryptography) การเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อบล็อกถัดไปทั้งหมด ทำให้การปลอมแปลงทำได้ยากมาก
- การทำงานโดยไม่ต้องมีตัวกลาง (Disintermediation): บล็อกเชนช่วยให้การทำธุรกรรมระหว่างบุคคลเกิดขึ้นได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคารหรือหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีบล็อกเชนคืออะไร หากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย บล็อกเชนเปรียบเสมือนสมุดบันทึกดิจิทัลที่ทุกคนในเครือข่ายมีสำเนาของตัวเอง เมื่อมีธุรกรรมใหม่เกิดขึ้น ธุรกรรมนั้นจะถูกตรวจสอบและเพิ่มเข้าไปใน “บล็อก” ข้อมูลใหม่ จากนั้นบล็อกนี้จะถูกนำไปต่อท้าย “ห่วงโซ่” ของบล็อกก่อนหน้าและกระจายสำเนาที่อัปเดตแล้วไปยังทุกคนในเครือข่าย ด้วยสถาปัตยกรรมแบบกระจายศูนย์นี้ ทำให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ ปลอดภัย และโปร่งใสสูง เนื่องจากทุกคนมีข้อมูลชุดเดียวกัน และการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะต้องได้รับการยอมรับจากเสียงส่วนใหญ่ของเครือข่ายเสียก่อน
บทความนี้จะสำรวจแนวคิดพื้นฐานของเทคโนโลยีบล็อกเชน ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา หลักการทำงาน ประเภทต่างๆ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้จริงในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย รวมถึงความท้าทายและแนวโน้มในอนาคตของเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไป
ความสำคัญและประวัติความเป็นมา
ทำไมบล็อกเชนจึงมีความสำคัญ
ความสำคัญของเทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่ที่ความสามารถในการสร้าง “ความไว้วางใจ” ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรือไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในระบบแบบดั้งเดิม เรามักพึ่งพาตัวกลางที่น่าเชื่อถือ เช่น ธนาคาร รัฐบาล หรือบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม อย่างไรก็ตาม ระบบรวมศูนย์เหล่านี้มีจุดอ่อนหลายประการ เช่น ความเสี่ยงที่ข้อมูลจะถูกโจมตีหรือควบคุมโดยหน่วยงานเดียว การขาดความโปร่งใส และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่สูง
บล็อกเชนเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) ซึ่งหมายความว่าไม่มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นเจ้าของหรือควบคุมข้อมูลแต่เพียงผู้เดียว แต่ข้อมูลจะถูกตรวจสอบและดูแลร่วมกันโดยผู้เข้าร่วมทั้งหมดในเครือข่าย สิ่งนี้สร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และทนทานต่อการถูกแทรกแซงหรือปลอมแปลงข้อมูลได้อย่างมหาศาล ศักยภาพนี้ทำให้บล็อกเชนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ตั้งแต่การสร้างระบบการเงินที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้มากขึ้น ไปจนถึงการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส หรือแม้กระทั่งการสร้างระบบการเลือกตั้งที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ
จุดกำเนิดและวิวัฒนาการ
แนวคิดพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชน เช่น การเข้ารหัสและโครงสร้างข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน มีมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีบล็อกเชนที่เป็นรูปธรรมและเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2008 พร้อมกับการเผยแพร่เอกสารไวท์เปเปอร์ของบิตคอยน์ในชื่อ “Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System” โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” (Satoshi Nakamoto)
เอกสารดังกล่าวได้นำเสนอระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ที่ทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชน ทำให้สามารถส่งผ่านมูลค่าดิจิทัลได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินเป็นตัวกลาง ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติแนวคิดด้านการเงินดิจิทัล บิตคอยน์จึงกลายเป็นแอปพลิเคชันแรกที่ประสบความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกได้รู้จักกับศักยภาพของเทคโนโลยีนี้
หลังจากความสำเร็จของบิตคอยน์ บล็อกเชนได้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ในปี 2015 แพลตฟอร์ม Ethereum ได้ถือกำเนิดขึ้นและนำเสนอแนวคิด “สัญญาอัจฉริยะ” (Smart Contracts) ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้โดยอัตโนมัติบนบล็อกเชน การมาถึงของ Ethereum ได้ขยายขีดความสามารถของบล็อกเชนจากการเป็นเพียงระบบบันทึกธุรกรรมทางการเงิน ไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps) ที่ซับซ้อนได้หลากหลายประเภท
หลักการทำงานและองค์ประกอบหลัก
เพื่อให้เข้าใจว่าบล็อกเชนทำงานอย่างไร จำเป็นต้องทำความเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานที่ประกอบกันขึ้นเป็นเทคโนโลยีนี้ ซึ่งได้แก่ บล็อก, ห่วงโซ่, การกระจายศูนย์ และกลไกฉันทามติ
โครงสร้างของบล็อก
บล็อก (Block) คือหน่วยพื้นฐานของบล็อกเชน เปรียบเสมือนหน้าหนึ่งในสมุดบัญชีดิจิทัล แต่ละบล็อกประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน:
- ข้อมูล (Data): ข้อมูลที่ถูกบันทึกในบล็อกจะแตกต่างกันไปตามประเภทของบล็อกเชน เช่น ในบล็อกเชนของบิตคอยน์ ข้อมูลนี้คือรายละเอียดของธุรกรรมทางการเงิน เช่น ผู้ส่ง ผู้รับ และจำนวนเงิน
- แฮช (Hash): แฮชคือลายนิ้วมือดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกันของบล็อกนั้นๆ มันถูกสร้างขึ้นโดยการนำข้อมูลทั้งหมดในบล็อกมาผ่านฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกแม้เพียงเล็กน้อย ค่าแฮชก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
- แฮชของบล็อกก่อนหน้า (Previous Hash): นอกจากแฮชของตัวเองแล้ว แต่ละบล็อกยังเก็บค่าแฮชของบล็อกที่อยู่ก่อนหน้ามันด้วย สิ่งนี้คือสิ่งที่สร้างการเชื่อมโยงเป็น “ห่วงโซ่”
กลไกการทำงานของห่วงโซ่
การที่แต่ละบล็อกเก็บค่าแฮชของบล็อกก่อนหน้า ทำให้เกิดการเชื่อมโยงกันเป็นลำดับอย่างเหนียวแน่น หากมีผู้ไม่หวังดีพยายามเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกใดบล็อกหนึ่ง (เช่น บล็อกที่ 50) ค่าแฮชของบล็อกนั้นก็จะเปลี่ยนไปทันที และเนื่องจากบล็อกถัดไป (บล็อกที่ 51) เก็บค่าแฮชเดิมของบล็อกที่ 50 ไว้ การเชื่อมโยงระหว่างบล็อกที่ 50 และ 51 ก็จะขาดออกจากกัน ทำให้เครือข่ายสามารถตรวจจับการปลอมแปลงได้ทันที ดังนั้น การจะปลอมแปลงข้อมูลได้สำเร็จ ผู้ไม่หวังดีจะต้องคำนวณค่าแฮชใหม่ทั้งหมดตั้งแต่บล็อกที่ถูกแก้ไขไปจนถึงบล็อกล่าสุด ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในเครือข่ายขนาดใหญ่
“บล็อกเชนคือเทคโนโลยีที่สร้างความน่าเชื่อถือผ่านการกระจายอำนาจและการเข้ารหัสทางคณิตศาสตร์ แทนที่จะอาศัยความไว้วางใจในสถาบันที่เป็นตัวกลาง”
แนวคิดเรื่องการกระจายศูนย์ (Decentralization)
แทนที่จะเก็บข้อมูลไว้ที่เซิร์ฟเวอร์กลางเพียงแห่งเดียว บล็อกเชนใช้เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P) ที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง (เรียกว่า “โหนด”) ในเครือข่ายจะเก็บสำเนาของบัญชีแยกประเภททั้งหมดไว้ เมื่อมีบล็อกใหม่ถูกสร้างขึ้น มันจะถูกส่งไปยังทุกโหนดในเครือข่ายเพื่อทำการตรวจสอบและเพิ่มเข้าไปในสำเนาของตนเอง การกระจายศูนย์นี้ทำให้ระบบมีความทนทานสูง เพราะแม้ว่าโหนดบางส่วนจะล่มหรือถูกโจมตี เครือข่ายโดยรวมก็ยังคงทำงานต่อไปได้ นอกจากนี้ยังป้องกันการเซ็นเซอร์หรือการควบคุมจากหน่วยงานกลางอีกด้วย
กลไกฉันทามติ (Consensus Mechanism)
เพื่อให้แน่ใจว่าทุกโหนดในเครือข่ายมีข้อมูลชุดเดียวกันและเห็นพ้องต้องกันว่าธุรกรรมใดถูกต้องและควรถูกเพิ่มเข้าไปในบล็อกเชน เครือข่ายจำเป็นต้องมี “กลไกฉันทามติ” ซึ่งเป็นชุดของกฎเกณฑ์ที่โหนดใช้ในการตัดสินใจร่วมกัน กลไกที่รู้จักกันดีที่สุดคือ:
- Proof of Work (PoW): เป็นกลไกที่ใช้ในบิตคอยน์ โหนดที่เรียกว่า “นักขุด” (Miners) จะต้องแข่งขันกันแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน ผู้ที่แก้ได้ก่อนจะได้สิทธิ์ในการสร้างบล็อกใหม่และรับรางวัลเป็นสกุลเงินดิจิทัล กระบวนการนี้ต้องใช้พลังในการประมวลผลสูงมาก ซึ่งทำให้การโจมตีเครือข่ายมีต้นทุนที่สูงตามไปด้วย
- Proof of Stake (PoS): เป็นทางเลือกที่ประหยัดพลังงานกว่า PoW แทนที่จะใช้พลังการประมวลผล ผู้สร้างบล็อกจะถูกเลือกโดยพิจารณาจากจำนวนเหรียญที่พวกเขามีและ “เดิมพัน” (Stake) ไว้ในระบบ ยิ่งเดิมพันมากเท่าไร โอกาสที่จะได้รับเลือกให้สร้างบล็อกใหม่ก็ยิ่งสูงขึ้น
ประเภทของเครือข่ายบล็อกเชน
เครือข่ายบล็อกเชนสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทหลักๆ ตามระดับการเข้าถึงและการควบคุม ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป เหมาะสมกับการใช้งานคนละรูปแบบ
บล็อกเชนสาธารณะ (Public Blockchain)
นี่คือรูปแบบของบล็อกเชนที่ไม่มีข้อจำกัดในการเข้าถึง ใครๆ ก็สามารถเข้าร่วมเครือข่าย อ่านข้อมูลธุรกรรม หรือมีส่วนร่วมในกระบวนการฉันทามติได้ เป็นรูปแบบที่มีการกระจายศูนย์อย่างแท้จริงและทนทานต่อการเซ็นเซอร์สูงที่สุด ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดคือ Bitcoin และ Ethereum
บล็อกเชนส่วนตัว (Private Blockchain)
บล็อกเชนประเภทนี้เป็นเครือข่ายแบบปิดที่ถูกควบคุมโดยองค์กรเดียว การเข้าร่วมและการตรวจสอบธุรกรรมจะจำกัดอยู่เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น แม้ว่าจะมีการกระจายศูนย์น้อยกว่า แต่ก็ให้ความเร็วในการทำธุรกรรมที่สูงกว่าและควบคุมความเป็นส่วนตัวของข้อมูลได้ดีกว่า เหมาะสำหรับใช้ภายในองค์กรเพื่อปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ
บล็อกเชนแบบกลุ่ม (Consortium Blockchain)
เป็นรูปแบบลูกผสมระหว่าง Public และ Private โดยเครือข่ายจะถูกควบคุมโดยกลุ่มขององค์กรที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แทนที่จะเป็นองค์กรเดียว การตัดสินใจจะทำร่วมกันในกลุ่ม ซึ่งให้ประโยชน์ทั้งในด้านประสิทธิภาพของเครือข่ายส่วนตัวและความปลอดภัยจากการกระจายอำนาจในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับความร่วมมือระหว่างองค์กรในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น กลุ่มธนาคารที่ใช้บล็อกเชนร่วมกันในการชำระเงินข้ามพรมแดน
คุณสมบัติ | Public Blockchain | Private Blockchain | Consortium Blockchain |
---|---|---|---|
การเข้าถึง | เปิดสำหรับทุกคน | จำกัดเฉพาะผู้ได้รับอนุญาต | จำกัดเฉพาะกลุ่มองค์กรที่กำหนด |
ระดับการกระจายศูนย์ | สูงมาก | ต่ำ (รวมศูนย์) | ปานกลาง |
ความเร็วธุรกรรม | ช้า | เร็วมาก | เร็ว |
ความเป็นส่วนตัว | ต่ำ (ธุรกรรมโปร่งใส) | สูง | สูง |
ตัวอย่างการใช้งาน | สกุลเงินดิจิทัล (Bitcoin) | การจัดการข้อมูลภายในองค์กร | การจัดการห่วงโซ่อุปทาน, การชำระเงินระหว่างธนาคาร |
การประยุกต์ใช้บล็อกเชนในอุตสาหกรรมต่างๆ
ด้วยคุณสมบัติด้านความปลอดภัย ความโปร่งใส และการทำงานโดยไม่มีตัวกลาง ทำให้เทคโนโลยีบล็อกเชนมีศักยภาพในการปฏิวัติอุตสาหกรรมจำนวนมากนอกเหนือไปจากแวดวงการเงิน
ภาคการเงินและสกุลเงินดิจิทัล
นี่คือกรณีการใช้งานที่ชัดเจนและเป็นที่รู้จักมากที่สุด บล็อกเชนเป็นรากฐานของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมด เช่น Bitcoin และ Ethereum ซึ่งช่วยให้สามารถโอนมูลค่าข้ามพรมแดนได้อย่างรวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่องการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ที่สร้างบริการทางการเงินแบบดั้งเดิม เช่น การกู้ยืม การค้ำประกัน และการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์บนบล็อกเชน ทำให้เข้าถึงได้สำหรับทุกคนโดยไม่ต้องผ่านธนาคาร
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน
ในห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน การติดตามที่มาและเส้นทางของสินค้าเป็นเรื่องยากและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย บล็อกเชนสามารถสร้างบันทึกที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ของสินค้าตั้งแต่แหล่งผลิตจนถึงผู้บริโภค ทุกขั้นตอนของกระบวนการ เช่น การเก็บเกี่ยว การขนส่ง และการจำหน่าย สามารถบันทึกลงบนบล็อกเชนได้ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดการปลอมแปลงสินค้า และช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบที่มาของผลิตภัณฑ์ที่ตนซื้อได้
การดูแลสุขภาพ
บล็อกเชนสามารถใช้ในการจัดการเวชระเบียนของผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย ผู้ป่วยสามารถเป็นเจ้าของและควบคุมข้อมูลสุขภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ และสามารถให้สิทธิ์การเข้าถึงแก่แพทย์หรือโรงพยาบาลต่างๆ ได้ตามต้องการ ข้อมูลที่ถูกบันทึกจะไม่สามารถแก้ไขได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งช่วยป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลและเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา
ศิลปิน นักเขียน หรือนักดนตรี สามารถใช้บล็อกเชนเพื่อบันทึกหลักฐานการเป็นเจ้าของผลงานของตนเองได้ เมื่อผลงานถูกสร้างขึ้น สามารถสร้างบันทึกดิจิทัลพร้อมประทับเวลา (Timestamp) บนบล็อกเชน ซึ่งทำหน้าที่เป็นหลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้งได้ว่าใครคือผู้สร้างและสร้างขึ้นเมื่อใด นอกจากนี้ เทคโนโลยีสัญญาอัจฉริยะยังสามารถใช้ในการจัดการลิขสิทธิ์และจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับผู้สร้างโดยอัตโนมัติเมื่อผลงานของพวกเขาถูกนำไปใช้
ความเสี่ยงและความท้าทายของเทคโนโลยีบล็อกเชน
แม้ว่าบล็อกเชนจะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่และต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:
- ความสามารถในการขยายขนาด (Scalability): เครือข่ายบล็อกเชนสาธารณะอย่างบิตคอยน์สามารถประมวลผลธุรกรรมได้ในจำนวนจำกัดต่อวินาที ซึ่งช้ากว่าระบบการชำระเงินแบบรวมศูนย์อย่าง Visa อย่างมาก การปรับปรุงความเร็วและปริมาณการทำธุรกรรมเป็นความท้าทายสำคัญในการนำไปใช้งานในวงกว้าง
- ความซับซ้อนทางเทคนิค: การทำความเข้าใจและการพัฒนาบนเทคโนโลยีบล็อกเชนยังคงมีความซับซ้อนและต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการยอมรับและการนำไปใช้โดยทั่วไป
- กฎระเบียบที่ไม่แน่นอน: สถานะทางกฎหมายของบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงไม่ชัดเจนในหลายประเทศ รัฐบาลทั่วโลกกำลังพยายามสร้างกรอบกฎหมายเพื่อกำกับดูแลเทคโนโลยีนี้ ซึ่งความไม่แน่นอนนี้อาจสร้างความเสี่ยงให้กับธุรกิจและนักลงทุน
- การใช้พลังงาน: กลไกฉันทามติแบบ Proof of Work ที่ใช้ในบล็อกเชนขนาดใหญ่ เช่น บิตคอยน์ ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ชุมชนกำลังพัฒนาและเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น เช่น Proof of Stake
อนาคตของบล็อกเชน
เทคโนโลยีบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา คล้ายกับอินเทอร์เน็ตในยุค 90 แม้จะยังมีความท้าทายอยู่มาก แต่ศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมนั้นมีอยู่มหาศาล ในอนาคต เราอาจได้เห็นการทำงานร่วมกันระหว่างบล็อกเชนต่างๆ (Interoperability) ซึ่งจะทำให้การถ่ายโอนข้อมูลและมูลค่าระหว่างเครือข่ายเป็นไปอย่างราบรื่น การผสมผสานกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) จะยิ่งเปิดโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เรายังคาดไม่ถึง
โดยสรุป เทคโนโลยีบล็อก