Shopping cart






กทม.ใช้ AI ‘ตาวิเศษ’ คุมไฟแดง ลดรถติดนรก


กทม.ใช้ AI ‘ตาวิเศษ’ คุมไฟแดง ลดรถติดนรก

สารบัญ

กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านการจราจรที่รุนแรงและเรื้อรังมาอย่างยาวนาน เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม จึงได้มีการริเริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการสัญญาณไฟจราจร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบการควบคุมการจราจรของเมืองหลวงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ภาพรวมของโครงการไฟแดงอัจฉริยะในกรุงเทพฯ

โครงการนำร่องในการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อควบคุมสัญญาณไฟจราจร เป็นความพยายามล่าสุดในการบรรเทาปัญหารถติดสะสมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจดังนี้:

  • การใช้เทคโนโลยี AI: กรุงเทพมหานครร่วมมือกับ Google ใน “Project Green Light” เพื่อนำ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ และปรับเปลี่ยนสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณรถยนต์บนท้องถนน
  • ระบบ ‘ตาวิเศษ AI’: เป็นชื่อที่ใช้เรียกโครงการนี้ เปรียบเสมือนการมีดวงตาอัจฉริยะที่คอยสอดส่องและจัดการการจราจรทั่วกรุง โดยใช้ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด (CCTV) และ Google Maps เป็นหลัก
  • เป้าหมายที่ชัดเจน: โครงการมุ่งหวังที่จะลดปัญหารถติดสะสม ลดระยะเวลาการเดินทาง และลดการปล่อยมลพิษจากการจราจร ซึ่งเป็นการคืนเวลาและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
  • พื้นที่นำร่อง: เริ่มต้นทดลองใน 3 เส้นทางหลักที่มีปัญหาการจราจรหนาแน่น ได้แก่ ถนนรัชดาภิเษก, ถนนประเสริฐมนูกิจ และถนนราชพฤกษ์ เพื่อประเมินผลก่อนขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ

การที่ กทม.ใช้ AI ‘ตาวิเศษ’ คุมไฟแดง ลดรถติดนรก ถือเป็นการปฏิวัติระบบการจัดการจราจรแบบดั้งเดิมที่อาศัยการตั้งเวลาคงที่ (Fixed Time) มาสู่ระบบอัจฉริยะที่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์จริงได้ โครงการนี้ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งภาพจากกล้อง CCTV และข้อมูลการเดินทางจาก Google Maps เพื่อสร้างแบบจำลองการจราจรที่มีความแม่นยำสูง จากนั้น AI จะทำหน้าที่สั่งการปรับเปลี่ยนระยะเวลาของสัญญาณไฟเขียว-ไฟแดงในแต่ละทางแยกให้มีความเหมาะสมกับปริมาณรถในขณะนั้นมากที่สุด ซึ่งแตกต่างจากระบบเดิมที่ไม่สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพจราจรในแต่ละช่วงเวลาของวันได้

ทำไม กทม.จึงต้องใช้ AI ‘ตาวิเศษ’ คุมไฟแดง ลดรถติดนรก

วิกฤตจราจร: ปัญหาเรื้อรังของเมืองหลวง

ปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครไม่ได้เป็นเพียงความไม่สะดวกในการเดินทาง แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การสูญเสียเวลาบนท้องถนนคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ทั้งในแง่ของต้นทุนเชื้อเพลิงที่สิ้นเปลืองไปกับการหยุดรถนิ่ง และการสูญเสียผลิตภาพจากการที่ประชาชนต้องใช้เวลาเดินทางยาวนานเกินความจำเป็น

นอกจากนี้ ปัญหารถติดยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้คน ความเครียดสะสมจากการเดินทางที่คาดเดาไม่ได้ และการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่ถูกปล่อยออกมาจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่ติดขัดอยู่บนถนนเป็นเวลานาน ล้วนเป็นปัจจัยที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการเดิม ๆ เช่น การสร้างถนนหรือทางด่วนเพิ่มเติม อาจไม่เพียงพออีกต่อไปในเมืองที่มีพื้นที่จำกัดและมีจำนวนรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการจึงเป็นทางออกที่จำเป็นและยั่งยืนกว่า

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์: กทม. และ Google

โครงการ “Project Green Light” เป็นผลมาจากความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครและ Google ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ ความร่วมมือนี้ทำให้ กทม. สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ทันสมัย โดยไม่ต้องเริ่มต้นพัฒนาจากศูนย์

Google ได้นำ AI ที่ผ่านการพัฒนาและทดสอบมาแล้วในหลายเมืองทั่วโลกมาปรับใช้กับบริบทของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 18 เมืองที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการนี้ การใช้ข้อมูลการจราจรแบบไม่ระบุตัวตนจาก Google Maps ช่วยให้ AI สามารถเรียนรู้และเข้าใจรูปแบบการเดินทางที่เป็นเอกลักษณ์ของกรุงเทพฯ ได้อย่างลึกซึ้ง เช่น พฤติกรรมการขับขี่ ปริมาณรถในช่วงเวลาเร่งด่วน และผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น วันหยุดเทศกาล หรือสภาพอากาศ ความร่วมมือนี้จึงไม่ใช่แค่การจัดซื้อเทคโนโลยี แต่เป็นการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโซลูชันที่เหมาะสมกับปัญหาของเมืองอย่างแท้จริง

เจาะลึกเทคโนโลยี AI จราจร และระบบ ‘ตาวิเศษ’

เจาะลึกเทคโนโลยี AI จราจร และระบบ 'ตาวิเศษ'

นิยามและหลักการทำงานของไฟแดงอัจฉริยะ

ระบบไฟแดงอัจฉริยะ (Smart Traffic Lights) หรือที่โครงการนี้เรียกว่า ‘ตาวิเศษ AI’ คือระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรที่ทำงานโดยอัตโนมัติและปรับเปลี่ยนตัวเองได้ตามสภาพการจราจรจริง แทนที่จะทำงานตามโปรแกรมเวลาที่ตั้งไว้ล่วงหน้า หัวใจสำคัญของระบบนี้คือปัญญาประดิษฐ์ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนสมองกลในการตัดสินใจ

หลักการทำงานเริ่มต้นจากการรวบรวมข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์จากหลากหลายแหล่ง จากนั้น AI จะนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อหารูปแบบและคาดการณ์แนวโน้มการจราจรในอนาคตอันใกล้ เช่น การคำนวณหาความยาวของแถวคอยในแต่ละช่องจราจร, ความเร็วเฉลี่ยของรถยนต์, และปริมาณรถที่กำลังมุ่งหน้ามายังทางแยก เมื่อได้ผลการวิเคราะห์แล้ว AI จะคำนวณหาระยะเวลาการปล่อยสัญญาณไฟเขียว-ไฟแดงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกทิศทางในทางแยกนั้น ๆ เพื่อให้การจราจรโดยรวมคล่องตัวมากที่สุด กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทำให้ระบบสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที

บทบาทของ Google Maps และ CCTV ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ข้อมูลคือวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดสำหรับระบบ AI จราจร ในโครงการ ‘ตาวิเศษ’ นี้ แหล่งข้อมูลหลักมาจาก 2 ส่วนคือ:

  1. ข้อมูลจาก Google Maps: AI จะใช้ข้อมูลการเดินทางแบบไม่ระบุตัวตนจากผู้ใช้งาน Google Maps เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมการจราจรในระดับมหภาค ข้อมูลเหล่านี้บอกถึงความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถยนต์, เส้นทางที่ผู้คนนิยมใช้, และจุดที่เกิดการจราจรติดขัดสะสม สิ่งนี้ช่วยให้ AI สามารถสร้างแบบจำลองการไหลเวียนของจราจร (Traffic Flow Model) ทั่วทั้งเมือง และคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสัญญาณไฟที่ทางแยกใดแยกหนึ่ง
  2. ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด (CCTV): กล้อง CCTV ที่ติดตั้งอยู่ตามทางแยกต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็น “ดวงตา” ให้กับระบบ AI โดยตรง โดย AI จะใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาพ (Image Processing) เพื่อวิเคราะห์ภาพวิดีโอแบบเรียลไทม์ และตรวจจับข้อมูลในระดับจุลภาค เช่น จำนวนรถยนต์ในแต่ละเลน, ประเภทของยานพาหนะ (รถยนต์, รถจักรยานยนต์, รถบรรทุก), และความยาวของแถวคอย ข้อมูลจาก CCTV ให้ความแม่นยำสูงและเป็นข้อมูล ณ ปัจจุบันขณะ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจปรับสัญญาณไฟในทันที

การผสมผสานข้อมูลจากทั้งสองแหล่งทำให้ AI มีมุมมองที่ครบถ้วน ทั้งภาพใหญ่จากการไหลเวียนของจราจรทั่วเมือง และภาพเล็กที่เกิดขึ้นจริง ณ ทางแยกแต่ละแห่ง ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำสูงสุด

เปรียบเทียบระบบสัญญาณไฟแบบดั้งเดิมกับระบบ AI

ความแตกต่างระหว่างระบบควบคุมสัญญาณไฟแบบดั้งเดิม (Fixed Time) และระบบ AI อัจฉริยะ (Adaptive) แสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีอย่างชัดเจน

ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติระหว่างระบบสัญญาณไฟจราจรแบบดั้งเดิมและระบบที่ควบคุมด้วย AI
คุณสมบัติ ระบบดั้งเดิม (Fixed Time) ระบบ AI อัจฉริยะ (‘ตาวิเศษ’)
หลักการทำงาน ทำงานตามโปรแกรมเวลาที่ตั้งค่าไว้ล่วงหน้า (เช่น 120 วินาทีต่อรอบ) ปรับเปลี่ยนระยะเวลาสัญญาณไฟตามปริมาณจราจรจริงแบบเรียลไทม์
การตัดสินใจ ไม่มีการตัดสินใจ เป็นการทำงานตามลำดับที่กำหนดไว้ตายตัว AI ประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
การตอบสนองต่อสถานการณ์ ไม่สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น อุบัติเหตุ หรือปริมาณรถที่เปลี่ยนแปลง สามารถตรวจจับและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ทันที
ประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพต่ำในช่วงเวลาที่การจราจรเบาบางหรือหนาแน่นผิดปกติ มีประสิทธิภาพสูงตลอดเวลา สามารถลดการรอคอยที่ไม่จำเป็นและระบายรถได้ดีกว่า
แหล่งข้อมูล ไม่มีการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ อาศัยการตั้งค่าจากข้อมูลสถิติในอดีต ใช้ข้อมูลจากกล้อง CCTV, Google Maps และเซ็นเซอร์อื่น ๆ แบบเรียลไทม์
การประสานงานระหว่างแยก การประสานงานทำได้จำกัดและไม่ยืดหยุ่น (Green Wave แบบคงที่) AI สามารถประสานงานสัญญาณไฟระหว่างทางแยกหลายแห่งพร้อมกันเพื่อสร้างการไหลเวียนที่ดีที่สุด

พื้นที่นำร่องและผลลัพธ์ที่คาดหวัง

3 ถนนสายหลัก: สมรภูมิทดสอบ AI จราจร

การดำเนินโครงการได้เริ่มต้นในพื้นที่นำร่อง 3 แห่ง ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่มีลักษณะทางกายภาพและรูปแบบการจราจรที่แตกต่างกัน เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการเรียนรู้และปรับปรุงระบบก่อนขยายผลต่อไปในอนาคต ได้แก่:

  • ถนนรัชดาภิเษก: เป็นถนนวงแหวนรอบในที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่นตลอดทั้งวัน มีทางแยกขนาดใหญ่จำนวนมาก และเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับย่านธุรกิจและที่พักอาศัยที่สำคัญ
  • ถนนประเสริฐมนูกิจ (เกษตร-นวมินทร์): เป็นถนนแนวตรงยาวที่มีปริมาณรถใช้ความเร็วสูง แต่ก็มีปัญหาการตัดกันของกระแสจราจรที่ทางแยกและจุดกลับรถ ทำให้เกิดการชะลอตัวและติดขัดสะสม
  • ถนนราชพฤกษ์: เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมต่อพื้นที่กรุงเทพฯ กับจังหวัดนนทบุรี มีปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลหนาแน่นในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น

การเลือกพื้นที่ที่มีความท้าทายแตกต่างกันนี้ จะช่วยให้ AI ได้เรียนรู้และปรับปรุงอัลกอริทึมให้สามารถรับมือกับสภาพการจราจรที่ซับซ้อนหลากหลายรูปแบบของกรุงเทพฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมายหลัก: ลดเวลาเดินทางและลดมลพิษ

ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากโครงการนี้สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายหลักสองประการคือ การปรับปรุงประสิทธิภาพการเดินทาง และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ในด้านการเดินทาง เป้าหมายคือการลดระยะเวลาที่รถต้องหยุดรอสัญญาณไฟโดยไม่จำเป็น ลดความยาวของแถวคอย และเพิ่มความเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของรถยนต์บนท้องถนน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงให้เวลาการเดินทางโดยรวมสั้นลง การลดความล่าช้า (Delay) ในแต่ละทางแยกลงเพียงเล็กน้อย เมื่อรวมกันหลาย ๆ แยกตลอดเส้นทาง จะสามารถประหยัดเวลาได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในด้านสิ่งแวดล้อม การที่รถยนต์สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่นขึ้น จะช่วยลดการหยุดรถและออกตัวบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้เชื้อเพลิงสูงและปล่อยมลพิษออกมามากที่สุด การลดระยะเวลาที่รถยนต์ต้องจอดติดเครื่องยนต์นิ่งอยู่บนถนน จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสารมลพิษอื่น ๆ สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายในการทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

วิสัยทัศน์สู่ Smart City และอนาคตการจราจรกรุงเทพฯ

การใช้ AI เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรถือเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์ที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองอัจฉริยะ ที่มีความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นการคืนเวลาที่สูญเสียไปจากการจราจรติดขัดให้กับประชาชน

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์, ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ความท้าทายและการขยายผลโครงการ

แม้ว่าโครงการ ‘ตาวิเศษ AI’ จะมีศักยภาพสูง แต่การนำไปปฏิบัติใช้จริงในวงกว้างยังคงมีความท้าทายหลายประการ ประการแรกคือความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น คุณภาพของกล้อง CCTV, ระบบเครือข่ายสื่อสารที่ต้องมีความเสถียรเพื่อส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และการบำรุงรักษาอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ ประการที่สองคือความซับซ้อนในการบูรณาการระบบเข้ากับการควบคุมจราจรทั้งหมดของเมือง ซึ่งมีทางแยกหลายร้อยแห่งที่ต้องทำงานประสานกันอย่างลงตัว

ในอนาคต หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ การขยายผลไปยังทางแยกอื่น ๆ ทั่วกรุงเทพฯ จะเป็นก้าวต่อไปที่สำคัญ ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนทั้งในด้านเทคโนโลยีและบุคลากร นอกจากนี้ ยังอาจมีการพัฒนาต่อยอดโดยการเชื่อมโยงระบบ AI จราจรเข้ากับระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อให้ข้อมูลและจัดลำดับความสำคัญของรถโดยสารประจำทาง หรือเชื่อมต่อกับระบบแจ้งเตือนอุบัติเหตุ เพื่อให้ AI สามารถปรับเปลี่ยนแผนการจราจรได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนเมือง

ผลสำเร็จของโครงการนี้จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ในหลายมิติ การเดินทางที่รวดเร็วและคาดการณ์ได้มากขึ้นจะช่วยลดความเครียดและเพิ่มเวลาว่างให้ผู้คนสามารถนำไปใช้กับครอบครัว การพักผ่อน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่สร้างสรรค์ได้มากขึ้น สภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้น

การลดมลพิษทางอากาศยังช่วยให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้นในระยะยาว โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาบนท้องถนน แต่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยทุกคน

บทสรุป: เทคโนโลยี AI คำตอบสำหรับปัญหารถติด

โครงการ ‘ตาวิเศษ AI’ ของกรุงเทพมหานคร นับเป็นก้าวสำคัญและเป็นความหวังใหม่ในการแก้ไขปัญหารถติดที่ฝังรากลึกมายาวนาน การเปลี่ยนผ่านจากระบบควบคุมสัญญาณไฟแบบคงที่ไปสู่ระบบอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์และปัญญาประดิษฐ์ คือการนำเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุคมาใช้จัดการกับปัญหาที่ซับซ้อนที่สุดปัญหาหนึ่งของเมือง

แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่โครงการนี้ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ การลดระยะเวลาเดินทาง ลดมลพิษ และคืนเวลาอันมีค่าให้กับประชาชน คือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่คาดหวังได้ ความสำเร็จของการนำร่องและแผนการขยายผลในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งการสัญจรในเมืองหลวงของประเทศไทย ที่มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อผู้คนมากขึ้น


กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930