Shopping cart






ทนายมีหนาว! AI ‘ทนายทิพย์’ อ่านสัญญา-ร่างฟ้อง


ทนายมีหนาว! AI ‘ทนายทิพย์’ อ่านสัญญา-ร่างฟ้อง

สารบัญ

การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้สร้างแรงกระเพื่อมในหลากหลายวงการ รวมถึงวงการกฎหมายที่ดูเหมือนจะยึดโยงกับขนบธรรมเนียมและกระบวนการแบบดั้งเดิมมาอย่างยาวนาน ปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดในอนาคตอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือที่เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างชัดเจน และประเด็นที่ว่า ทนายมีหนาว! AI ‘ทนายทิพย์’ อ่านสัญญา-ร่างฟ้อง ก็ได้จุดประกายการถกเถียงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิชาชีพกฎหมายของไทย

  • ปัญญาประดิษฐ์ด้านกฎหมาย หรือ LegalTech AI สามารถวิเคราะห์เอกสารทางกฎหมาย เช่น สัญญา และช่วยร่างคำฟ้องเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  • เทคโนโลยี AI ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของนักกฎหมายและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการ SME เข้าถึงคำปรึกษาทางกฎหมายเบื้องต้นได้ง่ายขึ้น
  • แม้ AI จะมีความสามารถสูงในการประมวลผลข้อมูล แต่ยังไม่สามารถแทนที่ทนายความมนุษย์ในด้านการใช้วิจารณญาณเชิงลึก การให้คำปรึกษาด้านจริยธรรม และการทำหน้าที่ว่าความในชั้นศาลได้
  • นักกฎหมายในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องปรับตัวและเรียนรู้ที่จะใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยในการทำงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและส่งมอบบริการที่ดีขึ้น

บทบาทใหม่ของเทคโนโลยีในกระบวนการยุติธรรม

ในยุคที่ข้อมูลคือสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด การปฏิวัติทางดิจิทัลได้ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน วงการกฎหมายซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การจัดการและตีความข้อมูลจำนวนมหาศาลก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีด้านกฎหมาย หรือ LegalTech กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของการประกอบวิชาชีพนี้ไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ทนายความต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันในการค้นคว้าข้อมูล 판례 (คำพิพากษาศาลฎีกา) หรือตรวจสอบรายละเอียดที่ซับซ้อนในสัญญาที่มีความยาวหลายสิบหน้า วันนี้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถเข้ามาช่วยลดระยะเวลาดังกล่าวลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ปรากฏการณ์ “ทนายมีหนาว! AI ‘ทนายทิพย์’ อ่านสัญญา-ร่างฟ้อง” สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าดังกล่าวในบริบทของประเทศไทย โดยสภาทนายความได้ร่วมมือกับบริษัทด้าน LegalTech เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่มุ่งหวังจะลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และประชาชนทั่วไปที่อาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณในการปรึกษาทนายความ การพัฒนานี้จึงไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของวงการเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในวิชาชีพกฎหมายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

AI กฎหมายคืออะไรและทำงานอย่างไร

เพื่อทำความเข้าใจถึงศักยภาพและข้อจำกัดของ AI ในงานกฎหมาย จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจนิยามและหลักการทำงานพื้นฐานของเทคโนโลยีนี้เสียก่อน AI กฎหมายไม่ใช่หุ่นยนต์ที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ดังที่ปรากฏในภาพยนตร์ แต่เป็นชุดของอัลกอริทึมและแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อทำงานเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย

นิยามของ AI ในบริบททางกฎหมาย

AI กฎหมาย (Legal AI) หมายถึง ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกออกแบบและฝึกฝนให้มีความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing – NLP) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อทำความเข้าใจ วิเคราะห์ และสร้างเอกสารทางกฎหมาย ระบบเหล่านี้สามารถทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และอาศัยการตรวจสอบข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง ตัวอย่างที่โดดเด่นในระดับสากล เช่น ROSS Intelligence ซึ่งเป็น AI ที่สามารถวิเคราะห์คำพิพากษาและข้อกฎหมายเพื่อช่วยทนายความในการค้นคว้าข้อมูล หรือ DoNotPay ที่เป็นแชทบอทซึ่งช่วยผู้ใช้งานในการจัดการข้อพิพาทเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือยื่นเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ สำหรับ ‘ทนายทิพย์ AI’ ในประเทศไทย ก็จัดอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีนี้ โดยมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์สัญญาและช่วยร่างเอกสารกฎหมายเบื้องต้นสำหรับบริบทของกฎหมายไทยโดยเฉพาะ

กลไกการทำงานเบื้องหลังความอัจฉริยะ

หัวใจการทำงานของ AI กฎหมายอยู่ที่ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และอัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่อง กระบวนการทำงานสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ได้ดังนี้:

  1. การป้อนข้อมูล (Data Input): ระบบจะถูกป้อนข้อมูลด้วยเอกสารทางกฎหมายจำนวนมหาศาล เช่น ตัวบทกฎหมาย คำพิพากษา สัญญาประเภทต่าง ๆ คำฟ้อง และเอกสารทางวิชาการ เพื่อให้ AI เรียนรู้รูปแบบ ภาษา และโครงสร้างเฉพาะของวงการกฎหมาย
  2. การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP): เมื่อผู้ใช้งานอัปโหลดสัญญาหรือป้อนคำสั่ง AI จะใช้เทคโนโลยี NLP เพื่อ “อ่าน” และ “ทำความเข้าใจ” เนื้อหาในเอกสารนั้น ๆ โดยสามารถแยกแยะองค์ประกอบสำคัญ เช่น ชื่อคู่สัญญา วัตถุประสงค์ของสัญญา ข้อตกลง เงื่อนไข และข้อความที่อาจมีความเสี่ยง
  3. การวิเคราะห์และเปรียบเทียบ (Analysis and Comparison): จากนั้น AI จะนำข้อมูลที่สกัดได้ไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อระบุว่าข้อสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ มีส่วนใดที่คลุมเครือ หรือขัดต่อข้อกฎหมายหรือไม่
  4. การสร้างผลลัพธ์ (Output Generation): สุดท้าย ระบบจะสร้างผลลัพธ์ในรูปแบบที่ผู้ใช้งานเข้าใจง่าย เช่น รายงานสรุปจุดที่น่ากังวลในสัญญา หรือร่างเอกสารทางกฎหมายเบื้องต้นตามคำสั่งที่ได้รับ โดยอิงจากรูปแบบที่ได้เรียนรู้มา

กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้ AI กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับงานด้านเอกสารกฎหมาย

ประโยชน์และศักยภาพของ AI ‘ทนายทิพย์’ ในวงการกฎหมายไทย

การนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในงานกฎหมายไม่ได้เป็นเพียงการสร้างความแปลกใหม่ทางเทคโนโลยี แต่ยังก่อให้เกิดประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมในหลายมิติ ทั้งต่อตัวผู้ประกอบวิชาชีพและต่อสังคมโดยรวม

การเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำ

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน AI สามารถลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำซ้อน (Repetitive Tasks) ของบุคลากรทางกฎหมายได้อย่างมหาศาล การตรวจสอบสัญญาที่มีความยาวหลายร้อยหน้าเพื่อหาข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการค้นคว้าคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับคดีที่คล้ายคลึงกันในอดีต ซึ่งเดิมอาจต้องใช้เวลาหลายวัน สามารถสำเร็จได้ในเวลาไม่กี่นาทีด้วยความช่วยเหลือของ AI นอกจากนี้ การทำงานของ AI ยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) ที่อาจเกิดขึ้นจากความเหนื่อยล้าหรือการมองข้ามรายละเอียดเล็กน้อย ส่งผลให้งานเอกสารมีความแม่นยำและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกฎหมาย

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการพัฒนา ‘ทนายทิพย์ AI’ คือการทำให้บริการทางกฎหมายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่ม SME และประชาชนทั่วไป

ในอดีต ค่าใช้จ่ายในการปรึกษาทนายความเพื่อร่างหรือตรวจสอบสัญญาอาจเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย แพลตฟอร์ม AI สามารถให้บริการเบื้องต้นในราคาที่ย่อมเยาหรืออาจไม่มีค่าใช้จ่าย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบสัญญาทางธุรกิจเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงก่อนที่จะลงนามในข้อตกลงสำคัญ สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยปกป้องสิทธิ์ของพวกเขา แต่ยังช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน

สำหรับแพลตฟอร์มอย่าง ‘ทนายทิพย์ AI’ และ LegalTech อื่น ๆ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานจริงได้หลากหลายรูปแบบ เช่น:

  • วิเคราะห์สัญญา: ผู้ใช้งานสามารถอัปโหลดไฟล์สัญญาเช่า สัญญาจ้างงาน หรือสัญญาซื้อขาย เพื่อให้ AI ตรวจสอบหาข้อความที่เป็นโทษหรือไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งให้คำแนะนำเบื้องต้น
  • ร่างเอกสารกฎหมายพื้นฐาน: ระบบสามารถช่วยร่างเอกสารที่ไม่ซับซ้อน เช่น หนังสือทวงถามหนี้ หนังสือมอบอำนาจ หรือสัญญามาตรฐานบางประเภท โดยผู้ใช้งานเพียงแค่กรอกข้อมูลที่จำเป็น
  • ให้คำปรึกษาเบื้องต้น: ผ่านระบบแชทบอท AI สามารถตอบคำถามทางกฎหมายทั่วไปที่พบบ่อย ซึ่งช่วยให้ประชาชนได้รับข้อมูลเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของตนเอง ก่อนตัดสินใจปรึกษาทนายความเพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

ข้อจำกัดและความท้าทายที่สำคัญ

ข้อจำกัดและความท้าทายที่สำคัญ

แม้ว่า AI จะมีศักยภาพที่น่าทึ่ง แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดที่สำคัญหลายประการ ซึ่งทำให้เทคโนโลยีนี้ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่บทบาทของทนายความมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ การทำความเข้าใจข้อจำกัดเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อที่จะใช้งาน AI ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย

การขาดวิจารณญาณและมิติด้านจริยธรรม

ข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดของ AI คือการขาดความสามารถในการใช้วิจารณญาณ (Judgment) และความเข้าใจในมิติทางจริยธรรมและศีลธรรม การประกอบวิชาชีพทนายความไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตีความตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการให้คำแนะนำแก่ลูกความโดยพิจารณาจากบริบททางสังคม อารมณ์ความรู้สึก และผลกระทบในระยะยาว AI สามารถบอกได้ว่าข้อสัญญาใดผิดกฎหมาย แต่ไม่สามารถให้คำแนะนำได้ว่าการยอมความในคดีนี้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสภาพจิตใจของลูกความหรือไม่ หรือการดำเนินคดีต่อไปจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและครอบครัวของลูกความอย่างไร มิติความเป็นมนุษย์เหล่านี้คือสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทำความเข้าใจหรือลอกเลียนแบบได้

ข้อจำกัดทางกฎหมาย: การว่าความในศาล

ตามกฎหมายและข้อบังคับในปัจจุบัน ผู้ที่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนว่าความในชั้นศาลได้จะต้องเป็นทนายความที่มีใบอนุญาตเท่านั้น AI ไม่สามารถซักค้านพยาน นำเสนอพยานหลักฐาน หรือแถลงการณ์ต่อหน้าผู้พิพากษาได้ หน้าที่ในกระบวนพิจารณาคดีในศาลยังคงเป็นขอบเขตงานที่สงวนไว้สำหรับมนุษย์โดยเฉพาะ เนื่องจากต้องอาศัยทักษะการสื่อสาร การเจรจาต่อรอง และการปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของระบบอัตโนมัติ

การรับมือกับคดีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

AI ทำงานโดยอาศัยข้อมูลในอดีตที่ถูกป้อนเข้าไป ดังนั้น ระบบจึงอาจประสบปัญหาในการจัดการกับคดีความหรือสถานการณ์ทางกฎหมายรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีข้อมูลหรือคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานมาก่อน ในกรณีที่ต้องอาศัยการตีความกฎหมายเพื่อปรับใช้กับเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือปรากฏการณ์ทางสังคมที่ไม่เคยเกิดขึ้น AI จะขาดความสามารถในการสร้างสรรค์แนวทางการต่อสู้คดีหรือให้คำแนะนำที่เหมาะสม ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์ของทนายความมนุษย์จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง

เปรียบเทียบ: ทนายความมนุษย์ ปะทะ AI กฎหมาย

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและบทบาทที่เกื้อหนุนกันระหว่างทนายความมนุษย์และ AI กฎหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเปรียบเทียบความสามารถในด้านต่าง ๆ ได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างทนายความมนุษย์และ AI กฎหมาย
คุณสมบัติ ทนายความมนุษย์ AI กฎหมาย (‘ทนายทิพย์’)
ความเร็วในการวิเคราะห์เอกสาร ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและประสบการณ์ อาจใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวัน สูงมาก สามารถวิเคราะห์เอกสารหลายร้อยหน้าได้ในไม่กี่นาที
ความแม่นยำในงานซ้ำซ้อน อาจเกิดข้อผิดพลาดได้จากความเหนื่อยล้า (Human Error) มีความแม่นยำสูงมากในการตรวจสอบข้อมูลตามรูปแบบที่กำหนด
การใช้วิจารณญาณและจริยธรรม เป็นจุดแข็งสำคัญ สามารถให้คำแนะนำโดยพิจารณาจากบริบทและศีลธรรม ไม่มีความสามารถด้านนี้ ทำงานตามข้อมูลและอัลกอริทึมเท่านั้น
ความเข้าใจในอารมณ์มนุษย์ สามารถเข้าใจและประเมินอารมณ์ของลูกความ คู่กรณี และพยานได้ ไม่สามารถประมวลผลหรือเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกได้
การว่าความในศาล เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการเป็นตัวแทนในชั้นศาล ไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ตามกฎหมาย
การจัดการคดีที่ไม่เคยมีบรรทัดฐาน สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ในการตีความกฎหมาย มีข้อจำกัดอย่างมากเนื่องจากขาดข้อมูลในอดีตสำหรับอ้างอิง
ความพร้อมให้บริการ มีเวลาทำการจำกัด และต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า พร้อมให้บริการ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์

อนาคตของวิชาชีพกฎหมายและการปรับตัวในยุคดิจิทัล

การมาถึงของ AI ไม่ได้หมายถึงจุดจบของวิชาชีพทนายความ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่นักกฎหมายทุกคนต้องเตรียมพร้อมรับมือ อนาคตของวงการกฎหมายจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการทำงานได้อย่างลงตัว

การเปลี่ยนผ่านทักษะของนักกฎหมาย

ในอนาคต ทักษะที่เคยเป็นที่ต้องการอย่างความสามารถในการจดจำตัวบทกฎหมายหรือความขยันในการค้นคว้าข้อมูลอาจมีความสำคัญลดลง เนื่องจากเป็นสิ่งที่ AI สามารถทำได้ดีกว่าและเร็วกว่า แต่นักกฎหมายจะต้องพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้ เช่น:

  • ทักษะการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์: ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ที่ซับซ้อนและให้คำแนะนำที่คำนึงถึงผลกระทบทุกมิติ
  • ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence): ทักษะในการสร้างความสัมพันธ์ ความไว้วางใจ และการสื่อสารกับลูกความอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา: ความสามารถในการหาทางออกสำหรับคดีความที่ไม่มีแนวทางชัดเจน
  • ความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยี: ความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมือ LegalTech ที่เหมาะสมกับงานและตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ได้

ปัจจุบัน วงการทนายความในไทยได้เริ่มมีการจัดอบรมและสัมมนาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ AI ในงานกฎหมายอย่างมืออาชีพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการตื่นตัวและความพยายามที่จะปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

AI ในฐานะผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้แทนที่

มุมมองที่ถูกต้องต่อเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้คือการมองว่า AI เป็น “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” (Intelligent Assistant) ไม่ใช่ “ผู้ที่จะมาแทนที่” (Replacement) ทนายความสามารถใช้ AI เพื่อจัดการกับงานเอกสารที่น่าเบื่อและใช้เวลานาน ทำให้มีเวลามากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่งานที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูง เช่น การวางแผนกลยุทธ์คดี การเจรจาต่อรอง และการให้คำปรึกษาแก่ลูกความอย่างใกล้ชิด การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ในลักษณะนี้จะนำไปสู่บริการทางกฎหมายที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิม

บทสรุป: ทิศทางของ LegalTech ในประเทศไทย

ปรากฏการณ์ ทนายมีหนาว! AI ‘ทนายทิพย์’ อ่านสัญญา-ร่างฟ้อง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของคลื่นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในวงการกฎหมายไทย AI กฎหมายได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และที่สำคัญคือการส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมให้แก่คนในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังคงมีข้อจำกัดในมิติของความเป็นมนุษย์ ทั้งในด้านจริยธรรม วิจารณญาณ และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งยังคงเป็นแก่นแท้ของวิชาชีพทนายความ

ดังนั้น อนาคตของวิชาชีพนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านเทคโนโลยี แต่คือการเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับมัน นักกฎหมายที่ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลจะเป็นผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ ในขณะเดียวกันก็สามารถส่งมอบคุณค่าในส่วนที่เครื่องจักรไม่สามารถทำได้ นั่นคือการเป็นที่ปรึกษาที่เข้าอกเข้าใจและเป็นที่พึ่งพิงให้แก่ลูกความได้อย่างแท้จริง การเตรียมพร้อมและปรับตัวตั้งแต่วันนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพานักกฎหมายและวงการยุติธรรมของไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์


กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930