‘โคตรชัวร์ AI’ สแกนข่าวปลอม! รัฐ-มหาลัยผนึกกำลัง
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางดิจิทัล การแยกแยะระหว่างข่าวจริงและข่าวปลอมกลายเป็นความท้าทายสำคัญ เพื่อรับมือกับปัญหานี้จึงเกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและสถาบันการศึกษาในการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว
- โครงการ ‘โคตรชัวร์ AI’ คือความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และสถาบันอุดมศึกษา เพื่อพัฒนาระบบ AI สำหรับตรวจสอบข่าวปลอมโดยเฉพาะ
- เทคโนโลยีหลักที่ใช้คือการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ซึ่งถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลภาษาไทย เพื่อวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของเนื้อหาข่าวสาร
- ระบบ AI นี้ถูกนำไปใช้จริงโดยศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริง เช่น ศูนย์ฯ ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงาน
- ภาครัฐได้ขยายผลการแจ้งเตือนข่าวปลอมสู่สาธารณะอย่างกว้างขวาง โดยตั้งแต่ต้นปี 2025 มีการแจ้งเตือนไปแล้วมากกว่า 570 ล้านครั้ง
- แม้ AI จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ยังมีความท้าทายจากการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด เช่น การสร้างวิดีโอหรือเสียงปลอม (Deepfake) ซึ่งต้องมีการพัฒนาเพื่อรับมือต่อไป
โครงการ ‘โคตรชัวร์ AI’ สแกนข่าวปลอม! รัฐ-มหาลัยผนึกกำลัง ถือเป็น πρωτοβουλία สำคัญในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่ซับซ้อนอย่างการแพร่ระบาดของข้อมูลเท็จ แพลตฟอร์มนี้เป็นผลผลิตจากความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ นำโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ เพื่อสร้างเครื่องมืออัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระของบุคลากรในการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตนเอง แต่ยังเป็นการยกระดับการรับมือกับสงครามข้อมูลข่าวสารในยุคดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ภาพรวมของสถานการณ์ข่าวปลอมในปัจจุบัน
การเติบโตของโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มการสื่อสารออนไลน์ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของข้อมูลข่าวสารไปอย่างสิ้นเชิง ข้อมูลสามารถถูกสร้างและส่งต่อได้อย่างรวดเร็วในวงกว้างอย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งแม้จะมีประโยชน์ในด้านการเข้าถึงข้อมูล แต่ก็เปิดช่องให้เกิดการแพร่กระจายของ Fake News หรือข่าวลวงได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ข่าวปลอมเหล่านี้มักถูกสร้างขึ้นโดยมีเจตนาที่หลากหลาย ตั้งแต่การสร้างความเข้าใจผิด การโจมตีทางการเมือง การหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน ไปจนถึงการสร้างความตื่นตระหนกในสังคม
ผลกระทบของข่าวปลอมนั้นรุนแรงและขยายวงกว้าง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สังคมมีความเปราะบาง เช่น สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งมีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาแพร่หลายจนสร้างความสับสนและเป็นอันตรายต่อชีวิตของประชาชน นอกจากนี้ ข่าวลวงยังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นต่อสถาบันต่างๆ ทั้งภาครัฐ สื่อมวลชน และสถาบันทางสังคม ทำให้เกิดความแตกแยกและส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพโดยรวม ด้วยเหตุนี้ การมีเครื่องมือและกระบวนการ Fact-checking ที่มีประสิทธิภาพจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดสำหรับสังคมยุคใหม่
ทำความรู้จักโครงการ ‘โคตรชัวร์ AI’
เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว โครงการ ‘โคตรชัวร์ AI’ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะเครื่องมือเชิงรุกที่นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการต่อสู้กับวงจรของข่าวปลอม โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ซอฟต์แวร์ แต่เป็นระบบนิเวศที่เชื่อมโยงระหว่างการวิจัยทางวิชาการและการนำไปปฏิบัติใช้โดยภาครัฐ
ที่มาและเป้าหมายของความร่วมมือ
โครงการนี้เป็นผลลัพธ์ของความตระหนักร่วมกันถึงภัยคุกคามจากข่าวลวง โดย กระทรวงดีอีเอส ในฐานะหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ ได้ผนึกกำลังกับสถาบันอุดมศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์และภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป้าหมายหลักของความร่วมมือนี้คือการสร้างระบบ AI ที่สามารถ “เข้าใจ” บริบทของภาษาไทยและเนื้อหาข่าวสารได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อช่วยคัดกรองและประเมินความน่าจะเป็นของข่าวปลอมได้อย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการทำงานเบื้องหลังของ AI ตรวจสอบข่าวปลอม
หัวใจของ ‘โคตรชัวร์ AI’ คือแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นจากเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องสำหรับภาษาไทย (Machine Learning for Thai Language) โดยเฉพาะ ระบบจะถูกฝึกฝน (Train) ด้วยชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยข่าวจริงและข่าวปลอมจำนวนมหาศาล เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้รูปแบบและลักษณะเฉพาะของข่าวแต่ละประเภทได้
กระบวนการวิเคราะห์ของ AI จะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น การใช้ภาษาที่ชี้นำอารมณ์เกินจริง, การอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ, โครงสร้างของประโยคที่ผิดปกติ, หรือการเปรียบเทียบเนื้อหากับฐานข้อมูลข่าวจริงที่เชื่อถือได้ เมื่อผู้ใช้ส่งลิงก์ ข้อความ หรือรูปภาพเข้ามาในระบบ AI จะทำการประมวลผลและแสดงผลลัพธ์เป็นคะแนนความน่าเชื่อถือหรือความน่าจะเป็นของการเป็นข่าวปลอมออกมา ช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินข้อมูลเบื้องต้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
การใช้ AI ในการแยกข่าวจริงข่าวปลอมถือเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบจากข่าวปลอมที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและความเชื่อมั่นของประชาชน
การประยุกต์ใช้ ‘โคตรชัวร์ AI’ ในทางปฏิบัติ
เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจะไร้ความหมายหากไม่ถูกนำไปใช้งานจริง โครงการ ‘โคตรชัวร์ AI’ ได้ถูกนำไปผนวกรวมเข้ากับกระบวนการทำงานของหลายหน่วยงาน เพื่อสร้างผลกระทบในวงกว้าง
บทบาทของศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสาร นิด้า เป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักที่นำระบบ AI ตรวจสอบข่าวปลอม นี้ไปใช้งาน ในแต่ละวัน ศูนย์ฯ จะได้รับแจ้งข่าวที่น่าสงสัยเข้ามาเป็นจำนวนมาก การใช้บุคลากรตรวจสอบทุกชิ้นข่าวนั้นต้องใช้เวลาและทรัพยากรสูง การนำ ‘โคตรชัวร์ AI’ เข้ามาช่วยในกระบวนการคัดกรองเบื้องต้นทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก AI จะช่วยจัดลำดับความสำคัญของข่าวที่ต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วน และให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่นักตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checker) เพื่อให้สามารถทำการสืบค้นเชิงลึกและสรุปผลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
มาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการแจ้งเตือน
กระทรวงดีอีเอส ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายในการแจ้งเตือนภัยจากข่าวปลอมและอาชญากรรมไซเบอร์ เมื่อมีข่าวปลอมที่ได้รับการยืนยันและอาจสร้างความเสียหายในวงกว้าง ระบบจะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งในการกระจายข้อมูลแจ้งเตือนไปยังประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ อย่างรวดเร็ว ข้อมูลเชิงสถิติที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2025 เป็นต้นมา มีการส่งข้อความแจ้งเตือนข่าวปลอมไปแล้วมากกว่า 570 ล้านครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปริมาณของข่าวลวงที่แพร่กระจายอยู่ในระบบนิเวศดิจิทัล และความพยายามอย่างจริงจังของภาครัฐในการสร้างภูมิคุ้มกันข้อมูลให้กับประชาชน
ประสิทธิภาพและข้อจำกัดของเทคโนโลยี
การนำ AI มาใช้ในการตรวจสอบข่าวปลอมเป็นการก้าวกระโดดที่สำคัญ แต่เช่นเดียวกับทุกเทคโนโลยี ย่อมมีทั้งจุดแข็งและข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา การเปรียบเทียบวิธีการตรวจสอบแบบดั้งเดิมกับการใช้ AI ช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
คุณสมบัติ | การตรวจสอบแบบดั้งเดิม (Manual Fact-checking) | การตรวจสอบโดยใช้ AI ช่วย (AI-Assisted Fact-checking) |
---|---|---|
ความเร็วในการประมวลผล | ช้า ขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคลากรแต่ละคน | รวดเร็วมาก สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้ในเวลาสั้นๆ |
ปริมาณการตรวจสอบ | จำกัด ไม่สามารถตรวจสอบข่าวสารทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ | สูง สามารถสแกนและคัดกรองข่าวสารจำนวนมหาศาลได้แบบเรียลไทม์ |
ความแม่นยำเบื้องต้น | ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของบุคคล | มีความแม่นยำในการคัดกรองตามรูปแบบที่ได้เรียนรู้ แต่ยังต้องการการยืนยันจากมนุษย์ในกรณีที่ซับซ้อน |
ความสามารถในการขยายผล | ขยายผลได้ยาก ต้องเพิ่มจำนวนบุคลากรซึ่งมีต้นทุนสูง | ขยายผลได้ง่าย สามารถเพิ่มขีดความสามารถของระบบเพื่อรองรับข้อมูลที่มากขึ้น |
การรับมือกับข่าวสารรูปแบบใหม่ | ปรับตัวได้ดีเมื่อเจอบริบทที่ซับซ้อนและต้องใช้ดุลยพินิจ | อาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และอัปเดตโมเดลเพื่อรับมือกับข่าวปลอมรูปแบบใหม่ๆ |
ความท้าทายและอนาคตของการใช้ AI รับมือข่าวลวง
แม้ว่า ‘โคตรชัวร์ AI’ จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่สมรภูมิของข้อมูลข่าวสารยังคงมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ ที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือ
ปรากฏการณ์ดาบสองคมของปัญญาประดิษฐ์
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการที่เทคโนโลยี AI สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้เช่นกัน ในขณะที่เราใช้ AI เพื่อตรวจจับข่าวปลอม ผู้ไม่หวังดีก็สามารถใช้ AI เพื่อสร้าง ข่าวลวง ที่มีความซับซ้อนและแนบเนียนมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีอย่าง Deepfake ที่สามารถปลอมแปลงใบหน้าและเสียงในวิดีโอได้อย่างสมจริง กำลังกลายเป็นเครื่องมือใหม่ในการสร้างข้อมูลเท็จที่แยกแยะได้ยากอย่างยิ่งด้วยตาเปล่า สิ่งนี้ทำให้การต่อสู้กับข่าวปลอมกลายเป็นการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งฝ่ายป้องกันต้องพัฒนาขีดความสามารถของ AI ให้ก้าวทันหรือนำหน้าเทคนิคการสร้างข่าวปลอมอยู่เสมอ
ทิศทางการพัฒนาในอนาคต
สำหรับอนาคตของโครงการ ‘โคตรชัวร์ AI’ และเทคโนโลยีการตรวจสอบข่าวปลอมโดยรวม มีแนวโน้มที่จะขยายขีดความสามารถในหลายมิติ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแผนที่จะขยายการใช้ AI ปราบข่าวปลอมในวงกว้างยิ่งขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการพัฒนา AI ให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากข้อความ เช่น การวิเคราะห์ภาพและวิดีโอเพื่อตรวจจับร่องรอยการตัดต่อหรือการปลอมแปลง นอกจากนี้ การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเทคนิคการรับมือข่าวปลอมก็เป็นอีกหนึ่งทิศทางที่สำคัญ เพื่อสร้างเครือข่ายป้องกันที่แข็งแกร่งในระดับโลก
บทสรุป: สร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลเพื่อสังคมที่น่าเชื่อถือ
โครงการ ‘โคตรชัวร์ AI’ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและภาควิชาการเพื่อแก้ไขปัญหาระดับชาติ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการสแกนและตรวจสอบข่าวปลอมไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือมากขึ้นสำหรับประชาชน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ การสร้างสังคมข้อมูลที่เข้มแข็งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
การส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ให้กับประชาชนยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ทุกคนสามารถตั้งคำถาม วิเคราะห์ และประเมินข้อมูลที่ได้รับอย่างมีวิจารณญาณก่อนที่จะเชื่อหรือส่งต่อ ท้ายที่สุดแล้ว การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการสร้างความตระหนักรู้ในสังคม คือแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรับมือกับความท้าทายของ Fake News และนำพาสังคมไปสู่ยุคดิจิทัลที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถืออย่างยั่งยืน