Shopping cart

“`html

ไม่ต้องกลัว! AI ‘เกราะเพชร’ กันโจรดูดเงิน

สารบัญ

ในยุคที่ธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ภัยคุกคามจากมิจฉาชีพและแอปพลิเคชันดูดเงินได้ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นอย่างน่ากังวล เพื่อรับมือกับปัญหานี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นเครื่องมือป้องกันเชิงรุก สร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับทรัพย์สินของประชาชน

ภาพรวมของเทคโนโลยี ‘เกราะเพชร AI’

ภาพรวมของเทคโนโลยี 'เกราะเพชร AI'
  • ‘เกราะเพชร AI’ คือระบบป้องกันมิจฉาชีพอัจฉริยะที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานและธุรกรรมการเงินแบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจจับและยับยั้งภัยคุกคามทางการเงินออนไลน์
  • ระบบดังกล่าวทำงานผ่านกลไกป้องกันหลายชั้น ประกอบด้วยการยืนยันตัวตนที่เข้มงวด, การตรวจจับมัลแวร์และแอปพลิเคชันต้องสงสัย, และการวิเคราะห์พฤติกรรมธุรกรรมที่ผิดปกติ
  • เทคโนโลยีนี้เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสถาบันการเงิน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
  • ประสิทธิภาพของ AI ในการตรวจจับการฉ้อโกงได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยสามารถลดความเสียหายทางการเงินและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ

การมาถึงของโซลูชันอย่าง ไม่ต้องกลัว! AI ‘เกราะเพชร’ กันโจรดูดเงิน ได้กลายเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นการป้องกันเชิงรุก ระบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นเทคโนโลยีป้องกันภัย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นให้กับการทำธุรกรรมทางการเงินบนโลกออนไลน์ ซึ่งทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันและอนาคต ด้วยความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวของ AI ทำให้เกราะป้องกันนี้สามารถพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือกับกลโกงรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

ภัยคุกคามทางการเงินในยุคดิจิทัล: เหตุผลที่ต้องมีเกราะป้องกัน

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลได้นำมาซึ่งความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะด้านการเงิน อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายนี้กลับมาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว อาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการหลอกลวงทางการเงินผ่านแอปพลิเคชัน หรือที่เรียกกันว่า “แอปดูดเงิน” ได้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของประชาชนจำนวนมาก

ทำไมการป้องกันแอปดูดเงินจึงสำคัญอย่างยิ่ง

แอปดูดเงินและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาที่สร้างความรำคาญ แต่เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สามารถทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งได้ในพริบตา มิจฉาชีพใช้เทคนิคทางจิตวิทยาที่ซับซ้อน (Social Engineering) ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี เพื่อหลอกลวงให้เหยื่อติดตั้งแอปพลิเคชันอันตรายลงบนสมาร์ทโฟน เมื่อติดตั้งสำเร็จ แอปเหล่านี้จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล และที่เลวร้ายที่สุดคือการทำธุรกรรมโอนเงินออกจากบัญชีของเหยื่อจนหมด โดยที่เจ้าของบัญชีไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขในบัญชีธนาคาร แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางด้านจิตใจ เหยื่อจำนวนมากต้องเผชิญกับความเครียด ความรู้สึกผิด และความหวาดระแวงในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลไปอีกนาน ดังนั้น การมีระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามที่มองไม่เห็นเหล่านี้

ใครบ้างที่ตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ

ในความเป็นจริง ทุกคนที่ใช้สมาร์ทโฟนและทำธุรกรรมออนไลน์ล้วนมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ กลุ่มอาชญากรเหล่านี้ไม่ได้เลือกเหยื่อแบบสุ่ม แต่มีการวางแผนและพัฒนากลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ พวกเขามักพุ่งเป้าไปที่กลุ่มที่อาจมีความเปราะบางหรือขาดความระมัดระวัง เช่น ผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี หรือกลุ่มคนที่กำลังมองหางาน, เงินกู้, หรือผลประโยชน์พิเศษต่างๆ ที่มิจฉาชีพนำมาใช้เป็นเหยื่อล่อ

อย่างไรก็ตาม แม้แต่ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีก็สามารถตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน เนื่องจากกลโกงมีการพัฒนาให้แยบยลขึ้นเรื่อยๆ เช่น การสร้างหน้าเว็บไซต์ปลอมที่เหมือนของจริง (Phishing) หรือการใช้ข้อความ SMS หลอกลวง (Smishing) เพื่อส่งลิงก์สำหรับติดตั้งแอปอันตราย สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการพึ่งพาความระมัดระวังส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป และจำเป็นต้องมีเกราะป้องกันทางเทคโนโลยีที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยสอดส่องและป้องกันภัยในระดับที่ลึกกว่า

จุดเปลี่ยนสำคัญ: การมาถึงของ AI เพื่อการป้องกันเชิงรุก

ในอดีต มาตรการป้องกันส่วนใหญ่มักเป็นการตั้งรับ (Reactive) กล่าวคือ การดำเนินการมักจะเกิดขึ้นหลังจากความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น การอายัดบัญชี หรือการติดตามเส้นทางการเงิน ซึ่งบ่อยครั้งก็สายเกินไปที่จะได้เงินคืน จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในระบบความปลอดภัยทางการเงิน

AI ได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “ไล่ตาม” อาชญากร มาเป็นการ “ดักจับ” และ “ป้องกัน” ก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น

หน่วยงานภาครัฐอย่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของ AI และผลักดันให้เกิดความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการเงิน เพื่อพัฒนาระบบป้องกันมิจฉาชีพอัจฉริยะ โครงการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย โดยใช้ AI เป็นแกนหลักในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลแบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจจับรูปแบบพฤติกรรมที่น่าสงสัยและยับยั้งธุรกรรมที่ผิดปกติได้ทันท่วงที

ไม่ต้องกลัว! AI ‘เกราะเพชร’ กันโจรดูดเงิน คืออะไร

ไม่ต้องกลัว! AI 'เกราะเพชร' กันโจรดูดเงิน คืออะไร

คำว่า ‘เกราะเพชร AI’ เป็นชื่อที่ใช้อธิบายถึงระบบความปลอดภัยทางการเงินยุคใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันการโจรกรรมเงินออนไลน์ โดยเฉพาะจากแอปดูดเงินและมัลแวร์ต่างๆ แนวคิดหลักของระบบนี้คือการสร้างเกราะป้องกันหลายชั้นที่ทำงานประสานกันอย่างชาญฉลาด เพื่อให้การเจาะเข้ามาขโมยเงินจากบัญชีของผู้ใช้เป็นไปได้ยากที่สุด ระบบนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้แก้ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรง

นิยามและความหมายของ ‘เกราะเพชร AI’

‘เกราะเพชร AI’ ไม่ใช่แอปพลิเคชันเดียว แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย (Security Framework) ที่ฝังตัวอยู่ในระบบของผู้ให้บริการทางการเงิน เช่น แอปพลิเคชันธนาคาร หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) โดยหนึ่งในผู้พัฒนาระบบนี้อย่างเป็นรูปธรรมคือ True Money ซึ่งได้เปิดตัวระบบความปลอดภัยภายใต้ชื่อ เกราะเพชร (True Money 3 x Protection)

หัวใจของระบบนี้คือ AI ที่ถูกฝึกฝนให้เรียนรู้และจดจำรูปแบบพฤติกรรมการใช้งานปกติของผู้ใช้แต่ละคน เช่น อุปกรณ์ที่ใช้เป็นประจำ, สถานที่ที่ทำธุรกรรมบ่อย, ช่วงเวลาที่ใช้งาน, และลักษณะของธุรกรรมที่ทำเป็นประจำ เมื่อมีกิจกรรมใดๆ ที่เบี่ยงเบนไปจากรูปแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญ AI จะทำการประเมินความเสี่ยงและเข้าแทรกแซงทันที เช่น การขอการยืนยันตัวตนเพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งการระงับธุรกรรมนั้นชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหาย

เทคโนโลยีเบื้องหลังระบบป้องกันอัจฉริยะ

ความสำเร็จของระบบ ‘เกราะเพชร AI’ ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีของบริษัทใดบริษัทหนึ่งเพียงลำพัง แต่เกิดจากการผสมผสานความเชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ตัวอย่างเช่น ความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลกอย่าง ชิลด์ (SHIELD) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกงผ่านอุปกรณ์พกพา และ โซลอส (ZOLOZ) ผู้เชี่ยวชาญด้านการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวมิติ (Biometrics) เช่น การสแกนใบหน้าและลายนิ้วมือ

การร่วมมือนี้ทำให้ ‘เกราะเพชร AI’ มีความสามารถที่หลากหลายและครอบคลุม:

  • Device Intelligence: ระบบสามารถระบุและจดจำอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ใช้งานเป็นประจำได้ หากมีการพยายามเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ระบบจะเพิ่มระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบ
  • Biometric Authentication: การใช้ข้อมูลชีวมิติในการยืนยันตัวตน เช่น การสแกนใบหน้า เป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการใช้รหัสผ่านหรือ PIN แบบเดิมๆ เพราะปลอมแปลงได้ยากกว่ามาก
  • Malware and Anomaly Detection: AI จะคอยสอดส่องการทำงานของแอปพลิเคชันอื่นๆ ในเครื่อง หากตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย เช่น มีแอปพยายามบันทึกหน้าจอ หรือควบคุมเครื่องจากระยะไกล ระบบจะแจ้งเตือนและอาจบล็อกการทำธุรกรรมทันที

เทคโนโลยีเหล่านี้ทำงานร่วมกันเป็นเกราะป้องกันที่มองไม่เห็น คอยปกป้องผู้ใช้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความมั่นใจว่าเงินในบัญชีของผู้ใช้จะปลอดภัยจากการโจรกรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ

เจาะลึกกลไกการทำงาน 3 ชั้นของ ‘เกราะเพชร AI’

เพื่อให้เห็นภาพการทำงานของระบบป้องกันอัจฉริยะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถแบ่งกลไกการทำงานหลักของ ‘เกราะเพชร AI’ ออกเป็น 3 ชั้นป้องกันที่ทำงานต่อเนื่องและเสริมซึ่งกันและกัน ตั้งแต่ด่านแรกของการเข้าสู่ระบบไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายของการทำธุรกรรม

ตารางเปรียบเทียบกลไกการป้องกัน 3 ชั้นของระบบ ‘เกราะเพชร AI’ ซึ่งแสดงให้เห็นการทำงานที่ครอบคลุมตั้งแต่การเข้าสู่ระบบจนถึงการทำธุรกรรม
ชั้นการป้องกัน วัตถุประสงค์หลัก วิธีการทำงาน
ชั้นที่ 1: การตรวจสอบตัวตน ป้องกันการเข้าถึงบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาต ใช้เทคโนโลยี Biometrics (สแกนใบหน้า/ลายนิ้วมือ) และ Device Intelligence เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของบัญชีตัวจริงที่ใช้งานจากอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้
ชั้นที่ 2: การตรวจจับมัลแวร์ สแกนหาแอปพลิเคชันอันตรายและการควบคุมระยะไกล วิเคราะห์พฤติกรรมของแอปพลิเคชันในเครื่อง เพื่อตรวจจับสัญญาณของมัลแวร์, แอปที่ขอสิทธิ์เกินจำเป็น, หรือแอปควบคุมหน้าจอ (Remote Access)
ชั้นที่ 3: การวิเคราะห์ธุรกรรมด้วย AI ยับยั้งธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ AI เรียนรู้และวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายปกติของผู้ใช้ หากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ (เช่น จำนวนเงินสูงผิดปกติ, โอนไปยังบัญชีที่ไม่เคยรู้จัก) ระบบจะระงับธุรกรรมทันที

ชั้นที่ 1: การตรวจสอบและยืนยันตัวตนที่เข้มงวด

ด่านแรกและสำคัญที่สุดคือการทำให้แน่ใจว่าผู้ที่กำลังพยายามเข้าใช้งานบัญชีคือเจ้าของตัวจริง ระบบ ‘เกราะเพชร AI’ ก้าวข้ามการใช้เพียงรหัสผ่าน (Password) หรือรหัส PIN ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยหรือคาดเดาได้ง่าย ไปสู่การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวมิติ (Biometrics) เช่น การสแกนใบหน้า หรือลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะบุคคลที่ลอกเลียนแบบได้ยากมาก นอกจากนี้ ระบบยังมีการตรวจสอบ “ลายนิ้วมือของอุปกรณ์” (Device Fingerprinting) เพื่อจดจำสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเครื่องประจำของผู้ใช้ หากมีการพยายามล็อกอินจากอุปกรณ์แปลกหน้า ระบบจะเพิ่มมาตรการตรวจสอบที่ซับซ้อนขึ้นอีกขั้น เพื่อป้องกันการสวมรอยเข้าใช้งาน

ชั้นที่ 2: การตรวจจับมัลแวร์และแอปพลิเคชันต้องสงสัย

หลังจากผ่านด่านการยืนยันตัวตนเข้ามาแล้ว เกราะป้องกันชั้นที่สองจะเริ่มทำงานทันที โดยจะทำการสแกนและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในอุปกรณ์ของผู้ใช้แบบเงียบๆ อยู่เบื้องหลัง AI จะคอยจับสัญญาณอันตรายที่อาจบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของ “แอปดูดเงิน” หรือมัลแวร์อื่นๆ สัญญาณเหล่านี้อาจรวมถึง:

  • การขอสิทธิ์การเข้าถึงที่เกินความจำเป็น (Excessive Permissions): เช่น แอปเครื่องคิดเลขที่ขอสิทธิ์ในการอ่านรายชื่อผู้ติดต่อหรือควบคุมหน้าจอ
  • การทำงานซ้อนทับบนแอปอื่น (Overlay Attacks): มัลแวร์อาจสร้างหน้าต่างปลอมขึ้นมาทับบนแอปธนาคารเพื่อขโมยรหัสผ่าน
  • การเปิดใช้งาน Accessibility Service โดยไม่ทราบสาเหตุ: ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่แอปดูดเงินใช้ในการควบคุมโทรศัพท์จากระยะไกล

หากระบบตรวจพบพฤติกรรมที่น่าสงสัยเหล่านี้ จะทำการแจ้งเตือนผู้ใช้และอาจบล็อกการทำงานของแอปพลิเคชันทางการเงินชั่วคราวจนกว่าจะแน่ใจว่าอุปกรณ์ปลอดภัย

ชั้นที่ 3: การวิเคราะห์ธุรกรรมแบบเรียลไทม์ด้วย AI

นี่คือชั้นป้องกันที่แสดงให้เห็นถึงความอัจฉริยะของ AI ได้อย่างชัดเจนที่สุด ในขณะที่ผู้ใช้กำลังจะทำธุรกรรม AI จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลหลายมิติในเสี้ยววินาทีเพื่อประเมินความเสี่ยง โดยเปรียบเทียบธุรกรรมปัจจุบันกับ “พฤติกรรมปกติ” ของผู้ใช้ที่ AI ได้เรียนรู้มา ตัวอย่างเช่น

  • จำนวนเงิน: หากผู้ใช้ไม่เคยโอนเงินเกิน 5,000 บาท แต่จู่ๆ มีการพยายามโอนเงิน 100,000 บาท ระบบจะมองว่าเป็นความผิดปกติ
  • ผู้รับโอน: การโอนเงินไปยังบัญชีที่ไม่เคยทำธุรกรรมด้วยมาก่อนอาจถูกตั้งค่าให้มีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • ช่วงเวลาและสถานที่: การทำธุรกรรมจำนวนมากในเวลาเที่ยงคืนจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ไม่คุ้นเคย เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนภัย

หาก AI ประเมินแล้วว่าธุรกรรมมีความเสี่ยงสูงเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ระบบจะทำการ “หยุด” ธุรกรรมนั้นไว้ทันที และอาจแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้เพื่อขอการยืนยันเพิ่มเติม นี่คือปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยป้องกันไม่ให้เงินถูกโอนออกจากบัญชีได้สำเร็จ แม้ว่ามิจฉาชีพจะสามารถผ่านสองด่านแรกเข้ามาได้ก็ตาม

ประสิทธิภาพและการประยุกต์ใช้ AI ในบริบทสากล

เทคโนโลยี ‘เกราะเพชร AI’ ไม่ใช่แนวคิดที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสธารการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงินทั่วโลก ประสิทธิภาพของ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อค้นหารูปแบบที่ผิดปกติได้พิสูจน์แล้วว่าเหนือกว่าความสามารถของมนุษย์และระบบแบบดั้งเดิมอย่างมาก

กรณีศึกษา: ความสำเร็จในการใช้ AI ปราบปรามการฉ้อโกง

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการนำ AI มาใช้ในภาครัฐของสหรัฐอเมริกา เพื่อตรวจสอบและป้องกันการฉ้อโกงในโครงการช่วยเหลือต่างๆ ของรัฐบาล ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลคำขอรับความช่วยเหลือหลายล้านรายการ เปรียบเทียบข้อมูลข้ามหน่วยงาน และระบุรูปแบบที่น่าสงสัยซึ่งบ่งชี้ถึงการยื่นเอกสารเท็จหรือการสวมรอย ผลลัพธ์ที่ได้คือความสามารถในการตรวจจับและยับยั้งการฉ้อโกงคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการจัดการกับปัญหาที่มีความซับซ้อนและมีข้อมูลเกี่ยวข้องจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับปัญหาการโจรกรรมทางการเงินออนไลน์ในปัจจุบัน ที่มีธุรกรรมเกิดขึ้นหลายล้านรายการต่อวัน และมิจฉาชีพก็ใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

-->
กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930